webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

513

บทที่ 513 เลิกจ้าง

วันนี้ทางหัวเซี่ยจือซวิ่นวันนี้ได้ลงข่าวที่เถาเฉินได้ร่วมงานกับเชี่ยซ่าเหลยเรียบร้อยแล้ว และเขียนเอาไว้ว่า ‘เชี่ยซ่าเหลยชื่นชอบเถาเฉิน’ มากกว่า แต่ในขณะเดียวกันเจียงเซ่อเองก็ได้ลงรูปคู่กับเชี่ยซ่าเหลย เมื่อลองเทียบกันดูแล้ว ท่าทางของเจียงเซ่อกับผู้กำกับใหญ่คนนี้ก็ดูมีความสนิทสนมกว่ามาก

กลายเป็นประเด็นร้อนภายในประเทศไป แต่เจียงเซ่อก็ไม่ได้มีการตอบโต้หรือออกมาอธิบายอะไร แค่รูปๆ เดียวก็สามารถเอาไปตบหน้าหัวเซี่ยจือซวิ่นได้แล้ว

ถึงแม้ว่ายังไงเถาเฉินก็ได้ร่วมแสดงหนังของเชี่ยซ่าเหลย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนและเชี่ยซ่าเหลยก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ได้ถึงขั้นที่จะสามารถเรียกว่า ‘เพื่อนเก่า’ ได้

แต่เพราะว่ายังไงหล่อนก็ยังได้แสดงหนังเรื่อง ‘The Lost City’ ที่เป็นหนังการตลาดที่ได้เงินมหาศาล แถมเรื่องต้นทุนที่ได้มาก็ไม่ได้ธรรมดาๆ

ส่วนเซี่ยเชาฉวินที่มาเซ็นสัญญาที่กรุงโรมกับเจียงเซ่อ ก็เพิ่งจะได้รับสายจากหัวเซี่ยจือซวิ่น

ข่าวในประเทศตอนนี้ ทางหัวเซี่ยจือซวิ่นเพิ่งจะลงข่าวในเชิงเหยียดเจียงเซ่อและดันเถาเฉินไป ปลายสายที่ติดต่อมาหาเซี่ยเชาฉวินคือนักข่าวที่ดูแลข่าวนั้น พูดจาด้วยความระมัดระวังและมีมารยาทสุดๆ และดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกอีกด้วย เมื่อเทียบกันแล้ว เซี่ยเชาฉวินมีท่าทีที่นิ่งเงียบ และรับฟังในสิ่งที่หล่อนอยากจะพูด

“คุณเซี่ยคะ เกี่ยวกับข่าวที่ลงไปในวันนี้ เป็นความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนร่วมงานในสายข่าวบันเทิง เหมือนว่าจะเขียนผิดไปนิดหน่อยน่ะค่ะ เบื้องต้นตอนนี้ทางเรากำลังหาวิธีเอาข่าวนั้นออกอยู่ค่ะ”การที่ต้องติดต่อหาเซี่ยเชาฉวิน เป็นอะไรที่นักข่าวสายบันเทิงหลายๆ คนรู้สึกปวดหัวปละอยากจะหลีกหนีมากที่สุดแล้ว

หล่อนไม่ได้เป็นคนที่น่าเข้าหา ไม่ได้เป็นเหมือนพวกผู้จัดการส่วนตัวของดาราทั่วๆ ไป ที่จะมาสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มนักข่าวเอาไว้ เพื่อที่จะคอยสร้างข่าวให้กับดาราที่ตัวเองกำลังดูแลให้มีกระแสอะไรแบบนั้น

เพราะเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เซี่ยเชาฉวินจะต้องเป็นคนลงมือทำเอง สิ่งที่หล่อนต้องทำก็มีแค่ช่วยให้เจียงเซ่อได้เซ็นสัญญากับตัวโฆษณาและหนังภาพยนตร์ที่ดี แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้พวกสื่อเกิดความสนใจและอยากจะทำข่าวเองได้แล้ว

อย่างเช่นข่าวที่เจียงเซ่อจะแต่งงานในตอนนั้น หรือดูอย่างในตอนนั้น ที่บนแอคเคาท์ส่วนตัวของ เจียงเซ่อมีการลงรูปคู่กับเชี่ยซ่าเหลยออกมา

ไม่ว่าข่าวในประเทศจะเล่นข่าวเหยียบเจียงเซ่อลงยังไง เซี่ยเชาฉวินก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน แค่หย่อนเหยื่อลงไป พวกสื่อต่างๆ ก็ยอมที่จะมาให้ตกง่ายๆ แล้ว

อีกทั้งการที่จะโทรหาหล่อนก็ไม่ใช่ว่าจะโทรหาได้ง่ายๆ ถ้าหล่อนรับสายแล้วละก็ นักข่าวก็จะพารู้สึกซาบซึ้งกันเป็นอย่างมาก

รูปคู่ของเชี่ยซ่าเหลยและเจียงเซ่อนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ล้วนแล้วเป็นคำตอบและข่าวที่ทุกคนอยากจะได้มันมาเป็นคนแรก

“เอาออก?” เซี่ยเชาฉวินถามออกไป “มีข่าวอะไรที่จะต้องให้พวกคุณเอาออกอย่างนั้นหรือ?”

นักข่าวสาวที่กำลังคุยกับหล่อนพูดไม่ออกไปในทันที

ข่าวที่ออกในประเทศออกจะเป็นข่าวใหญ่เสียขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เซี่ยเชาฉวินจะไม่รู้เรื่อง พอหล่อนถามขึ้นมาแบบนั้นทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว นักข่าวสาวที่เป็นฝ่ายโทรไปหาก็หน้าขึ้นสี พูดไม่ติดๆ ขัดๆ ไปหลายนาที แทบจะพูดไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ

“ก็คือว่า วันนี้ เรื่องที่ว่าผู้กำกับเชี่ยซ่าเหลยกับเถาเฉินร่วมงานกัน...”

“เรื่องที่เชี่ยซ่าเหลยกับเถาเฉินร่วมงานกัน ก็เป็นเรื่องจริงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” เซี่ยเชาฉวินถามออกไปอย่างเนิบๆ

“แล้วทำไมจะต้องเอาออกด้วยล่ะ?”

“คือ...”

สีหน้าของนักข่าวสาวเริ่มทำอะไรไม่ถูก รีบพยักหน้าใส่

“แต่ว่า... เรื่องหัวข้อข่าวที่ลงไป เป็นเพราะว่าคนของหน่วยข่าวบันเทิงเรายังมือไม่ถึงเท่าไหร่ คือก่อนหน้านี้เพิ่งจะย้ายมาจากหน่วยข่าวอื่น พวกเขาคงยังไม่ค่อยคุ้นชินกับรูปแบบอะไรสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงทำให้หัวข้อข่าวที่ลงไปมัน...”

หล่อนกำลังคิดหาวิธีที่จะชดเชยให้ เซี่ยเชาฉวินยอมอดทนฟังหล่อนพูดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เสียงของหล่อนก็ค่อยๆ เบาลงไปเรื่อยๆ จนเหมือนว่าจะหายไปอยู่แล้ว สุดท้ายก็พูดขอโทษออกมา

“ขอโทษด้วยนะคะคุณเซี่ย สรุปแล้ว พวกข่าวที่ได้ลงไปในวันนี้เดี๋ยวทางเราจะรีบเอาออกให้หมดเลยค่ะ”

“หยุดพูดอ้อมไปอ้อมมากับฉันได้แล้ว ที่โทรมาหา อยากจะถามอะไรกันแน่?”

พอเซี่ยเชาฉวินถามออกไปแบบนั้น นักข่าวสาวก็ผ่อนลมหายใจออกมา และรีบถามในทันที

“บนแอคเคาท์ส่วนตัวของเซ่อเซ่อ ได้มีการลงรูปคู่กับเชี่ยซ่าเหลย แบบนี้กำลังหมายถึงว่าระหว่างเซ่อเซ่อกับเชี่ยซ่าเหลย กำลังจะได้ร่วมงานกันหรือเปล่าคะ? หรือว่าจะเป็นบทบาทใหม่ที่จะเพิ่มเข้าไปในเรื่อง ‘The Lost City 2’?”

“ข่าวเรื่องนี้ ฉันสามารถรับประกันว่าพวกคุณจะได้ข่าวเป็นที่แรก แต่ในขณะเดียวกันเราก็มีข้อแลกเปลี่ยน”

เซี่ยเชาฉวินพูดออกไปอย่างเหนือกว่า

“ไม่ต้องลบข่าวของเถาเฉินออก และจะต้องอาศัยช่วงที่ข่าวกำลังเป็นกระแส ภายในช่วงเวลานี้ คอยทำให้ข่าวมันเป็นประเด็นอยู่ตลอดเวลาซะ” ข้อแลกเปลี่ยนของหล่อนทำเอานักข่าวสาวถึงกับหัวสมองโล่ง ทำแบบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรดีต่อตัวเจียงเซ่อเลยสักนิด หลังจากที่หัวเซี่ยจือซวิ่นลงข่าวไปในวันนี้ หลายๆ คนก็พากันออกมาหัวเราะเยาะเย้ยเจียงเซ่อ มีบางคนก็บอกว่าถึงเธอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเชี่ยซ่าเหลย แต่สุดท้ายบทบาทหนังของเชี่ยซ่าเหลย ก็ยังตงตกเป็นของเถาเฉินอยู่ดี หลายๆ คนก็ยังพากันหัวเราะว่าความพยายามของเจียงเซ่อมันสูญเปล่า

“คุณแน่ใจแล้วหรือคะ?”

นักข่าวสาวดูไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงถามออกไปอีกครั้ง เซี่ยเชาฉวินได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะขึ้น

“แล้วคุณคิดว่าฉันกำลังล้อเล่นกับคุณอย่างนั้นหรือ?”

นักข่าวสาวให้มือป้องลำโพงเอาไว้ เพื่อที่จะให้เบื้องบนของบริษัทได้ยินด้วย จากนั้นก็ถามเซี่ยเชาฉวินออกไป

“แล้วเรื่องข่าวที่เราจะได้รู้เป็นที่เดียวล่ะคะ...”

“เจียงเซ่อได้นัดเซ็นสัญญาเล่นหนังของเชี่ยซ่าเหลย ที่กรุงโรม”

ข่าวแบบนี้ ยิ่งเป็นตัวที่จะยืนยันการคาดเดาของชาวเน็ตได้เป็นอย่างดี ถ้าหากว่าหัวเซี่ยจือซวิ่นเป็นที่แรกที่ปล่อยข่าวนี้ออกไป ก็ถือว่าเป็นสำนักข่าวเพียงหนึ่งเดียวจริงๆ นักข่าวสาวเริ่มมีความกระตือรือร้นขึ้นมา จึงถามต่อ

“ใช่เรื่อง ‘The Lost City 2’ หรือเปล่าคะ?”

“ไม่ใช่” เซี่ยเชาฉวินตอบหลับเรียบๆ

“ชื่อเรื่องคือ ‘The second coming of Jesus Christ’ ”

ตอนที่หล่อนพูดถึงข่าวนั้นออกไป นักข่าวของหัวเซี่ยจือซวิ่นคนนั้นก็เข้าใจในแผนการของหล่อนทันที

ทำให้เถาเฉินได้ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงๆ ใช้หัวข้อข่าวที่ว่า ‘ลอยแพเจียงเซ่อ ผู้กำกับชื่อดังร่วมงานกับเถาเฉิน’ ในวันนี้ในการสร้างกระแส ยิ่งตอนนี้มีคนพูดถึงเจียงเซ่อในด้านลบมากเท่าไหร่

หลังจากนี้พอข่าวที่เจียงเซ่อได้ร่วมงานกับเชี่ยซ่าเหลยออกมา ก็จะยิ่งสามารถสร้างความฮือฮาได้มากกว่านี้

ถ้าหากว่าจะทำแบบนั้นจริงๆ ล่ะก็ ถึงตอนนั้นเถาเฉินก็คงอายจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี!

เมื่อเทียบกับข่าวที่เฉินเจียวคิดจะเอามาออกเพื่อจะเหยียบเจียงเซ่อลงแล้ว วิธีการของเซี่ยเชาฉวินถือว่าเหนือชั้นกว่ามาก เคยประคับประคองอุ้มชูมาก็สะบัดทิ้งให้ดับได้ มากพอที่จะทำให้ชื่อเสียงของเถาเฉินเสียหาย และคงจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาเป็นพรวน

หลังจากที่เถาเฉินสั่งให้ฉันเจียวไปเอาข่าวเหล่านั้นออก ตอนแรกเฉินเจียวก็คิดว่าแค่ไปบอกให้เก็บข่าวนั้นไปก็คงจะทำได้ง่ายๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าพอติดต่อไปหาแล้ว นักข่าวที่บอกว่าสนิทสนมคุ้นเคยกับหล่อนดีกลับตั้งใจอ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อย ทุกครั้งที่หล่อนกำลังจะบอกว่าให้ช่วยเอาข่าวพวกนั้นออก ก็ทำทีเป็นเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทนตลอด

แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ หัวข้อเหล่านั้นก็ยิ่งดุเดือดมากยิ่งขึ้น ข่าวบนหัวเซี่ยจือซวิ่นที่เกี่ยวกับเถาเฉินก็ยิ่งเป็นกระแสมากกว่าเดิม

โชคดีที่หนังเรื่อง ‘The Lost City 2’ ใกล้ที่จะเปิดกล้องแล้ว เถาเฉินจึงยังไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับหล่อน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ากำลังรำคาญเฉินเจียวเอามาก

แต่ละวันผ่านไปโดยที่เฉินเจียวต้องคอยรู้สึกกังวลอยู่ตลอดเวลา ข่าวที่เกี่ยวกับเรื่องที่เถาเฉินกำลังจะถ่ายหนังเรื่อง ‘The Lost City 2’ ก็ยังมีออกมาเรื่อยๆ และดูเหมือนชาวเน็ตเองก็ให้ความสนใจกับข่าวนี้สูงไม่น้อย ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีสักนาทีที่เฉินเจียวจะรู้สึกวางใจได้ กลางเดือนกรกฏาคม เถาเฉินก็ได้ถ่ายทำส่วนของตัวเองในหนังเรื่อง ‘The Lost City 2’ เสร็จ สื่อในประเทศก็ได้ปล่อยข่าวใหม่ออกมายกยอหล่อนอีก

กว่าที่เถาเฉินจะรู้สึกตัว มันก็สายไปเสียแล้ว!

ในขณะที่แฟนคลับของเถาเฉินกำลังมัวเมาอยู่กับเรื่องที่หล่อนได้ถ่ายหนังที่มีการทุ่มทุนสูงของยุโรปอเมริกา และสามารถเขี่ยเจียงเซ่อลงได้นั้น หัวเซี่ยจือซวิ่นก็ได้ลงข่าวที่ได้รู้มาจากเซี่ยเชาฉวินก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ‘เจียงเซ่อร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดัง เซ็นสัญญา ‘The second coming of Jesus Christ’ !’

พอข่าวออกมา ก็ทำเอาแฟนคลับของเหล่าเจียงเซ่อดีใจกันเสียยกใหญ่

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ หลังจากที่เซี่ยเชาฉวินได้ร่วมงานกับเชี่ยซ่าเหลยแล้ว ก็มีข่าวใหม่ออกมาตลอดเวลา จนทำเอาคนหลายๆ กลุ่มเริ่มเกิดความไม่พอใจ โดยเฉพาะกับสื่อต่างๆ ที่ช่วยเถาเฉินเหยียบเจียงเซ่อลง คิดว่าความสัมพันธ์ของเจียงเซ่อและเชี่ยซ่าเหลยมันไม่มากพอที่จะทำให้ทั้งสองคนร่วมงานกันได้ แต่พอตอนนี้มีข่าวออกมา มันก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสะใจ!

หนังเรื่อง ‘The Lost City 2’ ยังไม่ทันที่จะได้ปิดกล้อง แต่ว่าในส่วนของเถาเฉินนั้นได้ถ่ายไปหมดแล้ว หล่อนยังไม่คิดที่จะกลับประเทศทันที ในโรงแรมแห่งหนึ่งของอิตาลี หล่อนได้เห็นข่าวในประเทศหมดแล้ว จู่ๆ ก็เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ทำเอาเฉินเจียวเองก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน

พอข่าวของหัวเซี่ยจือซวิ่นออกมา มันก็ส่งผลอย่างมากกับตัวเถาเฉิน หล่อนตั้งใจและพยายามมาตั้งหลายปี ถึงได้ประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่แค่ข่าวนั้นข่าวเดียว ก็มาพังสิ่งที่หล่อนพยายามมาหลายปีทั้งหมดได้เลย

กว่าจะได้โอกาสร่วมงานหนังของเชี่ยซ่าเหลยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่เพราะว่าตอนนั้นเฉินเจียวฝีมือยังไม่ถึงแต่คิดว่าตัวเองฉลาด ทำให้เสียโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ให้กลับกลายมาเป็นดีไปอย่างสูญเปล่า อีกทั้งยังทำให้หล่อนกลายเป็นแค่ตัวตลกของพวกชาวเน็ต

หล่อนเข้าวงการมานานตั้งหลายปี ได้ถูกเชิดชูอยู่ในใจใครหลายๆ คน แต่พอมีเรื่องนี้แล้ว ถึงได้รู้ว่าลับหลังนั้นมีใครอีกหลายคนกำลังรอหัวเราะเยาะอยู่มากมาย หัวเราะว่าในที่สุดหล่อนก็โดนลากลงมากจากแท่นเสียที

นอกจากชื่อเสียงจะถูกทำลายแล้ว ที่หนักไปกว่านั้นก็คือเหล่านักลงทุนและโฆษณาต่างๆ

แบรนด์แนมของต่างประเทศหลายแบรนด์กำลังเพ่งเล็งมาที่หล่อน จากกลุ่มที่เคยคิดที่จะต่อสัญญากับหล่อน ก็อาจจะขอปฏิเสธไปอย่างง่ายๆ เพราะเรื่องพวกนี้ก็เป็นได้

สีหน้าของเฉินเจียวแย่ลงทุกทีๆ มือทั้งสองข้างของหล่อนตกลงไปและกุมอยู่ข้างหน้า เหมือนอยากจะยอมรับผิด

“คุณเถา ดิฉันลองติดต่อไปดูแล้ว...”

หล่อนโทรไปหาคนของหัวเซี่ยจือซวิ่นแล้วจริงๆ บอกแล้วว่าอยากจะให้ลบข่าวนั้นทิ้งซะ แต่ใครก็คงคิดไม่ถึง ว่านอกจากข่าวจะไม่ได้ถูกลบออกแล้ว เรื่องพวกนั้นกลับยิ่งเป็นประเด็นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

เรื่องที่เกิดขึ้นจนมาถึงตอนนี้ เถาเฉินก็พอที่จะรู้แล้วว่าใครเป็นคนลงมือจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด

ตอนนี้ใกล้ที่จะเข้าสู่เดือนสิงหาคมแล้ว ปีนี้ระหว่างตัวหล่อนและเจียงเซ่อ ‘มีการปะทะกันอยู่ตลอดเวลา’ บวกกับพวกสื่อที่ใส่สีตีไข่กันจนเป็นกระแสสุดๆ จนกลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ไปอย่างไม่รู้ตัว

Federer เซ็นสัญญาให้เจียงเซ่อเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากที่ Federer ได้เปิดตัวร่วมงานกับดาราสาวชาวหัวเซี่ยคนแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวเถาเฉินเองก็ตั้งใจที่จะแย่งตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์ Federer มาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว และคอยติดต่อมาโดยตลอด

ต้นทุนหล่อนก็ไม่ได้น้อยๆ ทั้งฐานะและชื่อเสียงก็มีมากพอ ปีนี้ก็ได้ถ่ายหนังเรื่อง ‘The Lost City 2’ ไปแล้ว ปีหน้าหนังเรื่อง ‘The Lost City’ ภาคแรกก็จะเข้าฉายอีก เรื่องการถูกพูดถึงก็น่าจะเพียงพอ กับการเป็น แบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์ Federer ในหัวเซี่ยก็ถือว่าสามารถรักษาให้อยู่ในระดับเดียวกันได้ แต่พอวันนี้มีข่าวแบบนั้นออกมา ก็ไม่รู้ว่าในปีหน้าทาง Federer จะยังรับพิจารณาหล่อนอีกหรือเปล่า ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัย

ในขณะที่เฉินเจียวเอาแต่คิดหาวิธี ‘แก้แค้น’ เจียงเซ่อ และเลือกที่จะให้ข่าวในหนังสือนิตยสารถีบคนอื่นเพื่อยกยอตัวเองขึ้นนั้น เซี่ยเชาฉวินกลับใช้โอกาสนี้พลิกเกมแก้ทางให้เจียงเซ่อ และดับหนทางการไปต่อของหล่อน

เถาเฉินคิดว่าการที่ตัวเองสามารถใช้เส้นสายและฐานะของตัวเองได้แล้วนั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีผู้จัดการส่วนตัวที่เลิศเลอเพอร์เฟคอีกต่อไป เรื่องที่พวกผู้จัดการส่วนตัวทำได้ ก็แค่พวกงานที่ยากเกินฝีมือของพวกผู้ช่วยเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะคิดผิดไปหน่อยแล้ว

หล่อนถอนหายใจออกมา เริ่มรู้สึกอิจฉาเจียงเซ่อขึ้นมาเสียแล้ว

“เชาฉวิน”

ถ้าเซี่ยเชาฉวินยังคงอยู่ข้างหล่อนละก็ ผลลัพธ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่?

เรื่องราววุ่นวายเหล่านนี้คงไม่ต้องให้หล่อนมาคอยจัดการ ไม่ต้องให้หล่อนคอยมาทำ ก็แค่ตั้งใจและพยายามก้าวต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าจะมีเรื่องพวกนี้ให้รำคาญใจ

ในวันนั้นที่เซี่ยเชาฉวินถอนตัวออกจากการเป็นผู้จัดการส่วนตัวหล่อน หรือว่าเพราะตัวหล่อนรู้ถึงสถานการณ์ในวันนี้อยู่แล้วนะ ว่าระหว่างเจียงเซ่อและหล่อนจะต้องการแข่งขันกันเรื่องชื่อเสียงและต้นทุนต่างๆ หล่อนได้ตัดสินใจเอาไว้ตั้งนานแล้วใช่ไหม เพื่อที่จะหลบหลีกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้?

เถาเฉินหยิบมือถือขึ้นมา แล้วโทรหาผู้ดูแลทรัพย์สินของตัวเอง และบอกให้หล่อนเอาเงินส่วนหนึ่งไปใส่อีกบัญชีเอาไว้

เฉินเจียวอยู่กับหล่อนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พอได้ยินหล่อนพูดแบบนั้น ในใจก็เริ่มที่จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแย่ๆ แล้ว

หล่อนวางสายลง แล้วมองไปที่เฉินเจียว

“คนที่อยู่กับฉันตอนนี้มีมากพอแล้ว ก่อนหน้านี้ลัวอ้าวโทรมาหาฉัน บอกว่ามีดาราคนอื่นที่ยังอยากจะได้เธอไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ พวกเราก็ร่วมงานกันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ฉันให้คนโอนเงินก้อนหนึ่งเข้าบัญชีเธอแล้ว ก็ถือว่าเป็นค่าจ้างนอกเหนือจากนั้นให้เธอก็แล้วกัน”

“คุณเถา คุณไล่ฉันออกหรือคะ?”

สิ่งที่เฉินเจียวคิดมันคือความจริง หล่อนเกินความลนลานขึ้นมาในทันที

เถาเฉินมีสถานะเป็นถึงดาราสาวแนวหน้าของซื่อจี้หยินเหอ การที่ได้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของหล่อน ส่วนแบ่งที่ได้แบ่งจากค่าตัวก็คงไม่มีใครเทียบได้เลย

หลังจากที่ได้ทำงานกับเถาเฉินมาระยะหนึ่ง เงินเดือนของเฉินเจียวก็ได้มากกว่าค่าตัวดาราเล็กๆหลายเท่าตัว และปัจจัยหลายๆ อย่างก็ดีกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าด้วย แน่นอนว่าหล่อนไม่อยากจะเดินออกจากจุดนี้

แต่อย่างไรเสียถ้าหากว่าโดนเถาเฉินไล่ออกจริงๆ ไม่เพียงแค่รายได้เท่านั้นที่จะถูกลดลง เพราะในขณะเดียวกันทางบริษัทเองก็คงจะดองไม่ให้งานกับหล่อนด้วย ถึงแม้ว่าจะมีดาราหน้าใหม่เข้ามาแต่ก็คงมาไม่ถึงมือหล่อนแน่ๆ ก็เหมือนกับว่าหน้าที่การงานได้ถูกยุติไปนั่นแหละ

หล่อนอยากจะลองขอร้องดูอีกสักครั้ง แต่ทว่าเถาเฉินกลับไม่อยากที่จะพูดคุยกับหล่อนอีก

เรื่องในประเทศที่กำลังยุ่งเหยิงในตอนนี้ ยังคงเป็นหน้าที่ของหล่อนที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย ความรู้สึกดีๆ ต่อเหล่าบริษัทต่างๆ ที่เสียไป ก็ต้องเป็นตัวหล่อนเองที่ต้องเก็บขึ้นมาใหม่ เรื่องการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์ Federer หล่อนก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ ต่อไปในอนาคตหล่อนยังต้องรับเล่นหนังอีกหลายเรื่อง แน่นอนว่าคงไม่อยากที่จะมาเสียเวลานั่งไร้สาระกับเฉินเจียวอีก

หลังจากบอกให้ผู้ช่วยจับเฉินเจียวเอาไว้แล้ว เถาเฉินก็ขมวดคิ้ว

“ส่วนเรื่องกลับประเทศฉันได้ให้คนจัดการเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คืนนี้เธอเองก็กลับไปเลยแล้วกัน”

เฉินเจียวยังอยากจะอ้อนวอนหล่อนอีก แต่พอผู้ช่วยได้เห็นวินาทีที่เถาเฉินหมุนตัวกลับไปแล้วนั้น ก็เข้าใจในความตั้งใจของหล่อนในทันที

ประมาณสองทุ่มของหัวเซี่ย สำหรับเฝิงหนานแล้ว ถือทั้งวันในวันนี้เป็นวันที่ดีมากๆ

ในคืนนี้เฝิงหนานได้ทุ่มเวลาและแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มี นัดฮั่วจือหมิงออกมาเจอที่ร้านเป็ดย่างเพื่อเลี้ยงอาหาร เพื่อที่จะพูดถึงเรื่องการร่วมงานกัน

ที่จริงแล้วช่วงนี้หล่อนอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ หล่อนได้รู้จากปากเฝิงซือหย่งว่าเจียงเซ่อตัวจริงเคยโดนลักพาตัวไปในตอนที่ยังเป็นเด็ก ทำให้หล่อนนึกถึงคำเตือนของเสี่ยวหลิวขึ้นมา ตอนนั้นหล่อนด่าเสี่ยวหลิวไปชุดหนึ่ง และไม่ได้ฟังเขาพูดอะไรมากมาย หลังจากนั้นพอตัวเองโทรกลับไปหาเพื่อที่จะถามข้อมูลจาก เสี่ยวหลิวเพิ่ม ก็พบว่าต่อให้เสี่ยวหลิวตายก็จะไม่พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว

ทำให้หล่อนไม่กล้าที่จะไปถามอะไรอีก เพราะกลัวว่าจะไปเผยพิรุธเข้า ช่วงนี้ก็เลยได้แต่แอบสืบด้วยตัวเองไปอย่างเงียบๆ

แต่ในอีกด้านหนึ่ง หนังเรื่อง ‘Revenge’ ที่ได้เข้าฉายไปนั้นไม่เห็นจะได้กระแสดีอย่างที่หล่อนคิดเอาไว้เลยสักนิด กลับกันยิ่งเทียบไม่ได้เลยกับหนังเรื่อง ‘Evil’ และ ‘The Incident’ ที่เข้าฉายไป

ตอนแรกหล่อนอยากจะได้ชื่อว่า ‘ผู้กำกับหญิงที่มีฝีมือการแสดงยอดเยี่ยม’ จนรวมไปถึง ‘มีผลงานดีไม่แพ้หนังฟอร์มใหญ่’ ด้วยซ้ำ แต่ก็ยังสู้ไม่ได้กับกระแสคนดูที่ชอบการปะทะกันระหว่างเจียงเซ่อและเถาเฉินมากกว่า

สำหรับหล่อนแล้ว ถึงแม้ว่าหนังเรื่อง ‘Revenge’ จะโดนคนด่า แต่ก็ยังดีที่ไม่มีใครกล้าถามอะไรมาก นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนทั้งกำกับและแสดงด้วยตัวเอง การที่แพ้ให้กับความนิยม แพ้ให้กับความจริง มองเห็นเส้นทางที่จะชะนะอยู่แล้ว แต่กลับไปไม่ถึงเส้นชัย

แต่สุดท้ายแล้วยอดขายบัตรของหนังเรื่อง ‘Revenge’ ที่ถึงแม้จะไม่ได้น่าเกลียดอะไร แต่มันก็ไม่ได้มากมหาศาลเหมือนอย่างที่เฝิงหนานคิดเอาไว้เลยสักนิด พอโรงหนังเห็นว่าหนังเรื่องนี้ไม่สามารถสร้างยอดขายได้ ก็ตัดการออกฉายของเรื่อง ‘Revenge’ ไปทันที

ต่งหมิงเซิงก็ถือโอกาสนี้เปลี่ยนท่าที และพูดว่าจะไม่ลงทุนให้กับหนังเรื่องไหนๆ ของหล่อนอีก

หลังจากได้ประสบพบเจอกับเรื่องราวเหล่านั้นมาแล้ว เฝิงหนานก็เหมือนจะคิดออกเสียที ว่าการที่คิดบทเองกำกับเองและแสดงเองนั้น มันยังเป็นเรื่องที่ยากเกินไปสำหรับตัวเธอเอง

ทั้งเรื่องเงิน คอนเนคชั่นและจุดยืนมันยังไม่มากพอ อีกทั้งคนในครอบครัวหล่อนก็ใช่ว่าจะสนับสนุน ทำให้หนทางของหนังหล่อนต้องพบกับความลำบากขนาดนี้ เมื่อเทียบกับเจียงเซ่อที่เข้าวงการพร้อมๆ กับหล่อนแล้ว ตอนนี้ก็ไปได้สวยกว่าหล่อนมากทีเดียว

หล่อนจึงตัดสินใจที่จะปล่อยวางหนังของตัวเองลงก่อน และเลือกที่จะไปถ่ายหนังของคนอื่นแทน ค่อยๆ สะสมชื่อเสียงและเงินทองเอาไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงตอนนั้นเมื่อตัวเองมีเงินแล้ว ก็คงไม่ต้องไปพึ่ง ต่งหมิงเซิงอีก และแน่นอนว่าจะต้องมีใครอีกหลายๆ คนพร้อมที่จะลงทุนกับตัวเธอแน่ๆ