webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

536-1

บทที่ 536-1 น่าเสียดาย

เมื่อเทียบกับกับเถาเฉินที่สวมชุดเดรสหางปลาเกาะอกสีขาว ที่ดูเปล่งประกายสุดๆ แล้ว เจียงเซ่อก็ถือว่าไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย เหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีความคิคที่จะมาแย่งซีนประชันความสวยกับหล่อนแม้แต่น้อย

เรือนผมของเธอถูกปล่อยาวลงมาจนถึงกลางหลัง เผยใบหน้าที่แต่งมาแค่บางๆ แต่ดูงดงามบริสุทธิ์ เธอยิ้มอ่อนๆ และนั่งฟังในสิ่งที่เชี่ยซ่าเหลยกำลังพูด ราวกับหญิงสาวที่มีความอบอุ่นคนหนึ่ง ใบหน้าที่สวยงามมีความน่ารักสดใสนั้นมองไม่เห็นถึงแผนการและความทะเยอทะยานเลยสักนิด สวยเกินใครจริงๆ 

ถึงแม้ว่าเถาเฉินจะรู้อยู่แล้ว ว่าเธอเพิ่งจะต่อสัญญากับทางซื่อจี้หยินเหอไป แถมยังสามารถทำให้ลัวหยิ่นยอมแบ่งหุ้นให้ถึง 0.5% ด้วยซ้ำ แต่ใบหน้าที่มีแต่ความงดงามไร้ริ้วรอยใดๆ บุคลิกที่นิ่งสงบและดูสง่านั่น มันก็ยากที่เถาเฉินเอาตัวเธอกับเรื่องเงินทองมาโยงเข้าด้วยกันได้

คนอื่นไม่มีใครรู้เรื่องภายในของ ‘The Lost City’ แต่เถาเฉินมั่นใจว่าเจียงเซ่อจะต้องรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่ตั้งแต่ที่การฉายหนังรอบแรกของเรื่อง ‘The Lost City’ ได้เริ่มขึ้น เจียงเซ่อก็ยังคงมีความนิ่งเฉย ราวกับว่าทั้งสองคนนั้นไม่เคยมีเรื่องผิดใจกันมาก่อน ราวกับว่าตั้งใจที่จะมาช่วยสนับสนุนหนังเรื่อง ‘The Lost City’ จริงๆ 

สายตาของเถาเฉินนั้นดึงดูดความสนใจของเหล่านักข่าวได้อย่าวรวดเร็ว ในขณะเดียวกันเจียงเซ่อเองก็รู้สึกตัวด้วย

ตอนที่เธอหันหน้ามามองหล่อน สื่อนักข่าวหลายๆ คนที่อยู่ในห้องแถลงก็เริ่มเกิดความสนใจและตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมาก ตอนแรกคิดว่าหลังจากที่ดาราสาวทั้งสองคนนี้ปะทะสายตากันแล้วก็จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนที่เจียงเซ่อหันกลับไปมองเถาเฉินนั้นก็ทำแค่ยิ้มให้ และก้มหัวทักทายอย่างมีมารยาทกลับไปเท่านั้น

การตอบสนองแบบนั้นทำเอาหลายๆ คนถึงกับอึ้งชะงักไป เถาเฉินเองก็อึ้งไปไม่น้อย แต่ก็ได้สติกลับมาและยิ้มตอบให้กับเจียงเซ่อ ก่อนจะหันหน้ากลับไป แล้วแกล้งทำทีว่าจัดกระโปรงตัวเอง

ดูจากท่าทางแล้วก็ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดเอาไว้เลย การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นั่นคงไม่ใช่การจัดฉากของทีมงานแน่ๆ ถ้าหากว่าเชี่ยซ่าเหลยต้องการที่จะสร้างสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมาเพื่อโปรโมทหนัง ‘The Lost City’ ของตัวเองละก็ การส่งยิ้มให้กันก็คงไม่มีทางที่จะมาเกิดขึ้นในตอนที่เชี่ยซ่าเหลยกำลังพูดถึงเนื้อความสำคัญของ ‘The Lost City’ อยู่แน่ๆ 

หลังจากที่เชี่ยซ่าเหลยพูดจบเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่ช่วงต่อไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากจะเป็นช่วงที่ให้นักแสดงนำแต่ละคนพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ในระหว่างที่ถ่ายทำแล้ว ก็ยังมีพูดถึงเหล่านักแสดงและทีมงานที่ได้ร่วมงานกับเถาเฉินในหนังเรื่อง ‘The Lost City’ ด้วย 

ทุกคนต่างถามมาตอบไปอยู่แบบนั้น ภายในห้องแถลงมีแต่เสียงหัวเราะครื้นเครงไม่น้อย

จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่หนังจะเริ่มฉาย เจียงเซ่อได้นั่งในห้องวีไอพี และจะได้เริ่มดูหนังที่ครั้งหนึ่งเคยได้โอกาสมาอยู่ในมือของตัวเอง

เพื่อหนังเรื่อง ‘The Lost City’ เธอถึงกับยอมไปฝึกงานกับคณะโบราณคคี ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วโอกาสที่จะได้รับเล่นหนังเรื่องนี้มันจะหายไปต่อหน้าต่อตา แต่ในความรู้สึกของเธอก็ยังอยากจะดูเรื่องนี้อยู่ดี

ตอนที่เชี่ยซ่าเหลยได้แถลงการณ์ไปก่อนหน้านี้ ความสนใจของหลายๆ คนก็ล้วนแล้วอยู่ที่ความขัดแย้งระหว่างเธอและเจียงเซ่อทั้งนั้น สื่อนักข่าวของหัวเซี่ยส่วนใหญ่คงสนใจแต่อยากจะเห็นเรื่องสนุกๆของเธอ ก็ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คน ที่ได้ฟังในสิ่งที่เชี่ยซ่าเหลยพูดจริงๆ 

แต่เจียงเซ่อนั้นได้ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดตั้งแต่เริ่มจนจบ เธอได้ฟังถึงความตั้งใจแรกและแรงปรารถนาของการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ในทุกๆ เหตุการณ์ของเรื่องราวหนังนั้นล้วนแล้วมีความคิดของเขาแทรกซึมอยู่ด้วยทั้งสิ้น มันจึงทำให้เจียงเซ่อรู้สึกเฝ้ารอคอยที่จะได้ดูเป็นอย่างมาก 

พอแสงไฟถูกหรี่จนมืด ทั้งห้องฉายหนังก็เงียบลง เจียงเซ่อจัดท่าตัวเองเล็กน้อย เพื่อที่จะให้ตัวเองได้นั่งท่าที่สบายที่สุด ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองบนหน้าจอใหญ่

ก็เหมือนกับการเริ่มต้นของหนังฮอลลีวูดทั่วๆ ไป หนังเรื่อง ‘The Lost City’ เองก็ยังคงเริ่มด้วยรูปแบบเก่าๆ 

ในสถาบันองค์กรลับที่ได้รวบรวมคนที่มีความสามารถและสติปัญญาที่ดีเลิศของโลกเอาไว้แห่งหนึ่ง ศาสตราจารย์วิลเลียมหนึ่งในคนขององค์ได้จับคลื่นสัญญาณลึกลับบางอย่างได้

คลื่นสัญญาณนั้นมันมาจากทางด้านทิศตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ด้วยความสงสัยของศาตราจารย์วิลเลียม จึงได้ทำการค้นหาข้อมูล กลับพบว่าไม่มีบันทึกที่เกี่ยวกับพื้นที่ตรงนั้นอยู่เลย 

การค้นพบในครั้งนั้นทำให้ศาสตราจารย์วิลเลียมเกิดความสนใจขึ้นมาไม่น้อย เขาได้ลองใช้ดาวเทียมในการตรวจสอบ และพบว่าบริเวณนั้นอาจเป็นเพราะมีแค่ผืนทะเลมหาสมุทร จึงทำให้ไม่เคยมีใครค้นพบที่นี่มาก่อน

และสิ่งที่ได้ค้นพบและยิ่งทำให้ศาสตราจารย์วิลเลียมเกิดความตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมก็คือ เขามีความคิดที่จะขอทางองค์กรว่าจะลงพื้นที่เพื่อไปสำรวจ ณ ที่แห่งนั้น 

แต่เป็นเพราะว่าสัญญาณที่เขาค้นพบนั้นมันมีความไม่แน่ไม่นอน และตำแหน่งสัญญาณที่เจอนั้นก็อาจจะเป็นแค่เพราะมันเป็นผืนทะเลมหาสมุทรก็ได้ ทางองค์กรจึงปฏิเสธคำร้องขอของเขาไป 

แต่ศาสตราจารย์วิลเลียมนั้นก็ไม่ยอมรับผลลัพธ์ที่ออกมาแบบนั้น เขาคิดหาวิธีจัดหารวบรวมทุนทรัพย์ และได้ทำการเตรียมตัวและเตรียมพร้อมสิ่งต่างๆ พาผู้ช่วยและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ไปลงสำรวจสัญญาณลึกลับที่ตนเองได้ค้นพบ

แต่การไปในครั้งนั้นของเขา กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เรือที่เขาได้เช่าเอาไว้ และกลุ่มคนที่เขาได้พาไปด้วยนั้น ล้วนแล้วหายตัวไปจากโลกนี้ และสัญญาณที่จับได้จากดาวเทียม ก็เหมือนว่าจะไม่ได้มีเบาะแสที่จะหาร่องรอยของเขาได้เลย 

ทางองค์กรรู้สึกตกใจกับการหายตัวไปของศาสตราจารย์วิลเลียมไม่น้อย หลังจากนั้นก็ได้มีการจัดคนออกตามหา สถานที่ก็คือผืนน้ำทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตา และยังได้จัดหาคนอีกกลุ่มหนึ่งดำลงไปค้นหาในน้ำด้วย แต่ก็ไม่ค้นพบหรือเจอเบาะแสทั้งตัววิลเลียม คนอื่นๆ หรือแม้แต่เรือเลย 

ตั้งแต่นั้นมา ทางองค์กรก็ได้เก็บข้อมูลของศาสตราจารย์วิลเลียมเอาไว้เป็นความลับมาโดยตลอด กลายเป็นปริศนาความลับขององค์กร ถึงแม้ว่าจะมีคนมาเสนอเงินทุนก้อนโตพร้อมกับทรัพยากรครบครัน ก็ไม่สามารถที่จะเปิดเผยความบนั้นออกไปได้อยู่ดี 

สามสิบปีผ่านไป ไบรอันลูกชายของเขาที่ต้องการจะตามหาพ่อที่ได้หายสาบสูญไป จึงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรแห่งนี้ พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่พ่อได้รวบรวมเอาไว้ และเขาก็ได้เจอกับคลื่นสัญญาณลึกลับที่ศาสตราจารย์วิลเลียมเคยเจออีกด้วย จึงทำการค้นหาจุดที่มีการส่งสัญญาณมาในทันที    

แต่ทว่าละติจูดนั้นได้มีคนสืบค้นไปก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยของวิลเลียมเลย และบริเวณใต้ท้องทะเลที่คาดว่าเป็นจุดเกิดเรื่องก็เคยมีคนเข้าไปสำรวจค้นหาแล้ว ก็ไม่พบเบาะแสอะไรเช่นกัน

คนในองค์กรเริ่มพากับตั้งข้อสมมติฐานว่า หรือศาสตราจารย์วิลเลียมและคนอื่นๆ ได้ทำการถอดรหัสจากคลื่นสัญญาณลึกลับนั่น จนสามารถค้นพบห้วงมิติ และได้ข้ามผ่านไปอีกมิติหนึ่งเสียแล้ว

ถ้าหากว่าที่ที่ไบรอันและคนอื่นๆ อยู่ในตอนนี้คือมิติที่สาม ก็อาจเป็นไปได้ว่าในระยะเวลาเดียวกัน สถานที่ที่เดียวกัน แต่วิลเลียมและคนอื่นๆ นั้นอาจจะหลุดอยู่ในห้วงมิติที่ซับซ้อนอย่างมิติที่สี่ก็เป็นได้

ถ้าพูดถึงแนวคิดของทั้งสองมิตินี้แล้ว ก็เหมือนกับเส้นสองเส้นที่ขนานกัน อยู่ในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่อยู่คนละโลกคู่ขนาน จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสถึงกันได้

แต่ในโลกคู่ขนานแบบนี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่ากลุ่มของวิลเลียมนั้นอาจจะได้รับสัญญาณลึกลับและรหัสที่สามารถเชื่อมสองมิติเข้าหากันได้ เมื่อถอดรหัสได้สำเร็จ บางทีอาจจะมีการเปิดประตูมิติขึ้นจริงๆ ทำให้ทั้งคนและสิ่งของต่างๆ ถูกดูดเข้าไปในนั้น เข้าไปในโลกคู่ขนาน และไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับโลกนี้อีก

นอกเสียจากว่าจะสามารถถอดรหัส จากคลื่นสัญญาณลึกลับนี่ได้อีกครั้ง ลองค้นหากฏอินเทอร์เซกชั่นอื่นๆ ทั้งวิลเลียมและคนอื่นๆ อาจจะเจอกุญแจที่สามารถกลับมายังมิติเดิมได้อีกก็ได้ ออกมากจากมิติที่สี่ กลับมายังโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่สาม

แนวคิดนี้ได้รับความคิดเห็นที่เหมือนกันไม่น้อยเลยทีเดียว สามสิบปีมานี้ เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายต่างก็ทุ่มทั้งความคิดและแรงกายไปมากมาย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครคิดกฎเหล่านั้นออกเลย

จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เริ่มมีคนท้อแท้หมดกำลังใจและเริ่มคิดว่าแนวคิดนี้มันช่างดูเพ้อเจ้อไปเสียแล้ว ทางองค์กรจึงค่อยๆ เริ่มที่จะยอมแพ้ให้กับโครงการนี้ไป

แต่ในตอนนี้ ไบรอันที่ต้องการจะตามหาพ่อของตัวเอง จึงได้ทำการสานต่อโครงการ

พ่อของเขานั้นเป็นคนที่ลึกซึ้งและกว้างขวาง เป็นผู้เรียนรู้ที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม ตอนที่เขาหายตัวไป ไบรอันยังเป็นแค่เด็กน้อย ความทรงจำเท่าที่มีก็คือแม่ของเขานั้นเจ็บปวดแค่ไหนกับการที่พ่อของเขาหายตัวไป ยังมีชีวิตได้ไม่ถึงห้าสิบก็ต้องจากโลกนี้ไปเสียแล้ว ก่อนที่ท่านจะจากไปก็ยังคงคิดถึงพ่อของเขาเสมอ 

ก่อนที่แม่ของไบรอันจะจากโลกนี้ไป เขาเคยสัญญากับแม่เอาไว้ ว่าจะต้องตามหาพ่อให้เจอ เขามีไอคิวที่สูงไม่น้อย ผลการเรียนที่ออกมานั้นมีความโดดเด่นอยู่เสมอ และสุดท้ายก็กลายเป็นที่ยอมรับของทางองค์กร หลังจากที่พวกเขาได้รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของศาสตราจารย์วิลเลียม ก็รับเขาเข้าสู่องค์กรทันที เพื่อตามหาวิลเลียมต่อไป