บทที่ 537-2 เปิดโปง
ลิฟต์เลื่อนลงมาได้สองชั้นก็หยุดลง ‘ติ๊ง’ เสียงเปิดประตูลิฟต์ดังขึ้น ข้างนอกลิฟต์นั้นก็คือเฝิงหนานที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากเห็นชัดแล้วว่าคนที่อยู่ในลิฟต์คือใคร รอยยิ้มของหล่อนก็ค่อยๆ เลือนหายไปในทันที และกลับมานิ่งขรึมอย่างเดิม หล่อนนิ่งอยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เดินเข้าไปในตัวลิฟต์นั่นด้วย
โม่อานฉีเองก็จำเฝิงหนานได้ หล่อนอยู่กับเจียงเซ่อมานานแล้ว ยังจำได้ว่าในตอนที่เจียงเซ่อเพิ่งเข้าวงการมาได้แรกๆ ก็เป็นข่าวกับจูพ่านดาราสาวของซื่อจี้หยินเหออีกคน และเฝิงหนานก็เป็นคนบงการเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง
หลังจากนั้นก็ยังรู้มาอีกว่าเฝิงหนานยังคงมีเรื่องขัดแย้งกับเจียงเซ่ออีกหลายครั้ง ก็ไม่รู้ว่าลูกคุณหนูของวิสาหกิจจงหนานคนนี้เป็นอะไรกันแน่ ถึงได้ดูโกรธแค้นและผูกใจเจ็บกับเจียงเซ่อขนาดนั้น ถึงกับหาเรื่องเจียงเซ่ออยู่หลายครั้งเลยทีเดียว
แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ฐานะและชื่อเสียงในวงการของเจียงเซ่อเริ่มที่จะมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ แต่เฝิงหนานกลับมีแต่จะแย่ลงๆ ทำให้ไม่สมควรที่จะมาเป็นคู่แข่งกันอีก โม่อานฉีเองก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของเฝิงหนานมานานแล้วเช่นกัน
พอได้มาเจอในวันนี้ ไม่ว่าบนใบหน้าของเฝิงหนานจะมีรอยยิ้มหรือไม่ โม่อานฉีก็ยังคงต้องคอยระวังหล่อนเอาไว้เสมอ หล่อนเขยิบไปยืนบังเจียงเซ่อเอาไว้ เพื่อบดบังสายตาของเฝิงหนานที่กำลังจ้องมองไปที่เจียงเซ่อ
หลังจากที่ลิฟต์เคลื่อนลงมาถึงชั้นที่หนึ่ง เจียงเซ่อและเซี่ยเชาฉวินก็เดินออกมาจากลิฟต์ เฝิงหนานนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตามออกมา
ถึงแม้ว่าข้างในของเจียงเซ่อจะสวมเป็นเดรสกระโปรง แต่ด้านนอกก็มีเสื้อขนเป็ดหนาๆ คลุมเอาไว้อีกชั้น แต่เฝิงหนานนั้นมีแค่เดรสตัวยาวแนบเนื้อจนเห็นสัดส่วนอย่างชัดเจนเท่านั้น กับรองเท้าส้นเข็มคู่หนึ่ง พอเดินออกมาก็ต้องสั่นระริกไปทั้งตัว จนต้องยกแขนขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้อัตโนมัติ
ไม่รู้ว่าทำไมเฝิงหนานถึงได้ตามเธอมา แต่ทว่าในตอนที่หล่อนจ้องมองสำรวจเธอนั้น เจียงเซ่อเองก็กำลังพิจารณาตัวหล่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน
ประโยคที่ว่าต่างฝ่ายต่างรู้กันก็อาจจะใช้ได้ แต่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าได้กลับมาเกิดใหม่ตั้งนานแล้ว พอได้กลับมาเจอกับร่างกายและใบหน้าที่ตัวเองเคยรู้จักและคุ้นเคยที่สุดในอดีต กลับกลายเป็นว่าเธอรู้สึกคุ้นเคยมันน้อยลง เหมือนได้มองคนแปลกหน้าอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าที่เธอเห็นมันมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก เห็นมากว่ายี่สิบกว่าปี ทุกๆ พื้นที่ของร่างกายเธอนั่นแหละที่ควรจะรู้ดีที่สุด แต่ทว่าในตอนนี้ที่เธอได้เห็นเฝิงหนาน กลับยากเหลือเกินที่จะหาความคุ้นเคยที่เจียงเซ่อเคยสัมผัสได้
เซี่ยเชาฉวินทำเหมือนว่าไม่เห็นว่าเฝิงหนานยังคงยืนอยู่ข้างๆ หล่อนยกข้อมือขึ้นดูเวลา ตอนนี้จะห้าทุ่มแล้ว คืนนี้ตี้ตูมีฝนพรำๆ อุณหภูมิก็ลดต่ำลงกว่าตอนกลางวัน หนาวจนตัวสั่นไปหมด
กว่าโม่อานฉีจะขับรถออกมาจากโรงจอดรถมาถึงตรงนี้ก็คงจะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อยที่สุดก็ประมาณสิบห้านาที แต่จู่ๆ ทำไมถึงได้มีคนมาอยู่ข้างๆ อีกคนก็ไม่รู้ เซี่ยเชาฉวินกำลังคิดว่า หรือหล่อนควรจะหาคนขับรถ และผู้ช่วยอีกสองคนให้กับเจียงเซ่อดีนะ
“เจียงเซ่อ”
เฝิงหนานยืนมองเจียงเซ่ออยู่พักหนึ่งแล้ว และจู่ๆ ก็เรียกขึ้นมา
ภายใต้ความมืดของกลางคืน เจียงเซ่อสวมหมวกชุดขนเป็ดตามความต้องการของเซี่ยเชาฉวินอย่างว่าง่าย ทั้งตัวของเธอห่อหุ้มไปด้วยเสื้อขนเป็ดหนาๆ สีขาว ไฟนีออนที่สาดส่องทำให้เห็นเม็ดฝนที่ตกลงมาในยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน และแน่นอนว่ามันทำให้เฝิงหนานเห็นใบหน้าของเธอชัดเจนไปด้วย
เงาของเธอทอดยาวลงไปบนพื้น มือทั้งสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อ มองแล้วให้ความรู้สึกที่ช่างบริสุทธิ์และเป็นเด็กที่เชื่อฟัง
เฝิงหนานพลันรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในอก
ที่จริงแล้วตอนนี้หล่อนควรที่จะอยู่ในตึก ควรที่จะรอกดลิฟต์ทุกๆ ครั้งที่มีคนลงมา เพื่อที่จะได้มีโอกาสพบกับเชี่ยซ่าเหลยโดยบังเอิญ ไม่ใช่เอาเวลามาพูดคุยเจอหน้ากับเจียงเซ่อแบบนี้
แต่หล่อนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!
คนที่สวมเสื้อขนเป็ดสีขาวราวกับหิมะตรงหน้าหล่อนนั้น บุคลิกดูสูงส่งงามสง่า ตอนที่หล่อนเอ่ยปากเรียกออกไป เจียงเซ่อก็เงยหน้าขึ้นมา เธอกะพริบตาเล็กน้อย และจ้องมองมาที่หล่อน ด้วยอารมณ์ที่นิ่งเรียบ ท่าทางเหมือนไม่ได้รู้สึกตกใจหรือแปลกใจอะไร และไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าแค่ได้พบเข้ากับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง มันทำให้เฝิงหนานอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้วหลายปี ที่ฉาวจิ้นเก๋อ ตอนที่ได้คุยกับเธอ ในหัวมันก็มีความคิดชั่ววูบที่อยากจะผลักเธอตกลงจากภูเขาจำลองไปซะ
ยิ่งคนๆ นี้แสดงออกว่าตัวเองนั้นบริสุทธิ์แค่ไหน ข้างในก็ยิ่งมีแต่ความเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น
เฝิงหนานไม่เคยลืมเรื่องที่เธอเคยใส่ร้ายหล่อนในงานเลี้ยงที่คุณนาย Federer จัดขึ้นเลย มันทำให้หล่อนสูญเสียการเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์เครื่องสำอาง E.B ไปด้วย และไม่เคยลืมใบหน้าที่บ้าบิ่นและเต็มไปด้วยความโหดร้ายของเธอในชาติก่อนได้เลย
ตอนนี้หล่อนต้องดิ้นรนกับความยากลำบากมากมายในวงการ ความสัมพันธ์กับตระกูลเฝิงก็เหมือนกับเป็นคนแปลกหน้า ตรงกันข้ามเจียงเซ่อกลับฉวยโอกาสตอนนั้นมายั่วโมโหหล่อน จนทำให้คุณนาย Federer ให้ความสำคัญ เฝิงจงเหลียงเองก็ดูเหมือนว่าจะถูกเธอซื้อใจไปแล้ว แถมเขายังไปบอกใครต่อใครว่ามองเธอเป็นหลานสาวแท้ๆ คนหนึ่งของตัวเอง
ในชาติที่แล้วเธอก็มาแย่งจ้าวจวินฮั่นกับหล่อน แล้วทำไมพอมาเกิดใหม่ในอีกชาติ เธอถึงยังได้ทำตัวเป็นวิญญาณอาฆาตแบบนี้อยู่อีก ชอบที่จะทำตัวเป็นศัตรูของหล่อนอยู่เสมอ อยากจะแย่งทุกอย่างไปจากหล่อนอย่างนั้นหรือ?
พอเฝิงหนานคิดได้ถึงตรงนี้ มือไม้มันก็สั่นไปหมด หล่อนวางมือลงบนกระเป๋าของตัวเองโดยอัตโนมัติ ก่อนจะรีบเปิดซิปกระเป๋าออกด้วยความรุนแรง จากนั้นก็หยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่ง พร้อมกับไฟแช็คที่นำขึ้นมาจุดไฟ หล่อนสูบเข้าทีหนึ่ง พอรู้สึกได้ว่าควันบุหรี่มันได้เข้าไปวนอยู่ในปอดของตัวเองแล้ว ถึงค่อยๆ พ่นมันออกมา
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”
นิ้วมือที่คีบบุหรี่เอาไว้นั้นดูช่ำชองไม่น้อย ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้สูบมาแค่ระยะเวลาสั้นๆ
สายตาของเจียงเซ่อจ้องมองไปที่บุหรี่ที่ถูกหนีบอยู่บนปลายนิ้ว เล็บของหล่อนนั้นมันขึ้นสีแดงสดอย่างชัดเจน ไฟที่ติดอยู่บริเวณปลายบุหรี่มันค่อยๆ เผาและหล่นลงมาเรื่อยๆ ในชาติก่อน ร่างกายของเธอมันไม่เคยผ่านการสูบบุหรี่มาเลยสักครั้ง เมื่อลองคิดๆ ดูแล้วก็คงจะเป็นเพราะว่าความเคยชินของตัวตนจริงๆ ที่อยู่ในเฝิงหนานนั้นมันได้ส่งผลกับตัวหล่อนเอง เสพติดมันจนเข้าถึงกระดูก ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนร่างใหม่ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อยู่ดี
“แต่ฉันไม่มีเรื่องอะไรที่อยากจะคุยกับเธอ”
ทั้งสองคนไม่ใช่เพื่อนกัน ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดคุย อีกทั้งก่อนหน้านี้เจียงเซ่อก็ได้ไปทำให้เรื่องที่เฝิงหนานกำลังจะได้เป็นพรีเซนเตอร์ต้องเสียไป ยิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าทั้งสองนั้นเป็นศัตรูกัน
และเธอก็ไม่ได้อยากจะเห็นหน้าเฝิงหนาน เพราะความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า มันเหมือนเป็นสิ่งที่คอยตอกย้ำถึงทุกอย่างที่เธอเคยมี ที่ถูกเฝิงหนานยึดครองไป
“แต่ฉันว่าเธอน่าจะมีเรื่องที่อยากจะคุยกับฉันอยู่นะ” การปฏิเสธของเจียงเซ่อทำเอาเฝิงหนานอยากจะหัวเราะขึ้นมา หล่อนกัดก้นบุหรี่แน่น แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดแค้น
“เธอเป็นใครกันแน่?”
พอหล่อนถามแบบนั่นออกมา มันก็สามารถเรียกความสนใจต่อกับเจียงเซ่อได้จริงๆ
เซี่ยเชาฉวินยังคงยืนมองไปที่โรงจอดรถ ราวกับว่าไม่ได้สนใจในสิ่งที่เฝิงหนานกำลังพูด เฝิงหนานรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ก่อนจะมองไปที่เจียงเซ่อ หล่อนเชิดคางขึ้น แล้วจ้องตาเจียงเซ่อ และพูดออกมาเบาๆ
“เธอไม่กลัว ว่าฉันจะเปิดโปงเธออย่างนั้นเหรอ?”
พอเฝิงหนานพูดแบบนั้นออกมา มันก็ทำให้เจียงเซ่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น
แค่ประโยคนั้นของหล่อนก็สามารถบอกอะไรให้หลายๆ อย่างให้เธอได้รู้แล้ว ในมุมมองของเจียงเซ่อ ตัวเธอนี่แหละก็คือเฝิงหนานตัวจริง ดังนั้นในใจของเธอจึงรู้แน่ชัดอยู่แล้ว ว่าเฝิงหนานที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่เฝิงหนานตัวจริงแน่นอน
แล้วหล่อนรู้ได้อย่างไรล่ะว่าตัวเธอนั้นไม่ใช่เจียงเซ่อต้วจริง? ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนคือเจียงเซ่อตัวจริง หรือเป็นคนที่รู้จักเจียงเซ่อตัวจริงเป็นอย่างดีละก็ คงไม่มีทางที่จะมองออกได้ว่าเจียงเซ่อนั้นดูแปลกไปจากเจียงเซ่อคนเดิม
เจียงเซ่อจำได้ว่า เมื่อตอนที่ได้กลับมาเกิดใหม่ๆ ครั้งแรกที่เธอได้เจอกับเฝิงหนาน ก็คือตอนที่เผยอี้ได้นัดเจอกับพวกเนี่ยต้านและคนอื่นๆ ตอนนั้นหล่อนก็มาร่วมด้วย แถมยังแนะนำให้เธอไปเข้าบริษัทจวี้เฟิงบันเทิงอีกต่างหาก
หลังจากนั้นเผยอี้ก็ได้ช่วยสืบถึงเรื่องของบริษัทจวี้เฟิงบันเทิงให้เธอ เจียงเซ่อเองก็วิเคราะห์ไปตามนิสัยของเฝิงหนาน คาดเดาว่าหล่อนคือเจียงเซ่อตัวจริงหรือไม่
ถ้าหากว่าหล่อนคือเจียงเซ่อ การที่ได้ร่างกายของเธอไป หลังจากที่กลายเป็นเฝิงหนานแล้ว หล่อนก็น่าจะเดาได้ว่าคนที่อยู่ในร่างของตัวเองก็อาจจะเป็นเฝิงหนานตัวจริงก็ได้ และควรที่จะกลัวว่าตัวเองจะโดนเปิดโปงความลับของเสียมากกว่า หล่อนจะต้องเป็นฝ่ายที่กลัวเธอด้วยซ้ำ ไม่ใช่มาบอกว่าจะปั้นเรื่องใส่ร้ายจนเหมือนกับว่าหาเรื่องใส่ตัวเองแบบนี้
อย่างไรก็ตามทั้งน้ำเสียงการพูดการจา และนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนติดบุหรี่ขนาดนี้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เจียงเซ่อตัวจริงเลยสักนิด
สายตาของหล่อนในตอนนั้นมันเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นในตัวเธอ เหมือนว่าไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับ ‘เฝิงหนาน’ ตัวจริงเลยสักนิดเดียว แต่น่าจะเป็นกับเจียงเซ่อตัวจริงเสียมากกว่า
แต่ทว่าในตอนนั้นเจียงเซ่อเองก็ยังอายุน้อย ยังไม่ครบสิบแปดปีเลยด้วยซ้ำไป ถึงแม้ว่านิสัยจะไม่ค่อยเอาไหน สถานะในบ้านตระกูลตู้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เด็กสาวคนนี้ จะไปมีเรื่องกับคนอื่นจนเกิดความแค้นขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เจียงเซ่อเองก็ยังคิดอยู่เสมอ เธอรู้สึกสงสัยในความแค้นของเฝิงหนานเสียด้วยซ้ำ ว่ามันอาจจะไม่ใช่กับเจียงเซ่อในวัยเด็กสาว และสิ่งที่เฝิงหนานพูดออกมาในตอนนี้ก็เหมือนยิ่งตอกย้ำความคิดของเจียงเซ่อให้แน่ใจกว่าเดิม
ทั้งสามคนยืนด้วยกันอยู่บริเวณข้างถนน ราวกับว่าบรรยากาศได้หลอมรวมกันไปหมด บริเวณมุมๆ หนึ่งของทางขึ้นลิฟต์โรงภาพยนต์ มีใครคนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นอยู่พักใหญ่แล้ว ไม่ขยับไปไหน สิ่งปลูกสร้างได้บดบังแสงไฟเอาไว้จนกลายเป็นเงาดำที่ทอดยาว ปกคลุมตัวเขาได้อย่างพอดิบพอดี