บทที่ 522-1 ฉันเอง
“กว่าจะได้บทนี้มาๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอจะต้องรักษามันเอาไว้สิ! ถ้าเกิดไปทำให้เชี่ยซ่าเหลยโกรธเข้าอีกละก็ มันไม่มีอะไรดีกับเธอแน่ๆ คุณสมิธเองก็ถึงกับโทรมาหาฉันแล้วด้วยซ้ำ ว่าช่วงนี้เธอเป็นอะไรกันแน่!”
ใบหน้าของผู้จัดการส่วนตัวดูดุไม่น้อย ลาร่ากวาดของที่อยู่บนโต๊ะเครื่องสำอาง เสียงของกระทบลงกับพื้นดังไปทั่วห้อง เครื่องสำอางหลายชิ้นและของใช้ต่างๆ ตกลงไปอยู่บนพื้นจนหมด กระปุกแป้งแตกกระจาย ละอองแป้งฟุ้งกระจายไปทั่ว และมันก็เลอะเท้าเธอไปข้างหนึ่ง
หล่อนสะบัดเท้าอย่างไม่แยแส แล้วยกชายกระโปรงขึ้นมา
“จัดการส่งผู้หญิงชาวหัวเซี่ยนั่นกลับไปซะ ยัยนั่นจะต้องทำอะไรกับฉันสักอย่างแน่ๆ!”
วันที่เจียงเซ่อถ่ายฉาก ‘ถูกเผา’ นั้น ลาร่าก็เลือกที่จะลงมือ ทำให้ส่งผลที่ร้ายแรงต่อตัวเองในภายหลัง ยิ่งหลายวันที่ผ่านมานี้เจียงเซ่อเอาแต่ปิดหน้าคลุมหัว บวกกับคำบอกเล่าต่างๆ ของพวกทีมงาน มันก็ยิ่งทำให้ลาร่าเชื่อว่าตัวเองได้ทำให้เจียงเซ่อเสียโฉมไปแล้ว
เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ยังมีแต่ความสะอกสะใจ แต่พอหล่อนได้รู้ว่าเจียงเซ่อจะยังไม่ไปจากโมเดนาแล้ว แถมยังตั้งใจที่จะอยู่ในอิตาลีไปอีกสักระยะ ก็ทำเอาหล่อนกังวลและระแวงอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะกับสายตาของเจียงเซ่อ ที่เหมือนจะคอยหาช่องทางเล่นงานหล่อนอยู่ตลอด นั่นก็ยิ่งทำให้หล่อนกังวลเช่นกัน
“ฉันแสดงฉากที่ต้องถ่ายวันนี้ไม่ได้นะแจ๊ค!” เพราะแป้งที่ติดอยู่บนขามันไม่ยอมหลุดออกไปเสียที หล่อนจึงถอดรองเท้าออกอย่างโมโห จากนั้นก็ใช้แรงโยนมันไปที่โต๊ะเครื่องสำอาง
รองเท้ากระแทกกระจกดัง ‘ปึง’ ก่อนจะตกลงบนโต๊ะ ใบหน้าของหล่อนที่สะท้อนอยู่บนกระจกนั่นแดงก่ำ
“ผู้หญิงหัวเซี่ยคนนั้น ยัยนั่นต้องการที่จะแก้แค้นฉันแน่ๆ นายเห็นรึเปล่า ฉากที่ต้องถ่ายในวันนี้ หล่อนจะต้องทำให้ฉันเสียโฉมเหมือนกันแน่ๆ!”
พอหล่อนพูดจบ ผู้จัดการส่วนตัวก็โมโหฉุดแขนหล่อนขึ้นมา ก่อนหน้านี้เชี่ยซ่าเหลยก็ได้พูดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าฉากหนังที่อยู่ในช่วงฤดูหนาวจะต้องถ่ายให้เสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ แต่ตอนนี้มันก็ต้นเดือนมกราคมแล้ว ทั้งสภาพอากาศและอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนแล้วเกิดปัญหาจนไม่สามารถถ่ายได้อย่างราบรื่น และหยุดมาเกือบจะอาทิตย์แล้ว ถ้าลาร่ามาบอกว่าไม่ถ่ายอีก ถึงแม้ว่าจะแค่วันเดียวที่หล่อนจะไม่ถ่าย และไม่ได้ทำให้ทีมงานต้องเสียเวลาอะไรมากมาย แต่เชี่ยซ่าเหลยจะต้องหัวเสียขึ้นมาแน่ๆ และเขาจะต้องลงทุกอย่างที่หล่อนแน่ๆ!
บทบริตนีย์บทนี้ ทางบริษัทต้นสังกัดต้องจ่ายไปมหาศาลแค่ไหนเพื่อที่จะได้มันมา “ถ้าเกิดว่าเธอทำให้เชี่ยซ่าเหลยโมโห จนถูกไล่ออกจากกองถ่ายละก็ พอกลับไป เธอก็จะต้องโดนคุณสมิธโกรธเข้าอีก และฉันก็คิดว่าเธอไม่มีทางรับมันได้แน่!”
“ไม่ว่าวันนี้จะเป็นยังไง การถ่ายทำในวันนี้เธอจะต้องเรียกสติกลับมาให้ได้” พอแจ็คพูดออกมาแบบนั้น ก็ด่าออกมาอีกหลายคำ
“ตอนนั้นฉันเองก็เตือนเธอแล้วนะ ว่าอย่าทำอะไรโง่ๆ นิสัยท่าทางของหญิงสาวชาวหัวเซี่ยคนนั่นน่ะ ฉันคิดว่าเธอน่าจะได้บทเรียนไปตั้งแต่วันแรกแล้วซะอีก!”
วันที่เปิดกล้องวันนั้น ลาร่าก็หาเรื่องใส่ตัวเองทั้งนั้น ก็รู้อยู่แล้วว่าเจียงเซ่อไม่ใช่คนที่ควรไปยุ่งด้วย แต่ลาร่าก็ยังคิดจะไปหาเรื่องเธออยู่ตลอด ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่ทันจะทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่หล่อนก็กลับคิดกังวลไปก่อนแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป หล่อนคงไม่มีทางมีสติถ่ายหนังต่อแน่
“เธอฟังฉันนะ” พอผู้จัดการส่วนตัวด่าเสร็จแล้ว ก็สูดหายใจเข้าลึก เพื่อที่จะให้ลาร่าสูดหายใจเข้าลึกๆเหมือนตัวเองด้วย จึงพยายามที่จะสงบลง
“เพราะว่าการกระทำของเธอก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเราเพิ่มการตรวจสอบและป้องกันให้เธอมากกว่าเดิมแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ดับเพลิง ชุดกันไฟ เสื้อใยหินจนไปถึงน้ำมันที่จะเอาไว้ทาตัวพวกเราก็ช่วยกันตรวจสอบหมดแล้ว เธอควรที่จะเชื่อใจพวกเราสิ”
ลาร่าเริ่มคิดขึ้นมาได้ วันที่เจียงเซ่อถ่ายวันนั้น ผู้จัดการส่วนตัวของเธอก็เหมือนว่าจะตรวจสอบพวกอุปกรณ์การถ่ายทำเหล่านั้นกันอย่างดีและละเอียดไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ยังโดนหล่อนเจอช่องโหว่อยู่ดี
“หล่อนเป็นถึงเพื่อนของเชี่ยซ่าเหลย การที่เชี่ยซ่าเหลยให้เธออยู่ต่อได้ บางทีก็อาจเป็นเพราะว่าจะปล่อยให้เธอได้มาโอกาสได้แก้แค้น พวกเราจะมาประมาทแบบนี้ไม่ได้นะแจ็ค ฉันคิดว่าฉากนี้ควรจะมีตัวแสดงแทนมาช่วยเล่นแทนถึงจะถูกต้อง”
พอหล่อนพูดถึงตรงนี้ ก็เหมือนว่าจะคิดอะไรออกได้อีก ท่าทางเหมือนยกภูเขาออกจากอก
การถ่ายฉากๆ นี้ของหนัง มีการเตรียมการมากว่าสามวันได้แล้ว
ถ้าหากว่าการตายของเชอรีน เป็นเหมือนการเปิดม่านสู่ความทะยานอยากของอังเดรแล้วละก็ งั้นในฉากๆ นี้ มันก็คือการเปิดเรื่องทั้งหมดของหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ นั่นเอง และ เชี่ยซ่าเหลยก็ให้ความสำคัญกับมันมาก
เวลาการเริ่มถ่ายกำหนดไว้สามทุ่มขึ้นไป ทีมงานทุกคนล้วนแล้วมาถึงที่กองถ่ายกันแต่เช้า ทั้งพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและหน้าผาทางเดินต่างก็ถูกเตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้ว อุปกรณ์ต่างก็เตรียมเอาไว้เรียบแล้วเช่นกัน กล้องในจุดต่างๆ ล้วนแล้วประจำตำแหน่งพร้อม เชี่ยซ่าเหลยกำลังตรวจสอบทุกอย่างไปรอบๆ กองถ่าย เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรตกหล่นและผิดพลาด แต่จู่ๆ ก็มีข่าวมาจากทางลาร่าว่า วันนี้ตัวเองไม่สบาย ไม่สามารถทำการถ่ายทำได้ และต้องการที่จะใช้ตัวแสดงแทน ในการถ่ายฉากพิเศษฉากนี้
หลังจากที่ผู้ช่วยของลาร่าส่งข่าวนั้นเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าสิ่งที่จะได้รับกลับมาคือความโมโหของเชี่ยซ่าเหลยเสียอีก แต่เชี่ยซ่าเหลยก็ทำแค่หัวเราะอย่างเย็นชาเท่านั้น
“ฉากที่ต้องถ่ายในวันนี้ ฉันคิดว่าคงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ตัวแสดงแทนหรอก”
ทีมงานและทุกคนในกองถ่ายต่างก็เตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งเดียวที่ยังคงแปลกแยกอยู่เสมอ นั่นคือลาร่าไม่เคยเตรียมตัวให้พร้อมเลย
“ตั้งแต่เริ่มถ่ายทำจนมาถึงวันนี้ ทีมงานทุกคนล้วนแล้วต้องทนอยู่ในสภาวะอากาศที่หนาวเย็นทั้งนั้น ถ้าหากว่าลาร่า บราวน์ไม่สบายจริงๆ ทางกองถ่ายเราก็มีหมออยู่ และเราก็ยังสามารถเรียกรถพยาบาลมาให้ได้ด้วยนะ”
ถ้าหากว่าเชี่ยซ่าเหลยโกรธโมโหออกมา ผู้ช่วยก็ยังพอที่จะรับได้บ้าง แต่ตอนนี้เขากลับเก็บความโกรธเอาไว้ ทำให้ผู้ช่วยไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกไปได้อีก
ลาร่ายังไม่ทันที่จะได้ใส่ชุดป้องกันเลยด้วยซ้ำ และตอนนี้ก็ใกล้ที่จะสองทุ่มแล้ว และเธอก็อยู่ห่างจากกองถ่ายไปถึงหนึ่งชั่วโมง ถ้าหากว่ายังล่าช้าอยู่แบบนี้ละก็ การถ่ายทำในวันนี้จะต้องถูกเลื่อนออกไปอีกแน่ๆ
ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใครแบบนี้ เจียงเซ่อเองก็นั่งอยู่ข้างๆ กำลังนั่งมองแจ็คและ เชี่ยซ่าเหลยที่กำลังคุยกันด้วยความหงุดหงิดทั้งคู่ เธออดไม่ได้ที่จะแอบกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมา
ผู้จัดการส่วนตัวของลาร่ายังคงเอาแต่พูดอธิบายต่างๆ นาๆ ต่อเชี่ยซ่าเหลย บางครั้งก็กัดมุมปาก และลอบมองมาที่เจียงเซ่อด้วย สีหน้าท่าทางดูเหนื่อยหน่ายใจไม่น้อย
เจียงเซ่อกำลังอ่านนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ แต่จริงๆ แล้วกำลังให้ความสนใจอยู่กับการสนทนาของแจ๊คและเชี่ยซ่าเหลย พยายามที่จะเงี่ยหูฟังว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน
“คุณเชี่ยซ่าเหลย ผมรู้ดีว่าเรื่องนี้มันทำใจได้ลำบาก แต่ว่าผมขอให้คุณเชื่อผมเถอะ ลาร่าไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันออกมาแบบนี้จริงๆ แต่ว่าเธอกลัวไฟมากจริงๆ หวังว่าคุณจะอนุโลมให้เธอหน่อยนะครับ...”
คำพูดของแจ็คไม่ได้ทำให้ท่าทางของเชี่ยซ่าเหลยผ่อนคลายลงเลยสักนิด เขาดูนิ่งมากๆ จนกระทั่งได้ยินสิ่งที่แจ็คพูด น้ำเสียงที่ตอบกลับของเขาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยันอย่างไม่ปกปิด
“อ้อ งั้นหรือครับ?” เขาถามย้อน “ผมก็นึกว่า ปัญหานี้มันจะจบไปเสียตั้งแต่ตอนที่เราส่งบทหนังไปให้อ่านแล้วเสียอีก คุณบราวน์เองก็ได้อ่านมันแล้วนี่ ว่าบทที่เธอแสดงจะต้อง ‘ตาย’ เพื่อเป็นเครื่องสังเวย โดยการถูกไฟเผาน่ะ หรือว่าเป็นเพราะความผิดพลาดของทางทีมงานกันนะ แบบว่า ตัดฉากสำคัญที่คุณลาร่าจะต้องแสดงออกไป?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่...”
ท่าทางของแจ็คดูจนตรอกสุดๆ แต่สุดท้ายก็ยังฝืนพูดออกมา
“แต่ผมคิดว่าในสัญญาของพวกเรา มันมีอยู่ข้อหนึ่ง ที่บอกไว้ว่าในสถานการณ์พิเศษ ลาร่าสามารถที่จะใช้นักแสดงแทนได้ คุณผู้กำกับครับ ผมว่าเรื่องนี้มันก็ไม่น่าผิดกฎข้อสัญญาอยู่แล้วนะครับ?”
“ก็ใช่ครับ แต่ว่าคุณเองก็รู้นี่ว่านั่นระบุไว้สำหรับในสถานการณ์พิเศษ และที่จริงผมก็ไม่คิดว่านี่จะเป็นสถานการณ์นั้นนะครับ”
ท่าทางของเชี่ยซ่าเหลยเริ่มที่จะไม่พอใจบ้างแล้ว “ก่อนที่จะมีการถ่ายทำฉากๆ นี้ ทางกองถ่ายของเราเองก็ได้มีนักแสดงคนอื่นๆ ที่เคยได้แสดงฉากแบบนี้ไปแล้วด้วย”
พอเชี่ยซ่าเหลยพูดจบ ก็หันมามองที่เจียงเซ่อ
“ดังนั้นยังจะมีปัญหาอะไรอีกงั้นหรือ?”
พอพูดมาถึงจุดนี้แล้ว แจ็คก็ยกมือขึ้นแบมือ เหมือนว่ายอมแพ้แล้วอย่างไรอย่างนั้น
“OK OK ผมจะลองไปคุยกับลาร่าดูอีกทีก็ได้”
เขาหันหลังเดินไปอย่างไร้ชีวิตชีวา สิบนาทีหลังจากนั้นก็เดินกลับออกมาจากห้องแต่งหน้า พร้อมกับ ลาร่าที่เดินมาข้างๆ กัน เขาก้มหน้าเหมือนพยายามจะเก็บอารมณ์ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าคงจะคุยกับลาร่าได้ไม่ราบรื่นนัก
พอลาร่าออกมาแล้ว บรรยากาศภายในกองถ่ายก็ดูตึงเครียดขึ้นมาในทันที เชี่ยซ่าเหลยนั่งอยู่บนเก้าอี้ เจียงเซ่อนั่งอยู่กับทีมงานกลุ่มหนึ่ง ผู้จัดการส่วนตัวและผู้ช่วยของเธอไม่ได้อยู่ด้วย ลาร่าจ้องมองไปที่ตัวเธอ กัดฟันแน่น จ้องมองเธอด้วยความเกลียดชังอยู่หลายวินาที ถึงจะค่อยเบนสายตากลับมา