webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

496

บทที่ 496 ท่ามกลางผู้คน

เจียงเซ่อพิงอยู่บนไหล่ของเผยอี้ หลังจากดื่มไวน์ไปครึ่งแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา

“มือถือฉันล่ะ”

เธอพึมพำ ลมหายใจรดข้างหูเผยอี้เป็นครั้งคราว โทรศัพท์มือถือของเธออยู่บนห้อง แม้ไม่รู้ว่าเธอถามหาโทรศัพท์มือถือเพราะอะไร แต่เผยอี้ก็ยังคงอุ้มเธอขึ้นไปชั้นบน และโทรศัพท์มือถือก็อยู่บนตู้ข้างหัวเตียง

ในห้องเปิดไฟสว่าง เธอหยิบโทรศัพท์และเอนตัวลงตรงหัวเตียง แล้วส่งสัญญาณให้เผยอี้เข้ามาหา

เธอเริ่มเมาแล้ว สายตาพร่ามัว สองแก้มแดงก่ำ ลมหายใจมีกลิ่นไวน์องุ่นเจือปนอยู่ ขาเรียวเสลาไขว้กันอยู่กลางเตียง

ผ้าห่มผืนนุ่มลายดอกลิลลี่ห่อหุ้มตัวเธอเอาไว้ เธอเหมือนภูตพรายที่ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ ในความน่าหลงใหลนั้นมีความบริสุทธิ์ซ่อนอยู่

“อาอี้มานี่สิ”

เธอเรียกเบาๆ หน้าต่างในห้องถูกเปิดเอาไว้ ในห้องของเธอมีหน้าต่างบานยาวจรดพื้น ส่วนโค้งเว้าล้วนเป็นกระจกโปร่งแสง มองผ่านหน้าต่าง สามารถเห็นไร่องุ่นท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืนและยังเห็นดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง

โซฟายาววางอยู่ข้างหน้าต่าง ห่างจากเตียงค่อนข้างมาก

เขาคิดถึงเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เธอเมาในวันเกิด จึงไม่กล้าเข้าไปหา เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเธอก็ยิ่งถอยหลังไปนั่งลงบนโซฟา

“พี่พูดมาสิ”

ค่ำคืนนี้ บนท้องฟ้ามีดวงจันทร์และดวงดาวอยู่บ้างประปราย เป็นค่ำคืนที่งดงามมากและในยามค่ำคืนแบบนี้ที่บอร์โดอากาศหนาวเย็น แต่เขากลับรู้สึกร้อนรุ่ม ในมือมีเหงื่อซึมออกมาอย่างไม่ขาดสาย

“นายเข้ามาสิ”

เธอพยายามลุกขึ้นและขมวดคิ้ว หลังจากที่เธอเมาแล้วก็ขาดสติ เผยอี้ไม่อยากเห็นเธอต้องเป็นทุกข์ หลังจากลุกไปหา เธอยื่นมือข้างที่สวมแหวนมา โบกตรงหน้ามือข้างที่สวมแหวนของเผยอี้ เผยอี้เข้าใจความหมายของเธอ จึงยื่นมือออกไป

เจียงเซ่อจับมือเขาแน่น พลันยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายรูป

ในรูปมือของเธอเรียวยาวและขาวเนียนราวต้นหอม มือของเขาเห็นข้อนิ้วมือแต่ละข้อได้ชัดเจน ราวกับเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล เขากำมือเจียงเซ่อแน่นไม่ยอมปล่อย

นิ้วนางของทั้งสองต่างสวมแหวนเอาไว้ เป็นภาพที่เห็นแล้วรับรู้ได้ถึงความสุขในทันที

เขารู้แล้วว่าเจียงเซ่อคิดจะทำอะไรก็ไม่รู้ว่าผิดหวังหรือโล่งอก หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เธอก็อดทนต่ออาการมึนเมาและค้นหารายชื่อผู้ติดต่อของตนเอง เผยอี้เห็นท่าทางแบบนี้ของเธอ ก็ดึงเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมอกและหยิบโทรศัพท์ในมือของเธอขึ้นมาทันที

รูปที่เธอถ่ายไม่ได้มีมุมกล้องที่พิเศษอะไร แต่ในสายตาของเผยอี้ กลับเป็นรูปที่สวยงามเหลือเกิน

มือทั้งสองข้างที่กุมกันอยู่ ราวกับกลายเป็นวงกลมอันสมบูรณ์แบบ ท่าทางของเขาอ่อนโยน ส่งรูปให้ตนเองก่อน แล้วจึงเปิดแชทของเฝิงจงเหลียงและส่งรูปให้เขา ก่อนจะโยนโทรศัพท์ไปไว้อีกข้าง

เธอยกแขนนุ่มนวลของตนเองขึ้นมา ท่ามกลางแสงไฟ ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายมากกว่าเพชรเสียอีก

เฝิงจงเหลียงที่อยู่ไกลถึงตี้ตู ตอนนี้ยังไม่เข้านอน หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็เล่นอินเทอร์เน็ตอยู่ในห้องอ่านหนังสือ เพื่อหาข่าวเกี่ยวกับเจียงเซ่อ

นี่เป็นสิ่งที่เขาทำบ่อยในช่วงนี้ เมื่อเห็นแล้วจึงรู้สึกวางใจขึ้นบ้าง

เสี่ยวหลิวยกน้ำหวานเข้ามา พร้อมถอนหายใจ และหยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้เฝิงจงเหลียง

“คุณท่านครับ ได้เวลาเข้านอนแล้วนะครับ”

ตอนนี้ตีสองกว่าแล้ว คุณท่านท่านนี้ยังไม่ยอมนอนอีก ก่อนหน้านี้เขาเป็นหวัด ไออย่างรุนแรง สองวันนี้อาการดีขึ้นมาบ้าง ควรพักผ่อนเยอะๆ แต่เขากลับดื้อไม่ยอมเชื่อฟังเอาเสียเลย

ในเวลาแบบนี้กลับทำให้เสี่ยวหลิวคิดถึงข้อดีของเจียงเซ่อ เฝิงจงเหลียงเป็นคนดื้อรั้น แต่ถ้าหากเจียงเซ่อเตือนเขา เขาก็มักจะเชื่อฟัง

เสียดายที่หลังจากเจียงเซ่ออกออกไปทำงานนอกตี้ตู ต้นปีก็ไปต่างประเทศและจนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา

หลังจากเสี่ยวหลิวสืบประวัติของเจียงจื้อหยวนจนรู้ เมื่อคิดถึงเจียงเซ่อก็คงไม่สบายใจไม่มากก็น้อย จึงไม่ค่อยพูดถึงเจียงเซ่อต่อหน้าเฝิงจงเหลียงเท่าไหร่นัก คุณท่านท่านนี้จึงเอาแต่ใจมากขึ้น และทำทุกอย่างตามอารมณ์ตัวเอง

“ในห้องครัวมีน้ำหวานที่เคี่ยวจากสาลี่ คุณหนูเจ็ดเป็นคนส่งใบสั่งยามา เธอเป็นห่วงท่านมากและอยากมาเยี่ยม”

‘คุณหนูเจ็ด’ ที่เสี่ยวหลิวพูดถึงคือเฝิงซือหย่ง ตอนนั้นเธอมาตี้ตูเพราะเฝิงหนานชวน และอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนกว่าแล้ว ระหว่างนี้เคยคิดจะมาคฤหาสน์ตระกูลเฝิง แต่หลังจากเฝิงจงเหลียงรู้ว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเฝิงหนาน จึงให้คนเชิญเธออกไป โดยบอกว่าตนเองชอบความสงบ ให้เธอเที่ยวที่ตี้ตูด้วยตนเอง อย่ามารบกวนความสงบของท่าน ซึ่งเป็นการไล่เฝิงซือหย่งออกจากบ้านอย่างอ้อมๆ

ทันทีที่เสี่ยวหลิวพูดถึงเฝิงซือหย่ง คิ้วของเฝิงจงเหลียงก็ขมวดขึ้นมาและอารมณ์เสียทันที

“เป็นห่วงเหรอ? กลัวแต่ว่าจะเป็นเหมือนพ่อแม่ กำลังคำนวณว่าจะได้ทรัพย์สมบัติจากฉันเท่าไหร่ล่ะมากกว่า”

หลังจากที่เฝิงซือหย่งเดินทางมาถึงตี้ตูก็มาเยี่ยมเฝิงจงเหลียงที่คฤหาสน์ตระกูลเฝิงเป็นอันดับแรก โดยแอบถามเรื่องของเจียงเซ่อและเตือนเฝิงจงเหลียงเป็นนัยว่า กลัวเจียงเซ่อจะฮุบสมบัติของเขา

เฝิงจงเหลียงจะทนคำถามเหล่านี้ของเธอได้อย่างไร จึงหัวเสียขึ้นมาทันที

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้เขารู้ฐานะที่แท้จริงของเจียงเซ่อแล้ว แม้แต่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าเธอคือเฝิงหนาน เขาก็เคยมีความคิดว่าจะยกสมบัติบางส่วนของตนเองให้กับเธอ หลังจากตนเองจากโลกนี้ไป

คำพูดของเฝิงซือหย่งสะกิดใจเขาทันที เขาจึงไล่เธอออกจากบ้านไปด้วยความโกรธ

เขายังมีสมบัติอีกมากมาย ไม่ต้องพูดถึงวิสาหกิจจงหนานที่มีเขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ในมือของลูกชายเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่ง เขายังมีหุ้นส่วนและหุ้นขนาดใหญ่อีกหลายที่ รวมทั้งวัตถุโบราณอีกมากมาย ที่ลูกหลานล้วนจับจ้องอยู่

“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะครับ” เสี่ยวหลิวสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในคำพูดของเฝิงจงเหลียง จึงก้มหน้าลงท่าทางดูอึดอัด

ความจริงแล้วสิ่งที่เฝิงซือหย่งพูดในวันนั้น ก็เพราะเขาเคยโทรหาคนในตระกูลเฝิงเพราะเป็นกังวลว่าเฝิงจงเหลียงจะโดนเจียงเซ่อหลอก

เขาคิดถึงเรื่องที่เฝิงจงเหลียงเคยบอกว่าจะยกสมบัติส่วนหนึ่งให้เจียงเซ่อ เลยกลัวว่าเจียงเซ่อคิดไม่ซื่อ จึงได้เสนอให้ส่งคนจากฮ่องกงมาเพื่อให้พวกเขาเกลี้ยกล่อมเฝิงจงเหลียง

คิดไม่ถึงว่า ทันทีที่ได้ยินเสียงของเฝิงซือหย่ง คุณท่านก็โกรธขึ้นมาทันทีและไล่เธอออกจากบ้านไป ตลอดครึ่งเดือนนี้ยังไม่สามารถก้าวเข้ามาในบ้านตระกูลเฝิงได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว

“คุณหนูเจ็ดก็แค่เป็นห่วงท่านและเป็นกังวลถึงสุขภาพของท่านเท่านั้นน่ะครับ” ทันทีที่เสี่ยวหลิวพูดจบ เฝิงจงเหลียงก็ส่งเสียงไอทีหนึ่ง พลันมองเสี่ยวหลิวอย่างพินิจครู่หนึ่ง จนเสี่ยวหลิวขนลุก

“เสี่ยวหลิว เธอรับใช้ฉันมานาน คงจะรู้จักนิสัยของฉันดี” เขาพูดช้าๆ ด้วยท่าทางอันเคร่งขรึม ทำให้เสี่ยวหลิวเริ่มเป็นกังวล

“สำหรับบางเรื่อง ฉันยังไม่ได้แก่จนเลอะเลือน ไม่ต้องให้ใครมาเตือน” คำพูดของเขามีอีกความหมายแฝงอยู่ “ฉันชอบความสงบ ไม่ชอบคนเจ้าแผนการ ถ้าตอนนี้ยังจะพูดเข้าข้างเธอคนนั้น ก็แสดงว่าเธอไม่ภักดีกับฉันแค่คนเดียวและฉันก็คิดดีแล้ว ฉันอายุมากขนาดนี้ อยู่กับฉันต่อไปก็ไม่มีอนาคต”

“คุณท่าน...” เฝิงจงเหลียงพูดยังไม่ทันจบ เสี่ยวหลิวก็กระวนกระวายขึ้นมาทันที แล้วรีบคุกเข่าลงกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่เฝิงจงเหลียงกลับไม่มองเขา

“ฉันจะให้เงินเธอก้อนหนึ่งและส่งเธอกลับฮ่องกง เธอเห็นว่าอยู่กับใครแล้วมีอนาคตที่ดี ก็ไปรับใช้พวกเขาเถอะ”

“คุณท่าน!” เสี่ยวหลิวตาแดงก่ำขึ้นมา น้ำเสียงของเฝิงจงเหลียงอ่อนโยน แต่เขารับใช้เฝิงจงเหลียงมานานหลายปี รู้นิสัยของเขาเป็นอย่างดี

หากตอนนี้เขาเอะอะโวยวาย แสดงว่าเรื่องทั้งหมดอาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ เพียงแค่ขู่เท่านั้น

แต่ว่า หากเขาพูดจาอ่อนโยนและวางแผนอนาคตของตนเองเอาไว้แล้ว แสดงว่าเฝิงจงเหลียงได้ตัดสินใจไปแล้ว