webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

556

บทที่ 556 ในใจมี...

พิธีเปิดฉายรอบปฐมทัศน์ของหนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ จัดขึ้นบนชั้นหก แต่โรงหนัง VIP ที่เสี่ยวหลิวจองให้เฝิงจงเหลียงอยู่ชั้นห้า

ตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก พนักงานที่เฝ้าอยู่หน้าประตูแสดงความเคารพพร้อมรอยยิ้ม ห้องโถง VIP ชั้นห้าเต็มไปด้วยผู้คนที่มารอ

ในช่วงเวลาสั้นๆ หน้าผากของเสี่ยวหลิวก็มีเหงื่อหลายเม็ดผุดไม่หยุด วินาทีที่เขาก้าวออกจากลิฟต์และกำลังจะล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ หางตาก็มองเห็นเจียงจื้อหยวนที่ยืนอยู่บริเวณที่ไม่ไกลนักทันที

เสี่ยวหลิวอึ้งงันไปทันที เขาวางท่าคุ้มกันตามสัญชาตญาณ รีบเอาตัวมาบังอยู่ข้างหนังเฝิงจงเหลียงทันที

ท่ามกลางชายหนุ่มและหญิงสาวที่แต่งตัวดีและใบหน้าเต็มไปด้วยความสดใส เจียงจื้อหยวนดูแตกต่างมาก

การแต่งกายของเขาดูเชยมาก ใส่เสื้อกันหนาวสีเทาที่ซักจนซีด คอเสื้อและชายเสื้อถูจนเป็นขุยไปหมดแล้ว ดูจากรูปแบบภายนอกก็รู้เลยว่า เสื้อตัวนี้มีอายุในระดับหนึ่งแล้ว

แม้รูปร่างของเขาจะสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา แต่ทว่าหนุ่มสาวจำนวนมากที่เดินผ่านเขาก็มักจะแสดงสีหน้าดูถูกโดยไม่รู้ตัว

เขากลับยืนอยู่ตรงนั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนผู้คนที่มาจากทั่วสารทิศอยู่นอกสายตาของเขาด้วยท่าทางอันเย็นชา ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

ตอนที่เห็นเฝิงจงเหลียงและเสี่ยวหลิว เขายังคงยืนพิงเสาที่มีรูชาร์จแบตและยึดพื้นที่มุมนั้นเอาไว้

ในบริเวณที่ไม่ไกลนัก มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งมองไปตรงที่ชาร์จแบตโทรศัพท์และซุบซิบกัน แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้ามา มนุษย์มีสัญชาตญาณในการหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองเป็นอันตราย ทุกคนรับรู้ได้ว่าเจียงจื้อหยวนไม่ใช่คนที่ควรมีเรื่องด้วย

เขาสบตากับเฝิงจงเหลียงอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีเสี่ยวหลิวอยู่ในสายตาเลย พักใหญ่ เฝิงจงเหลียงจึงเผยรอยยิ้มและผลักเสี่ยวหลิวที่บังอยู่ตรงหน้าตนเองออก

“คุณท่าน...”

เสี่ยวหลิวเป็นกังวล เฝิงจงเหลียงกลับพูดอย่างนิ่งสงบว่า

“เธอไปหาอะไรทำฆ่าเวลา ไม่ต้องสนใจฉันหรอก”

“ได้ยังไงล่ะครับ” เสี่ยวหลิวตื่นตระหนกจนถึงขีดสุด เฝิงจงเหลียงส่ายหน้า ถือไม้เท้าเดินเข้าไปหาเจียงจื้อหยวน ทั้งสองห่างกันไม่ถึงห้าหกเมตร เขาไม่ให้เสี่ยวหลิวพยุง จึงต้องเดินเป็นสิบก้าวกว่าจะถึง

เสี่ยวหลิวค่อยๆ เดินตามหลังเขาไปทีละก้าวๆ เฝิงจงเหลียงไม่สนใจเขา เพียงมองเจียงจื้อหยวนอย่างพินิจพิจารณา

“ไม่เจอกันนานเลยนะ”

ทั้งสองล้วนรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ เฝิงจงเหลียงรู้ว่าเสี่ยวหลิวกำลังสืบเรื่องของเจียงจื้อหยวน เจียงจื้อหยวนเองก็รู้ว่าตระกูลเฝิงกำลังจับจ้องตนเองอยู่ เจอกันครั้งล่าสุดก็ตั้งแต่หนังเรื่อง ‘Evil’ เข้าฉายแล้ว

แต่สำหรับเฝิงจงเหลียง ครั้งนั้นไม่นับ เพราะทั้งสองเจอกัน แต่กลับไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่คำเดียว

“ครั้งล่าสุดที่คุยกับนายต่อหน้าแบบนี้ก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วสินะ”

เจียงจื้อหยวนพยักหน้า เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตอนที่ทั้งสองเจอกัน เขายังอยู่ในช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ ความทะเยอทะยานถูกทำลายลง ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเฝิงจงเหลียง

เฝิงจงเหลียงในตอนนั้นอายุยังน้อย สร้างวิสาหกิจจงหนานขึ้นด้วยตนเอง คนฮ่องกงเรียกว่า ‘ลุงเหลียง’ เป็นที่น่าภาคภูมิใจ

ตอนนี้เขาแก่แล้ว แม้กระทั่งตอนเดินยังต้องมีคนคอยพยุง

“ไปหาที่เงียบๆ คุยกันเถอะ”

ทั้งสองต่างอายุไม่น้อยแล้ว อยู่ในโรงหนังแบบนี้จึงโดดเด่นมาก

แขก VIP ที่สามารถขึ้นมาในโรงหนังชั้นห้าได้ ส่วนมากเป็นคนที่มีฐานะ ไม่แปลกถ้าจะมีคนรู้จักเฝิงจงเหลียง

เขาเสนอไปแบบนี้ พลันสั่งให้เสี่ยวหลิวไปเปิดโรงหนังที่ให้คนจองไว้และเข้าไปพร้อมกับเจียงจื้อหยวนก่อนเวลา

ห้อง VIP ห้องนี้ไม่ได้กว้างมากนัก เฝิงจงเหลียงไล่เสี่ยวหลิวที่ยังคงเป็นห่วงออกไป แล้วจึงหันมองเจียงจื้อหยวน

“สูบบุหรี่ไหม”

เฝิงจงเหลียงหยิบบุหรี่ออกมากล่องหนึ่ง ดึงออกมวนหนึ่งส่งให้เจียงจื้อหยวนและเจียงจื้อหยวนเองก็ยื่นมือออกไปรับอย่างเป็นธรรมชาติ

ตอนนี้เขาดูเงียบขรึมกว่าเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ร่องรอยที่กาลเวลาทิ้งเอาไว้ในตัวเขานั้นชัดเจนมาก หลังจากออกจากคุก งานใช้แรงงานอันหนักหน่วงทำให้มือของเขาเต็มไปด้วยตุ่มไต เฝิงจงเหลียงสังเกตเห็นว่า ระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเขามีรอยแผลใหญ่ขาวซีดที่ยาวลงไปจนเกือบจะทำให้นิ้วโป้งของเขาแยกออกจากอีกสี่นิ้ว

เขาหยิบไม้ขีดไม้กล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋า หลังจากจุดไฟติดแล้วก็จุดบนบุหรี่ พลันสูบเข้าไปลึกๆ ทีหนึ่ง

“บุหรี่ดี”

ท่ากลางกลุ่มควันบุหรี่ เขาเห็นสายตาของเฝิงจงเหลียง จึงยื่นมือซ้ายออกไป ให้เฝิงจงเหลียงดูชัดๆ

“เพิ่งจะติดคุกไม่ถึงปี ก็เกือบโดนตัดนิ้วโป้ง”

ตอนที่เขาพูด ได้อธิบายเพียงสั้นๆ แต่ทว่า จากรอยแผลเป็นนี้ กลับดูออกว่ามันโหดร้ายมากกว่าท่าทางอันสงบในตอนนี้ของเขาเป็นอย่างมาก

“แล้วสุดท้ายคนคนนั้นก็วางมือไปเหรอ”

เฝิงจงเหลียงถาม เจียงจื้อหยวนพลันเผยรอยยิ้ม แล้วพยักหน้า

“ใช่”

ความจริงเฝิงจงเหลียงรู้ดีแก่ใจ ในคุกจะสงบสุขอย่างที่เขาพูดได้อย่างไรกันเล่า ถ้าคนจะตัดนิ้วโป้งของเขา เป็นไปได้อย่างไรที่สุดท้ายคิดจะวางมือ

ในข้อมูลช่วงหลังของเจียงจื้อหยวนที่เสี่ยวหลิวสืบมาได้ ได้บันทึกเรื่องนี้เอาไว้

มีคนเกือบตัดนิ้วโป้งของเขา เขากลับเอาแปรงสีฟันที่ถูกลับจนปลายแหลม ปักคอคนๆ นั้นจนเป็นรู

ในใจของเจียงจื้อหยวนราวกับมีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่

“ด้วยความสามารถของนาย ตอนนี้ถ้าอยากหางานดีๆ ทำสักงานไม่ใช่เรื่องยาก” เฝิงจงเหลียงเห็นเขาหยิบกระดาษยับๆ แผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า วางไม้ขีดไฟที่ผ่านการจุดไฟลงไป แม้กระทั่งขี้เถ้าบุหรี่ก็ใส่เข้าไป การกระทำแบบนี้ของเขาไม่ได้เป็นเพราะเขามีมารยาท ไม่อยากทิ้งขยะในที่สาธารณะ แต่เป็นนิสัยรอบคอบที่ซึมเข้ากระดูกของเขา ไม่เหลือร่องรอยว่าตนเองเคยมาที่นี่ต่างหาก

เขาจำได้รางๆ ว่าตอนที่เห็นเจียงจื้อหยวนหน้าห้องโถง คนๆ นี้เหมือนเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ แต่ความจริงแล้วยืนอยู่ใต้กล้องวงจรปิด เฝิงจงเหลียงคาดว่าเขาคงไม่ขึ้นลิฟต์และเดินเท้าขึ้นมาทางบันได

บางทีที่เขามาที่นี่ในวันนี้ นอกจากคนที่เคยเจอเขาพอจะจำได้บ้างแล้ว เขาอาจจะไม่ทิ้งร่องรอยว่าเคยมาที่นี่เอาไว้เลยแม้แต่น้อย

นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับนิสัยที่เขาได้เรียนรู้หลังจากพลาดตอนที่ลักพาตัวเฝิงหนาน แต่ทว่า การที่จะสามารถทำให้ความรอบคอบแบบนี้กลายเป็นนิสัยจนติดตัวมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี เห็นได้ชัดว่านิสัยของเจียงจื้อหยวนมีความน่ากลัวซ่อนอยู่

“ตอนที่นายออกจากคุก ที่ฮ่องกงคงจะมีคนไม่น้อยทาบทามให้นายไปทำงานด้วย”

ฝีมือของเขาไม่เลวเลย อยู่ในคุกมานานหลายปี ผู้คนที่ไม่ว่าจะโหดเหี้ยมแค่ไหนก็ไม่กล้ามีปัญหากับเขา ผ่านสังคมมืดแบบนั้นมาได้ แน่นอนว่าจะต้องดึงดูดความสนใจจากเศรษฐีจำนวนไม่น้อย

บรรดาผู้คนในสังคมชั้นสูง ต้องการบอดี้การ์ดคอยติดตาม คนอย่างเจียงจื้อหยวนถือเป็นตัวเลือกที่ดีมาก

แต่ทว่า เขากลับปฏิเสธทั้งหมดและกลับมาที่ตี้ตูโดยลำพัง งานดีๆ ไม่ทำ แต่กลับเลือกงานที่ใช้แรงงานหนักแต่รายได้น้อยแทน

เจียงจื้อหยวนเผยรอยยิ้มอีกครั้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร เฝิงจงเหลียงจึงพูดขึ้นอีกว่า

“ฉันจำได้ว่าเสี่ยวหลิวเคยบอกว่า การแข่งขันนักมวยคิกบอกซิ่งในฮ่องกงเคยมีคนเสนอเงินหนึ่งล้าน เพื่อให้นายไปลงสนามกับลูอิสไม่ใช่หรือ”

เฝิงจงเหลียงเคยได้ยินการแข่งขันมวยคิกบอกซิ่งในฮ่องกง สำหรับเรื่องราว ‘บันเทิง’ พวกนี้ไม่ได้สนใจมากนัก แต่ก็ยากจินตการถึงความหวาดเสียวและความเหี้ยมโหดของมันที่ทำให้เศรษฐีจำนวนมากยอมควักเงินออกมาซื้อตั๋วเพื่อไปชมได้

“เงินหรือ”

เจียงจื้อหยวนย้อนถาม เฝิงจงเหลียงเห็นว่าเขาเขี่ยก้นบุหรี่ออกอย่างไม่เร่งรีบ สายตามองตามมือของเขาไปยังแขนเสื้อที่เป็นขุย

“ใช่ เงิน” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม

“มีเงิน นายก็เอาไปซื้อบุหรี่มาสูบ ซื้อเสื้อผ้า เอามาแต่งตัวให้ดูมีสง่าราศี ก็จะไม่มีใครสนใจอดีตของนายแล้ว” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง

“ที่นายลักพาตัวเฝิงหนานในตอนนั้นก็เพื่อเงินไม่ใช่หรือ ทำไมถึงปฏิเสธล่ะ”