บทที่ 532-2 ข้ามผ่าน
เมื่อเจียงเซ่ออ่านเนื้อเรื่องทั้งหมดจบในคราวเดียว ท้องฟ้าข้างนอกก็มืดสนิทแล้ว
โคมไฟข้างๆ ยังคงเปิดสว่าง น้ำชาที่โม่อานฉีชงเอาไว้ให้เธอก็จิบไปแค่เล็กน้อยแล้วตั้งไว้ข้างๆ และตอนนี้มันก็คงจะเย็นชืดไปหมดแล้ว
บทหนังเรื่องนี้ไม่แปลกใจเลยที่หลินซีเหวินยินยอมที่จะรอเธอ เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้มันแตกต่างกับเรื่อง ‘โลกอันสงบสุขของเทพเจ้าเอ้อร์หลาง’ อย่างสิ้นเชิง เพราะมันมีรายละเอียดยิบย่อยทางด้านความรู้สึกตามฉบับของหลินซีเหวินอยู่ทั่วทุกมุมของเรื่องนี้นั่นเอง
ปากของจินซื่อเจินก็เอาแต่พร่ำหา ‘เซียนหยวน’ แต่เมื่อเซียนหยวนได้มาอยู่ต่อหน้าเขาจริงๆ เขากลับหนีห่างออกมาด้วยความกลัว
เมื่อภายหลังมารู้ว่าคนที่ตัวเองรักจริงๆ นั้นคือใคร ก็กลับไม่มีความกล้ามากพอ สุดท้ายก็ต้องสูญเสียคู่ชีวิตของตนเองไป
เมื่อเทียบกันแล้ว เหมยเซียนหยวนนั้นมีความรักที่ลึกซึ้งกว่าเขาเสียอีก
ตอนที่ทั้งสองคนรักกัน นางได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวแล้ว ว่าจะละทิ้งความเป็นเทพและยอมกลายเป็นเพียงนางปีศาจแทน เพื่อสัญญาที่เคยให้ไว้กับจินซื่อเจิน เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างกายเขาตลอดไป ให้มันกลายเป็นบุพเพสันนิวาส
แต่ทว่าเมื่อสุดท้ายนางได้สละสิ้นทุกอย่างแล้ว ไม่มีเพื่อนเก่าในวันวาน มีแค่การรอคอยที่ไม่สามารถนับเวลาได้ แต่กลับต้องพบว่าจินซื่อเจินนั้นไม่ได้ชอบและรักอะไรที่เป็นตัวนางเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเพราะว่านางนั้นเป็นปีศาจจึงหลีกหนีด้วยความกลัว ถือว่าเป็นการเย้ยหยันที่ยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว
เจียงเซ่อหยิบข้อมูลตัวละครขึ้นมาอ่าน บทที่หลินซีเหวินให้เธอมานั้น ก็คือเหมยเซียนหยวน
ดูจากชื่อของตัวละครที่ได้ออกมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของเรื่องนั้น ในสายตาของเหล่าปีศาจ นางเปรียบเสมือนนางปีศาจที่มีฤทธิ์เดชแข็งแกร่งที่สุด เป็นพวกอ้างว้างและเย็นชา ไม่ชอบที่จะพูดคุยกับใคร หนึ่งร้อยปีมีวันเกิดแค่ครั้งเดียว แต่กลับไม่เคยรับของจากใครเลย
เมื่อครบรอบหนึ่งพันปีก็ได้รับจินซื่อเจินมาเป็นของขวัญ แต่ก็ต้องมาพบกับความเสียใจแบบนี้
ในซีนแรกที่นางปรากฏตัวขึ้นมา กลับสวยงดงามจนไม่เหมือนกับเป็นปีศาจร้ายแม้แต่น้อย แต่กลับมีรูปโฉมบริสุทธิ์เหมือนพวกเทพเซียนเสียมากกว่า ทำเอาจินซื่อเจินที่รู้สึกอคติกับนางถึงกับต้องตาเป็นประกาย ตกตะลึงในความงามจนควบคุมตัวเองไม่ได้
แต่ท่าทางเหล่านั้น ทันทีที่นางเห็นจินซื่อเจินนางก็เปลี่ยนไปในทันที แววตาของนางมีความดีใจที่แฝงไปด้วยความตื้นตันและมีความสุข ราวกับสาวน้อยวัยแรกแย้ม
หลังจากนั้นนางก็ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อที่จะได้อยู่กับจินซื่อเจิน ยืมฐานะของ ‘คนอื่น’ มาแทน แต่คงเพราะรู้ถึงผลสุดท้ายระหว่างนางและจินซื่อเจินอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าจินซื่อเจินจะเริ่มชอบและเริ่มรักนางมากขึ้น นางก็ยังรู้สึกว่าตนเองต้องสูญเสียอะไรไปอยู่ดี และรู้สึกระทมทุกข์เหลือเกิน
ตัวละครนี้แสดงอารมณ์ค่อนข้างหลากหลาย เจียงเซ่อรู้สึกว่ามันน่าสนใจมากจริงๆ เมื่อได้อ่านบทสรุปของเรื่องนี้จบ ก็ทำให้เจียงเซ่อรู้สึกว่า เธอแน่ใจแล้วว่าจะรับเล่นหนังเรื่องนี้
เธอบิดขี้เกียจ โม่อานฉีที่นั่งเล่นมือถืออยู่ข้างๆ มาโดยตลอดก็วางมันลง แล้วถอนหายใจออกมา
“ในที่สุดเธอก็อ่านจบแล้วสินะ”
ตอนที่เจียงเซ่อนั่งอ่านบทหนังก็ดูเหมือนว่าจะมีสมาธิสุดๆ แม้แต่หล่อนที่ลอบมองเธอไปตั้งหลายครั้งก็ยังไม่รู้ตัว
“บทหนังของหลินซีเหวินเรื่องนี่ เธอคิดว่ายังไงล่ะ?”
เจียงเซ่อพยักหน้า มองดูหล่อนที่ถือเค้กก้อนหนึ่งเอาไว้และตักกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ไม่เลวเลยค่ะ ครั้งนี้หลินซีเหวินคงจับความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว”
ขอแค่การถ่ายทำเป็นไปตามโครงเรื่องนี้ ระหว่างการถ่ายทำไม่เกิดข้อผิดพลาดขั้น นักแสดงแสดงความสามารถ ออกมากันอย่างสม่ำเสมอ คาดว่าหลินซีเหวินคงสามารถใช้หนังเรื่อง ‘เซียนหยวน’กู้ชื่อเสียงกลับมาได้เลย แก้สถานการณ์จากที่เคยโดนวิจารณ์แย่ๆ จากเรื่อง ‘โลกอันสงบสุขของเทพเจ้าเอ้อร์หลาง’ นั้นคืนมา
ในการถ่ายทำ หลินซีเหวินนั้นเชี่ยวชาญในเรื่องการเก็บรายละเอียดความรู้เหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร กับหนังแนวเทพนิยายแบบนี้ หลังจากมีการกำหนดตัวเงิน บทหนัง นักแสดงและผู้กำกับเรียบร้อยแล้วก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร และคงไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องยุ่งยากด้วย
“ตกลงเธอจะรับเล่นหนังเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?”
โม่อานฉีที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ก็อึ้งไป เจียงเซ่อก็ตอบรับ
วันถัดมาเธอก็ได้ติดต่อหาหลินซีเหวินทันที เพื่อบอกกับเข้าว่าเธอจะรับเล่นหนังเรื่อง ‘เซียนหยวน’หลินซีเหวินที่ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจสุดๆ
ตั้งแต่ที่ส่งบทหนังเรื่อง ‘เซียนหยวน’ ให้กับเจียงเซ่อ มาถึงตอนนี้ก็ผ่านไปแล้วกว่าสองปี หลินซีเหวินก็เหมือนเอาสองปีนั้นแลกเป็นโอกาสมา
ปลายสายอย่างหลินซีเหวินแสดงความดีใจออกมาผ่านทางน้ำเสียงอย่างไม่ปกปิด เขาบอกกับเจียงเซ่อว่าจะติดต่อกลับไปหาทางบริษัทของเธอ และส่งมอบบทหนังให้กับซื่อจี้หยินเหออย่างเป็นทางการ และค่อยเจรจาเรื่องตัวสัญญาต่อไป
เมื่อคุยเรื่องสำคัญเสร็จแล้ว หลินซีเหวินก็เงียบไปครู่หนึ่ง จนสุดท้ายก็ถามออกมา
“เซ่อเซ่อ ฉันถามหน่อยสิ ทำไปเธอถึงได้ยอมรับเล่นเรื่อง ‘เซียนหยวน’ ล่ะ?”
พอเขาถามจบ ก็คิดว่าตัวเองนั้นใช้คำผิดไปหน่อย จึงพูดอธิบายขึ้นต่อ
“แน่นอนว่าฉันไม่ได้บอกว่าบทมันไม่ดีหรอกนะ”
บทหนังของหนังเรื่องนี้ ที่จริงแล้วเขาเชิญโหวซีหลิ่งมาเป็นผู้เขียนเลยด้วยซ้ำ อยากขอร้องให้ โหวซีหลิ่งมาช่วยเขาเขียนบทอีกสักครั้ง
แต่เพราะว่าปัญหาด้านสุขภาพร่างกาย ทำให้สุดท้ายแล้วโหวซีหลิ่งปฏิเสธคำขอของเขาไป แต่เพราะว่าทั้งสองคนนั้นเคยร่วมงานกันมาก่อน ดังนั้นโหวซีหลิ่งจึงแนะนำลูกศิษย์คนหนึ่งให้ การเขียนบทของเขาคนนั้นก็มีพื้นฐานเหมือนๆ กับคนสอน และบทหนังที่เขียนออกมาก็เต็มไปด้วยบรรยากาศสีสันของเทพเซียนและความโรแมนติกของหนังรัก
วินาทีที่ได้รับบทหนังมานั้น พอหลินซีเหวินได้อ่านมันจนจบแล้วสิ่งแรกที่เกิดขึ้นมาในหัวก็คือการชวนเจียงเซ่อมาเล่นหนังเรื่องนี้
เขารู้สึกและสัมผัสได้ว่าหนังเรื่องนี้จะต้องไม่ธรรมดา เพราะว่าบทหนังดี ก็ถือว่าเป็นส่วนหนี่งที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าหากว่าสามารถชวนเจียงเซ่อมาแสดงได้ อาศัยฝีมือการแสดงที่ก้าวหน้าไปอย่างมากในหลายปีนี้ของเจียงเซ่อ ทันทีที่ ‘เซียนหยวน’ เข้าฉาย ยอดขายบัตรหนังก็คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอีก
แต่ทว่าเจียงเซ่อในตอนนี้ก็ไม่สามารถที่จะมองให้เป็นเหมือนเจียงเซ่อในตอนที่ได้ร่วมงานกันในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ของหลินซีเหวินอีก ตอนที่เล่นเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ เธอยังเป็นแค่ดาราหน้าใหม่ ค่าตัวแค่ไม่กี่แสนก็สามารถเชิญให้มาเป็นนางเอกของเรื่องได้แล้ว
แต่ในตอนที่หลินซีเหวินเกิดความคิดอยากจะให้เจียงเซ่อมาเป็นนักแสดงหลักนั้น เจียงเซ่อเองก็ได้ถ่ายหนังมาหลายเรื่องแล้ว จุดยืนและฐานะของเธอก็สูงขึ้นด้วย
ยิ่งโดยเฉพาะหนังเรื่อง ‘Evil’ ที่ได้มีชื่อเข้าชิงรางวัล ‘นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม’ ในงานเทศกาลหนังภาพยนตร์ที่ประเทศฝรั่งเศส ทำให้หลินซีเหวินเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะยอมับเล่นหนังเรื่องนี้ของตน
ก่อนที่เจียงเซ่อจะไปถ่ายทำหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ของเชี่ยซ่าเหลยในปีที่แล้วนั้น หลินซีเหวินก็ได้ยอมให้เธอถ่ายหนังให้เสร็จก่อนแล้วค่อยลงพิจารณาเรื่อง ‘เซียนหยวน’ อีกที แต่จริงๆ ในใจก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน
เธอเคยได้ร่วมงานกับผู้กำกับใหญ่และหนังฟอร์มยักษ์มาแล้ว แล้วเธอยังจะหันมาสนใจเรื่อง ‘เซียนหยวน’ อีกหรือเปล่า เรื่องแบบนี้มันก็ไม่แน่นอนหรอก
ดังนั้นหลังจากที่หนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ปิดกล้องไป หลินซีเหวินก็ไม่ได้คิดที่จะโทรหาเจียงเซ่อในทันที แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วเจียงเซ่อจะเป็นฝ่ายโทรมาบอกเขาเองแบบนี้
ความหมายของเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดจนจบเจียงเซ่อก็พอจะเข้าใจดี ในมือของเธอยังถือตัวแนะนำตัวละครของเรื่อง ‘เซียนหยวน’ เอาไว้ พอได้ยินสิ่งที่หลินซีเหวินถามแล้ว ก็ยิ้มขึ้นมา
“ผู้กำกับหลินคะ คุณน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว หนังที่ดี มันไม่มีเส้นแบ่งแยกหรอกค่ะ”
ไม่ใช่เงินทุนก้อนใหญ่ของชาวต่างชาติ ไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่หรือผู้กำกับที่มีชื่อเสียง แต่หนังที่สร้างออกมาก็ดีได้เหมือนกัน ภาพยนตร์ในประเทศนั้นก็ดีไม่แพ้ใครๆ เลย
“สำหรับฉันแล้ว หนังที่เกี่ยวกับเทพเซียนหรือความเชื่อโบราณของหัวเซี่ยนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีตลาดเสียทีเดียว เพียงแค่มันยังขาดเนื้อเรื่องที่ควรจะสัมพันธ์กัน และผู้กำกับที่สามารถถ่ายทอดเนื้อเรื่องให้กับคนดูได้จริงๆ เท่านั้นเองค่ะ”
ตอนนี้ ‘เซียนหยวน’ ก็เป็นเหมือนแก้วชาแก้วหนึ่ง เป็นแก้วที่มีเสน่ห์มองแล้วสบายใจ เมื่อดื่มมันเข้าไปแล้วก็ยังทิ้งความหอมหวนเอาไว้ในโพรงปาก ยังคงสามารถนึกถึงรสชาติของมันได้อยู่เสมอ
หลินซีเหวินเองก็จัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ทางบริษัทก็ได้รับบทหนังเรื่อง ‘เซียนหยวน’ มาแล้ว
เนื่องด้วยเพราะความจริงใจจากเจียงเซ่อ ทำให้สามารถดำเนินเรื่องมาจนถึงเรื่องค่าตัวและเรื่องอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนเรื่องการลงทุนของหนังเรื่อง ‘เซียนหยวน’ นั้น หลินซีเหวินเองก็ได้ติดต่อไปยังเนี่ยต้าน และได้เจรจาโน้มน้าวเนี่ยต้าน เซี่ยงชิวจี๋และคนอื่นให้รับลงทุนหนังเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ได้ทุนดั่งใจ เซี่ยเชาฉวินก็ได้ตั้งค่าตัวเจียงเซ่อไว้ที่แปดสิบล้าน ในขณะเดียวกันก็ขอให้มีส่วนแบ่งจากยอดขายบัตรหนังด้วย ตัวเลขนี้ ถือว่าเกินค่าตัวของเถาเฉินไปแล้วด้วยซ้ำ หลังจากที่มีการกำหนดค่าตัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จุดยืนของเจียงเซ่อในซื่อจี้หยินเหอ ก็เหมือนจะข้ามผ่านเถาเฉินไปเป็นที่เรียบร้อย ถึงขั้นที่ว่าขึ้นมาเป็นดาราแนวหน้าของหัวเซี่ยแล้วด้วยซ้ำ