บทที่ 534 ความแตกต่าง
เถาเฉินรู้สึกอ่อนแรงไปหมด ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการโปรโมทหนังเรื่อง ‘The Lost City’ อยู่ และหล่อนเองก็ได้ส่วนแบ่งจากตรงนั้นด้วย แต่แค่ความสำเร็จเล็กน้อยแบบนั้น เมื่อเทียบกับเจียงเซ่อและ เซี่ยเชาฉวินที่เป็นคนคุมกระดานหมากในครั้งนี้แล้ว ก็เรียกได้ว่าไม่มีค่าพอที่จะไปเทียบเลย
ถึงแม้ว่าเถาเฉินจะเป็นพวกที่ไม่เคยเพ้อฝันถึงสิ่งที่มันไม่มีความหมาย และรู้ว่าเรื่องที่มันผ่านไปแล้วคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแต่จะเพิ่มความหงุดหงิดรำคาญใจมากขึ้นเท่านั้น แต่ในตอนนี้มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้หล่อนหวนคิดขึ้นมา ถ้าหากว่าตอนนั้นเซี่ยเชาฉวินยังอยู่กับหล่อน คอยช่วยหล่อนตัดสินใจและวางแผนเรื่องต่างๆ หล่อนก็คงไม่มีทางมาตกอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ใช่ไหม?
ก็สามารถพูดได้ว่าตัวเจียงเซ่อเองก็มีดีไม่ใช่น้อย อีกทั้งยังมีคู่หมั้นที่ดี แต่ถ้าหากว่าไม่มีเซี่ยเชาฉวิน เธอก็คงไม่มีทางที่จะเดินมาได้อย่างราบรื่นถึงขนาดนี้แน่ๆ
คนที่มีความสามารถ ก็ต้องมีคนค้นพบ ถึงจะสามารถพัฒนาต่อไปได้
หล่อนมองใครอีกคนข้างๆ ที่พยายามจะซื้อใจหล่อนแต่ก็ไม่สำเร็จจนเกิดความรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างซ่งอี้แล้วความรู้สึกเสียใจในใจก็แปรเปลี่ยนเสียงถอนหายใจเบาๆ
“เฮ้อ…”
เถาเฉินคิดถึงการเติบโตของตัวเองตั้งแต่ที่เซ็นสัญญาเข้ามาเป็นส่วนหนี่งของซื่อจี้หยินเหอ ตอนที่หล่อนเพิ่งจะเข้ามาในซื่อจี้หยินเหอนั้น หล่อนยังเป็นแค่ดาราหน้าใหม่ แต่ตัวหล่อนเองก็คุณสมบัติที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นพอเข้าบริษัทมา ก็สามารถเซ็นสัญญาระยะยาวแปดปีได้เลยอย่างไม่มีปัญหา ตอนนั้นต้องแบ่งสัดส่วนให้กับผู้จัดการส่วนตัวด้วย และคนๆ นั้นก็คือเซี่ยเชาฉวินที่เพิ่งจะเข้าวงการนี้มาได้ไม่นานเหมือนกันนั่นเอง
ทั้งสองต้องพบเจอกับอุปสรรคและความยากลำบากมามากมาย จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่จะต้องต่อสัญญา กลุ่มของหล่อนและเซี่ยเชาฉวินนั้น จากที่เป็นแค่กลุ่มหน้าใหม่ ก็ได้ขึ้นมาเป็นดารานักแสดงและผู้จัดการแนวหน้าของซื่อจี้หยินเหอในทันที
กระทั่งเมื่อสัญญาของเซี่ยเชาฉวินครบตามกำหนด ลัวหยิ่นก็ต้องการที่จะรั้งให้หล่อนอยู่ต่อ แถมยังยอมแบ่งหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ให้กับหล่อนถึง 0.1% เลยทีเดียว
การกระทำของลัวหยิ่นนั้น ทำเอาทั้งบริษัทสะเทือนกันไปไม่น้อย และทำให้ผู้จัดการและดาราอีกหลายๆ คนเริ่มที่จะมองเห็นโอกาสของตัวเองบ้าง
ตอนนั้นท่านประธานพูดเอาไว้ว่า ในมือของเขานั้นมีเงินทองมากมาย เขาไม่กลัวที่จะมีคนที่มีความสามารถมาตั้งเงื่อนไขกับตน ซื่อจี้หยินเหอนั้นสามารถให้สิทธิพิเศษกับคนที่มีความสามารถเสมอ นอกจากจะยกระดับ และมอบโอกาสต่างๆ ให้มากขึ้นแล้ว ก็ยังมีตัวหุ้นอีกด้วย ขอแค่มีความสามารถ มีฝีมือที่ดี ไม่ว่าจะอะไรก็ให้ได้ทั้งนั้น
เถาเฉินเองก็เคยถูกคำพูดนั้นปลุกเร้าขึ้นมาเหมือนกัน ตอนนั้นหลังจากที่ครบกำหนดสัญญาแล้ว ในรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ ของการต่อสัญญา หล่อนเองก็ได้เสนอไปว่าต้องการที่จะได้หุ้นเป็นส่วนแบ่ง
ที่จริงเถาฉินเองก็เข้าวงการนี้มานานแล้ว แต่ก่อนตอนที่เพิ่งจะเข้ามาในวงการ หล่อนทำงานทุกอย่างอย่างขยันขันแข็งและมีความตั้งใจ ทำเงินทำรายได้จนมากพอที่จะสามารถใช้มันไปได้ทั้งชีวิตด้วยซ้ำ
แต่หลังจากที่มีเงินมากมายแล้ว สิ่งที่หล่อนต้องการก็ไม่ใช่แค่ตัวเงินอีกต่อไป หล่อนยังคาดหวังกับฐานะจุดยืนที่จะต้องสูงขึ้น และความคาดหวังมันก็มีมากขึ้นจริงๆ
ตอนนั้นท่านประธานเองก็เคยให้หล่อนไปเข้าพบ และคุยกับหล่อนเรื่องการต่อสัญญา
แต่ทว่าท่านประธานกลับไม่ได้ตอบตกลงเงื่อนไขการแบ่งหุ้นที่หล่อนเสนอไป และบอกว่าให้หล่อนรออีกหน่อย ความหมายของมันก็คือ เขาคิดว่าหล่อนยังไม่คู่ควรกับมันมากพอนั่นเอง
สุดท้ายแล้วเถาเฉินก็ถูกพูดดกลี้ยกล่อม การต่อสัญญาในครั้งต่อไป ส่วนแบ่งจะถูกปรับเปลี่ยนเป็น 8 : 2 และระยะเวลาสัญญาคือสิบปี
ในตอนนั้น เงื่อนไขของการต่อสัญญาต่างๆ ล้วนแล้วมีบริษัทเป็นคนจัดการทั้งสิ้น บริษัทไม่ได้มีการแบ่งส่วนแบ่งเหมือนกับรุ่นก่อนๆ อีก ตอนนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นดาราที่อยู่ระดับสูง หรือจะเป็นศิลปินที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน รายได้ที่ได้มาก็จะต้องแบ่งกับบริษัทเป็นจำนวน 7 : 3 ทั้งนั้น การที่หล่อนได้ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษสำหรับหล่อนมากแล้ว
แต่ในใจของเถาเฉินนั้นยังคงเก็บความเสียใจมาโดยตลอด หล่อนไม่เข้าใจว่าตนเองยังมีตรงไหนที่ไม่คู่ควรอีก
ในทุกๆ ปีหล่อนสามารถทำเงินให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาล ทั้งโฆษณาและหนังเรื่องต่างๆ ก็ดีๆทั้งนั้น หล่อนเป็นนางเอกแนวหน้าของซื่อจี้หยินเหอ และอยู่ในตำแหน่งนั้นมาได้ตั้งหลายปี ไม่มีดาราคนไหนจะมาเทียบได้อีกแล้ว
เถาเฉินไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เป็นคนมี่มีความสามารถเหมือนกัน เป็นเหมือนเครื่องผลิตเงินเหมือนกัน แต่ทำไมในตอนที่เซี่ยเชาฉวินกำลังจะหมดสัญญา ลัวหยิ่นกลับยินยอมที่จะแบ่งหุ้นให้ถึง 0.1% อย่างไม่ลังเลเพื่อรั้งหล่อนไว้กันนะ
แต่เมื่อถึงเวลาที่ตัวหล่อนใกล้จะหมดสัญญา เมื่อได้ลองเสนอว่าต้องการส่วนแบ่งหุ้นไป ลัวหยิ่นกลับปฏิเสธกลับมาทันทีเสียอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าเรื่องมันจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เถาเฉินยังคงจดจำสถานการณ์ที่ตัวเองได้ไปเข้าพบท่านประธานได้เป็นอย่างดี ลัวหยิ่นถือแก้วชาเอาไว้ ยิ้มขำๆ เมื่อได้ฟังเงื่อนไขที่หล่อนได้เสนอออกไป
ในตอนที่หล่อนบอกว่าต้องการหุ้น ถึงแม้ว่าภายนอกจะแสดงออกว่านิ่งจริงจังแค่ไหน แต่จริงๆ แล้วในใจของหล่อนมันกำลังเต้นราวกับกลอง หลังจากนั้นเถาเฉินก็คิดมาตลอดว่าหรือจะเป็นเพราะอาการไม่มั่นคงของตัวเองถูกลัวหยิ่นมองออกกันนะ ทำให้เขามองออกว่าในตอนที่ตัวหล่อนพูดขอหุ้นออกไป ก็แค่กำลังแกล้งทำเป็นเข้มแข็งและสงบนิ่ง ดังนั้นเขาจึงตอบปฏิเสธกลับมาทันทีอย่างไม่ลังเล?
เธอจำสิ่งที่ท่านประธานพูดได้ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า
“คุณเถา ถ้าพูดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ คิดว่ามันน่าจะเร็วไปหน่อยนะ รออีกหน่อยดีกว่า”
ประโยคที่ว่า ‘ยังเร็วไปหน่อย’ มันกลายมาเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเถาเฉินมาอีกหลายปี ไม่เข้าใจเลยสักนิด ไม่เคยสลัดหลุด
หล่อนไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ทำอะไรให้กับบริษัทตั้งมากมายเหมือนกัน เซี่ยเชาฉวินได้หุ้นจาก ลัวหยิ่นเพื่อรั้งให้อยู่ต่อ แต่กับหล่อนกลับบอกว่าเร็วไปงั้นหรือ?
หรือเป็นเพราะว่าท่านประธานคิดว่าการก้าวหน้าของหล่อนจะมีจำกัด จะดังได้แค่ไม่กี่ปีงั้นหรือ?
หล่อนถอนหายใจออกมา ตั้งแต่ที่เป็นวัยรุ่นจนมาถึงช่วงวัยกลางคน หล่อนตั้งใจและมุ่งมั่นกับงานมาโดยตลอด ในทุกๆ ปีมีการรับงานแสดง รับงานโฆษณา ตลอดฤดูกาลในหนึ่งปีหล่อนแทบไม่ได้เจอหน้าคนในบ้านเลยด้วยซ้ำ เอาแต่ทำงานหาเงินจนไม่มีเวลาได้ชื่นชมหรือใช้มัน ซื้อบ้านที่ใหญ่โตได้แต่กลับไม่มีคนอยู่จนเหมือนบ้านร้าง
ถ้าจะให้พูดแบบเสียดสีเลยละก็ เวลาที่หล่อนต้องอยู่บนเครื่องบิน ยังมากกว่าเวลาที่อยู่ในบ้านเสียอีก
เวลาก็ผ่านมากกว่าสามสิบปีแล้ว ไม่มีแฟนไม่มีครอบครัว เพื่อคำว่า ‘ยังเร็วไป รออีกหน่อยเถอะ’ ในตอนนั้น ทำให้หล่อนตั้งมั่นว่าจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้
หล่อนคิดมาตลอดว่าความแตกต่างระหว่างตัวเองและเซี่ยเชาฉวินมันอยู่ที่ตรงไหน และพยายามที่จะหาคำตอบในตอนที่ได้ร่วมงานต่างๆ กับเซี่ยเชาฉวินมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่เข้าใจเสียที จนกระทั่งในวันนี้ ทันทีที่หล่อนได้ยินจากปากของซ่งอี้ว่าเซี่ยเชาฉวินได้ตั้งค่าตัวเจียงเซ่อเอาไว้ถึงแปดสิบล้านพร้อมกับขอส่วนแบ่งจากยอดขายบัตรหนังแล้วนั้น สิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยเข้าใจมาโดยตลอด หลังจากที่ได้แยกจากเซี่ยเชาฉวินแล้ว เถาเฉินก็เกิดเข้าใจมันได้ในทันที
ที่จริงคำตอบมันอยู่ตรงหน้าหล่อนมาโดยตลอด เป็นหล่อนเองที่มัวแต่มองไปในทางอื่น
หลังจากที่ไม่ได้ร่วมงานกับเซี่ยเชาฉวินอีก หล่อนก็ยังเป็นเถาเฉิน เป็นแค่เถาเฉิน
แต่ทว่าเซี่ยเชาฉวินไม่ได้มีหล่อนที่เป็นดาราของตัวเองแค่คนเดียว ในเมื่อเซี่ยเชาฉวินสามารถสร้างเถาเฉินให้กลายมาเป็นตัวทำเงินทำทองให้กับซื่อจี้หยินเหอได้ หล่อนก็สามารถที่จะสร้างให้เจียงเซ่อกลายเป็นตัวชูโรงของซื่อจี้หยินเหออีกคนได้เช่นกัน
นี่คือความแตกต่างระหว่างไข่ทองคำกับแม่ไก่ที่สามารถฟักไข่ทองคำได้ ทำไมแต่ก่อนหล่อนถึงคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้กันนะ?
“คุณเถาครับ…คุณเถา…”
ซ่งอี้สังเกตเห็นว่าหล่อนกำลังมีท่าทางเหมือนใจลอย เหมือนสติหลุดอย่างไรอย่างนั้น เขาเรียก เถาเฉินไปตั้งหลายรอบแล้ว แต่หล่อนก็เอาแต่เหม่อลอย ไม่ได้ฟังในสิ่งที่เขาพูด
อาการแบบนั้นเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นกับเถาเฉินเลยด้วยซ้ำ หล่อนมักจะมีแต่ความมั่นใจในตนเอง เต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่มุ่งมั่น ตั้งแต่ที่ซ่งอี้ได้เข้ามาทำงานในบริษัทนี้ก็เหมือนต้องแหงนมองผู้หญิงคนนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งในตอนนี้ที่ได้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของหล่อน ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเห็นว่าหล่อนนั้นดูเหมือนหมดความพยายามและดูซึมเศร้าแบบนี้ หล่อนมักจะสามารถใช้โอกาสได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอ และเป็นคนที่ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมานั่งเหม่อและเสียใจอะไรได้ง่ายๆ แบบนี้ แต่ในตอนนี้หล่อนกับดูหงอยเหงาเศร้าซึมเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามีเรื่องที่ทำให้หล่อนต้องโฟกัสอยู่ตลอดเวลา
“หืม?”
หล่อนกลับมามีสติอย่างรวดเร็ว และหันไปมองซ่งอี้ที่มองหล่อนอย่างกังวล
“คุณเถา คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
“ไม่เป็นอะไรหรอก”
หล่อนยกมือขึ้นเสยผมทีสองที แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ และกลับมาดูสงบนิ่งและแน่วแน่เหมือนเดิม
“อาจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงโปรโมทหนัง เลยรู้สึกเหนื่อยๆ น่ะ”
ซ่งอี้พยักหน้า ไม่ได้สงสัยในคำตอบของหล่อนอีก หญิงสาวคนนี้ในสายตาของใครหลายๆ คนใน ซื่อจี้หยินเหอ หล่อนเป็นคนที่อยู่ในกลีบก้อนเมฆ ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะสงสัยอะไรในตัวหล่อนนัก
“สิ่งที่คุณพูดเอาไว้ในก่อนหน้านี้ก็มีอยู่บ้างนะครับ โจวเซิงบอกมาอีกว่า ท่านประธานอาจจะยินยอมที่จะเพิ่มค่าตัวให้กับเจียงเซ่อ และจะสร้างเงื่อนไขต่างๆ ในสัญญาให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น” ท่าทางของเขาดูเหมือนสงสัยไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยถามออกมาเหมือนคนโง่
“แต่ว่าผมไม่เห็นจะเข้าใจเลยนะครับ”
ตอนที่เขาพูดแบบนั้น ก็เห็นว่าเถาเฉินยิ้มขึ้นมาเหมือนกับกำลังรอฟังอยู่
“ผมไม่เข้าใจว่า ทั้งๆ ที่เจียงเซ่อเองก็เคยได้ถ่ายหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ มาก่อน เคยได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังอย่างเชี่ยซ่าเหลย ตัวเลือกถัดไปของเธอ ก็น่าจะเป็นฮอลลีวูดไม่ใช่หรือ เพื่อที่จุดยืนจะได้กว้างออกไปอีก ทำไมเธอถึงยังได้กลับมารับงานหนังในประเทศ แถมยังเป็นหนังของ หลินซีเหวินที่ไม่ค่อยจะมีชื่อเสียงอะไรอยู่แล้วด้วย” พอเขาพูดถึงตรงนี้ ก็พบว่าเถาเฉินเองก็ดูไม่ได้มีท่าทางรำคาญในสิ่งที่ตนกำลังพูด จึงเริ่มที่จะมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“หนังเรื่องนี้ก็ได้ยินคนพูดกันมาว่า บทหนังก็เป็นแค่เรื่องที่เกี่ยวกับความรักในนิทานเทพนิยาย และคนที่เขียนบทหนังก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร”
หรือพูดได้ว่า หนังทั้งเรื่องนั้นมันไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่ ผู้กำกับก็เป็นแค่หลินซีเหวินที่ไม่เคยได้รับรางวัลมาก่อน ชื่อเสียงก็ไม่ถึงกับดีมาก เขาคิดไม่ออกถึงเหตุผลที่เจียงเซ่อรับเล่นเรื่องนี้เลยจริงๆ