webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

518-2

บทที่ 518-2 สั่งสอน

“กินเถอะ” น้ำเสียงของเขานั้นฟังดูนุ่มนวลและอบอุ่นไม่น้อย แววตาของเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่มีทางทอดทิ้งกัน กับความเมตตาที่ได้รับนี้ แน่นอนว่ามันจะต้องทำให้ในใจของเชอรีนรู้สึกประทับใจสุดๆ

ทั้งสองคนนั่งพูดคุยกันหน้าเตาไฟ อากาศในห้องนั้นเริ่มอุ่นและสบายขึ้น ผมทั้งของข้างของอังเดรเริ่มที่จะขาวแล้ว ภายใต้แสงไฟสลัว เขาเอาแต่ถอนหายใจไม่หยุด

“พ่อเองก็เข้าสู่นิกายนี้มาหลายปีแล้ว เอาความศรัทราทั้งชีวิตมอบให้กับโบสถ์แห่งนี้ จนกลายเป็นจิตวิญญาณของผู้ศรัทธาที่ซื่อสัตย์”

ไม่มีครอบครัว ไม่มีชีวิตของตัวเอง ไม่มีภรรยาและลูก แม้แต่บิดาและมารดาก็ต้องละทิ้ง ทุกวันมุ่งหน้าแต่ช่วยเหลือคนอื่น เผยแพร่หลักคำสอน “แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวพ่อเองหรือเปล่าที่ยังไม่มีความจงรักภักดีพอ พระองค์ถึงได้ไม่ประทานพรให้กับพ่อบ้างแม้สักครั้ง”

ตอนที่เขาพูดสิ่งเหล่านั้นออกมา เชอรีนก็ได้สังเกตเห็นถึงความผิดหวังท้อใจในตัวของเขาด้วย ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สะอาดใหม่ ไม่มีอาหารที่อุดมสมบูรณ์ หรือแม้แต่ที่พักพิงอาศัยก็เป็นแค่สถานที่ที่มีแต่ความเงียบเหงาและวังเวง

อาหารมื้อต่อไปของอังเดรยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปหาที่ไหน แต่เขาเองก็ยังใจกว้างที่จะช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ และแบ่งปันอาหารให้แก่เธอ และเขาก็เป็นบาทหลวงที่ดีมากแล้วคนหนึ่ง

เธอได้ ‘มองเห็น’ ความจงรักภักดีในตัวของเขาแล้ว และ ‘ได้ยิน’ เสียงขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาแล้ว แต่สิ่งเดียวที่เธอไม่ได้ยินก็คือความเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดของตัวเขาเอง

ที่จริงแล้วการที่ได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในหลายปีมานี้ มันก็เคยทำให้อังเดรเกิดความลังเลใจมาแล้ว และตลอดที่ผ่านมาความเชื่อเหล่านั้นก็ได้แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาจนกลายเป็นความสงสัย สิ่งแรกที่เขาสงสัยก็คือบนโลกใบนี้มันมีพระเจ้าจริงๆ หรือเปล่า และเขาก็เริ่มที่จะสงสัยในความหมายของการมีอยู่ของโบสถ์

“นั่นไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก อังเดร”

เชอรีนปลอบใจเขา จิตใจเริ่มที่จะพลุ่งพล่าน และพยายามปิดบังความตื่นเต้นในใจ

“มันไม่ใช่เพราะท่านยังไม่มีความจงรักภักดีที่มากพอหรอก แต่เป็นเพียงเพราะว่าท่านยังหาวิธีที่จะภาวนาต่อพระองค์ท่านไม่ได้ต่างหาก”

ตัวกล้องได้จับสีหน้าของเจียงเซ่อเอาไว้อย่างชัดเจน ตอนนี้แสงไฟจากเตาไฟกำลังโชติช่วง วินาทีนั้นแววตาของอังเดรก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นขึ้นเรื่อยๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็เริ่มที่จะเต้นอย่างควบคุมไม่ได้ แผ่นอกขยับขึ้นลงตามความตื่นเต้น นัยน์ตาที่มองแล้วเหมือนกำลังพยายามควบคุมความดีใจเอาไว้ และสิ่งเหล่านั้นเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นมันด้วย

“วิธีการอย่างนั้นหรือ?” เขาพูดกับตัวเอง สีหน้าอารมณ์และภาษากายเล็กๆ น้อยๆ เริ่มสื่อมาถึงคนที่อยู่หน้ากล้อง

ทีมงานหลายๆ คนก็ได้เห็นฉากๆ นั้นแล้ว เชี่ยซ่าเหลยเอามือข้างหนึ่งกอดอก และอีกข้างเท้าคางเอาไว้ และมองดูกล้องที่กำลังถ่ายบันทึกการแสดงของทั้งสองคนนั้น

“ใช่แล้ว!” เชอรีนพยักหน้าให้เบาๆ เธอยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ เธอเริ่มที่จะรู้ตัวแล้วว่าเหมือนตัวเองลืมอะไรไปสักอย่าง แต่ก็ไม่ทันที่จะได้รักษาเอาไว้ และบอกถึงเรื่องราวของตัวเองไปทั้งหมด

“...ในขณะที่ต้องไปกวาดล้างพวกนอกรีต อังเดร มีบทสวดหนึ่งที่ข้าได้รับมาเพื่อให้ภาวนาต่อพระเจ้า ตอนที่ท่านได้ท่องบทสวดเหล่านั้น” เจียงเซ่อหลับตาลง แล้วเลื่อนตัวเข้าไปใกล้อังเดรอีกนิด และยื่นมือออกไป ชี้ไปที่หัวใจของเขา ในนั้นหัวใจมันกำลังเต้นเร็วและแรงจนดัง ‘ตึกๆๆ’

เจียงเซ่อยังคงนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ และจุดนี้เองที่เชี่ยซ่าเหลยสั่งหยุด

“เจียง เธอควรที่จะเงยหน้าขึ้นหน่อยนะ” ตำแหน่งแสงไฟก็ไม่ถูกต้อง มันส่องสว่างไม่พอที่จะทำให้เห็น ‘จิตวิญญาณ’ ที่กำลังโลดเล่นแววตาของเธอ

เจียงเซ่อรักษาท่าทางของตัวเองเอาไว้ และพูดบทของตัวเองวนอยู่เจ็ดแปดครั้ง จนกระทั่งขามันเริ่มชาและสั่นไปหมด จนแทบที่จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ในที่สุดเชี่ยซ่าเหลยก็พอใจและผ่านไปได้ดี

โดนัลด์ที่เหมือนจะเคลิ้มไปกับอารมณ์ของเธอ ก็ก้มหน้าลงไปเช่นกัน เจียงเซ่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาประสานกับเขา ตอนนี้ดวงตาของทั่งคู่ต่างก็เต็มไปด้วยความจริงใจ

ในทว่าในแววตาของอังเดรนั้น นอกจากจะมีความเชื่อมั่นใจความเชื่อแล้ว มันยังปะปนไปด้วยบางสิ่งบางอย่างอีกด้วย

และกล้องเองก็จับจุดได้อย่างแม่นยำ และเจียงเซ่อก็ค่อยๆ พูดบทของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง

“ขอแค่ในใจของท่านมีความจงรักภักดีมากพอ พระเจ้าจะต้องประทานพนในสิ่งที่ท่านหวังแน่ๆ!”

ตอนที่เธอพูดประโยคนั้นออกมา ร่างของอังเดรก็สะดุ้งขึ้นเล็กน้อย

“เยี่ยมมาก!”

เจียงเซ่อยังคงรักษาท่าที่เหมือนกำลังจะลุกขึ้นค้างเอาไว้ จนกระทั่งเชี่ยซ่าเหลยให้สัญญาณว่าผ่าน เธอถึงค่อยกลับมานั่งเหมือนเดิม

หลังจากที่อังเดรรู้แล้วว่าควรจะท่องบทสวดภาวนาใด ในใจก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาสงสัยว่าสิ่งที่เชอรีนพูดนั้นมันจะใช่เรื่องจริงหรือเปล่า ในขณะเดียวกันที่เชอรีนพูดว่า ‘พระเจ้าจะต้องประทานพรในสิ่งที่ท่านหวังแน่นอน’ มันก็ยังดังก้องอยู่ในใจของเขาเอง และทำให้เขานอนไม่หลับไปทั้งคืน

ช่วงเช้านั้นไม่มีคิวถ่ายของเจียงเซ่อ ฉากต่อไปที่จะถ่ายคือฉากที่อังเดรได้ลองท่องบทสวดที่เชอรีนบอกมา จากนั้นก็ภาวนาถึงความปรารถนาของตัวเอง จนมันเกิดเป็นบาปที่เกิดจากความทะเยอทะยานอยาก เขาท่องบทสวดออกมา อีกทั้งยังสละชีพของเชอรีนเพื่อที่จะนำมาเป็นสิ่งสังเวยต่อพระเจ้า เพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงที่ตัวเขาต้องการมาโดยตลอด แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นกลับเป็นชีวิตที่เหมือนตายทั้งเป็น

ซีนของเจียงเซ่อไม่ได้เยอะอะไรมากมาย แต่ก็ต้องถ่ายไปกว่าเกือบครึ่งเดือน อีกทั้งเพราะว่าตัวละครที่เธอเล่นก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมายต่อกองถ่าย ทำให้ส่วนใหญ่เธอมักจะต้องเป็นฝ่ายรอเสมอ

แต่โชคไม่ดีที่ก่อนหน้านี้ลาร่าได้เกิดเป็นไข้หวัดขึ้นมาเพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็น จึงทำให้ทีมงานทั้งกองถ่ายต้องเป็นฝ่ายรอหล่อนและต้องเสียเวลาล่าช้าไปอย่างช่วยไม่ได้ และสิ่งนั้นก็ทำให้เชี่ยซ่าเหลยไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนกระทั่งลาร่าสามารถกลับเข้ามาถ่ายหนังได้แล้ว มันก็เลยช่วงคริสต์สมาสไปพอดี

เจียงเซ่อยังเหลืออีกฉากสุดท้าย ถ่ายเสร็จแล้วก็สามารถกลับประเทศก่อนได้เลย ฉากสุดท้ายของเธอก็คือฉากที่เชอรีนถูกเซ่นสังเวย ฉากๆ นี้เป็นฉากที่สำคัญมาก และเป็นฉากสำคัญที่จะทำให้ชีวิตของอังเดรพบจุดหักเห เพื่อที่จะทำให้ความปรารถนาเป็นจริง เชี่ยซ่าเหลยจึงขอให้ใช้คนจริงๆ ขึ้นไปบนแท่น ไม่ใช่การมาตัดต่อเพิ่มเอฟเฟคทีหลัง

สถานะของเจียงเซ่อเองก็ยังไม่อยู่ในจุดที่จะมีนักแสดงแทน ดังนั้นเจียงเซ่อจึงต้องขึ้นไปบนแท่นและเล่นเองทั้งหมด

ตอนนี้นี่เองที่เซี่ยเชาฉวินเกิดความกังวลขึ้นมามาก การที่จะเล่นเอาไฟมาล้อมตัวเพื่อเล่นหนังนั้นมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย เกิดไม่ได้ทันได้ระวังแม้เพียงนิดเดียวก็เกิดอันตรายได้ หล่อนและโม่อานฉีถึงกับต้องลงไปพูดคุยเจรจากับทางทีมงานอยู่หลายครั้ง ว่าจะต้องมีการป้องกันร่างกายและใบหน้าของเจียงเซ่อไว้ให้ดีที่สุด และจะต้องมีการตรวจสอบอุปกรณ์ถังดับเพลิงให้รอบคอบที่สุดเช่นกัน

ทางทีมงานเองก็ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจุดไฟมาเป็นคนจัดการทั้งหมด หลังจากที่อธิบายสิ่งต่างๆ ต่อเจียงเซ่อเรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะได้ถ่ายได้อย่างราบรื่นที่สุด จึงได้มีการซ้อมแสดงอยู่หลายครั้ง ตอนที่ถ่ายทำออกมาแล้วดูเหมือนไปท่วมตัวไปหมดจนดูน่าตกใจและจนน่ากลัวก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้วมันจะไม่สามารถทำอันตรายต่อตัวเธอได้เลย

ความตื่นเต้นในการถ่ายทำในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ เพราะว่าดูเหมือนว่าความเสี่ยงมันมีมากกว่าทุกครั้ง แต่เพราะด้วยความร่วมมือของเหล่าทีมงาน และในใจเจียงเซ่อเองก็มีความเข้าใจถึงสภาพทีมงานกองถ่ายของเชี่ยซ่าเหลยในระดับหนึ่งแล้ว และผู้เชี่ยวชาญที่มาจุดไฟนั้นก็ผ่านการถ่ายทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ดังนั้นหลังจากที่เตรียมใจให้แน่วแน่เรียบร้อยแล้ว เจียงเซ่อก็ได้มั่นใจและแน่วแน่ว่าจะแสดงฉากนี้เองเสียยิ่งกว่าโม่อานฉีเสียอีก

เพราะว่าเปลวไฟนั้นจะต้องพุ่งสูงขึ้นท่วม ดังนั้นบนหน้าของเธอจะต้องทางน้ำมันกันไฟเอาไว้หนาพอสมควร ตอนกลางวันนั้นมีแสงที่เพียงพอ และอีกทั้งยังสามารถปรับแสงในการตัดต่อในภายหลังได้อีก ดังนั้นฉากนี้จึงวางเอาไว้ว่าจะถ่ายตอนเย็นๆ ดังนั้นตลอดช่วงเช้านี้เจียงเซ่อจึงเอาแค่ซ้อมฉากที่จะต้องถ่ายไม่หยุด เพื่อที่จะให้เกิดข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุดเมื่อถ่ายจริง

ตอนที่เธอมาถึงที่กองถ่าย ฉากของลาร่าก็ถ่ายเสร็จไปได้เพียงไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง หล่อนอยู่ชุดคลุมขนเป็ด และจ้องมองไปที่เจียงเซ่อ จากนั้นก็หันไปถามต่อผู้จัดการส่วนตัวว่า

“เดี๋ยวตอนเย็นนี้เธอก็จะถ่ายฉากสุดท้ายแล้วใช่ไหม?”

ผู้จัดการของหล่อนเป็นชายหนุ่มผมสีทองที่มีอายุราวๆ ห้าสิบปี รูปร่างอวบเล็กน้อย มีหน้าท้องยื่นออกมาเล็กๆ และเป็นคนที่เห็นความไม่ลงรอยกันระหว่างลาร่าและเจียงเซ่อด้วย

และรู้ว่าในวันที่เข้ามาในกองถ่ายวันแรก ทั้งสองคนก็เกิดการถากถางกันไปแล้วด้วย

ถึงแม้ว่าเขาจะคิดว่า จริงๆ แล้วเจียงเซ่อนั้นไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรที่จะมาเทียบกับลาร่าได้เลย และ ลาร่าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปมีเรื่องกับเด็กสาวชาวหัวเซี่ยคนนี้ด้วย เพราะยังไงเธอก็เป็นแค่คนที่ได้รับความชื่นชมจากเชี่ยซ่าเหลย ในหนังก็ไม่ได้มีบทอะไรมากมาย ถ่ายเสร็จก็คงจะไปแล้ว

แต่ทว่าตั้งแต่วันแรกที่มาถึงกองถ่ายลาร่าก็โดนเจียงเซ่อหักหน้าต่อหน้าทายาทคนต่อไปของบอร์เจียแบบนั้น จึงทำให้เกิดความไม่พอใจเด็กสาวชาวหัวเซี่ยขึ้นมาทันที และพูดอยู่หลายครั้งว่าต้องการที่จะให้บทเรียนแก่เธอ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลาร่าดันมาป่วยไข้หวัดเสียก่อน และฉากส่วนใหญ่ก็เป็นฉากที่จะเล่นกับโดนัลด์ และไม่มีคิวที่จะต้องเข้าฉากกับเจียงเซ่อละก็ ความขัดแย้งของทั้งสองคนนี้ก็คงจะถูกเปิดเผยไปตั้งนานแล้ว