บทที่ 495 ตกลง
เจียงเซ่อยังคงส่งสัญญาณเพื่อเตือนสติเผยอี้กลับยังคงอึ้งและยังไม่รู้สึกตัวและพูดตามเธอ
“ยื่นมือมา...”
คำพูดนี้ของเขา ทำให้เจียงเซ่อกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เขาราวกับได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงจนดัง ‘ตึกตัก’ อยู่ข้างหู
“เซ่อเซ่อ...”
“อย่าโง่สิ” เธอเตือนอีกครั้ง “ยื่นมือมา”
ครั้งนี้เผยอี้ได้ยินเสียงของเจียงเซ่อแล้ว เขายื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย เธอกำแหวนแน่นพลางเม้มปากและช้อนสายตาขึ้นมองเขา
“อาอี้” ในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสุข “ฉันรักนาย” เธอพูดคำนี้ออกมาอย่างเขินๆ แต่น้ำเสียงหนักแน่นมาก
“ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ฉันก็อยากมีนายอยู่ข้างฉัน ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของฉันจะเป็นอย่างไร ก็หวังให้นายจำฉันได้ ไม่ว่าจะต้องเจอเรื่องอะไร ขอเพียงแค่มีนายอยู่เคียงข้างฉัน”
เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการห้ามไม่ให้ตนเองดึงเธอเข้ามากอด ฟังเธอพูดให้จบ
“ตอนนี้ ต่อหน้าพระเจ้าในโบสถ์แห่งนี้ มีรูปปั้นเป็นพยาน มีคำอวยพรมีเสียงปรบมือ นายยินยอมที่จะอยู่เคียงข้างฉันไปตลอดชีวิต ยินยอมที่เป็นสามีของฉันหรือไม่”
ในที่สุดเธอก็พูดจบ คำพูดที่ติดอยู่ในใจของเผยอี้ค่อยๆ ทะลักออกมา “ผมจะอยู่เคียงข้างพี่ไปตลอดชีวิตในฐานะสามีของพี่”
แหวนวงนั้น ถูกเธอสวมเข้ามาอย่างตั้งใจ เขาก็ยินยอมโดยดี
ในบริเวณที่ไกลออกไป ไม่รู้ว่าผู้ศรัทธาคนนั้นกลับไปนั่งที่เดิมตั้งแต่เมื่อไหร่และมองคู่รักหนุ่มสาวที่ดูงดงามสมบูรณ์แบบคู่นี้และเผยคำอวยพรออกมาผ่านดวงตา
เจียงเซ่อและเผยอี้คอยยับยั้งชั่งใจตนเองมาโดยตลอด ไม่มีการจัดฉากขอแต่งงาน ไม่ได้จัดพิธีเอาใจคนอื่น แต่ความรักอันหวานชื่นและความจริงใจของทั้งสอง กลับสื่อออกมาทางสายตาอย่างลึกซึ้ง
ภาพอันแสนอบอุ่นนี้ ทำให้ผู้ศรัทธาคนนี้อดยิ้มไม่ได้ เขาร้องเพลงอวยพรเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ เพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้กับสถานการณ์แบบนี้
ต่อหน้าคนอื่น เผยอี้เพียงแค่จูบหน้าผากเจียงเซ่อเบาๆ เท่านั้น จับมือเธอถ่ายรูปกับคนแปลกหน้าในตอนที่ทั้งสองขอแต่งงานกันอย่างเรียบง่ายเพื่อเป็นที่ระลึก
โบสถ์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญต่อจิตใจของเผยอี้ ทั้งสองใช้เวลาอยู่ในนั้นด้วยกันอย่างไม่รีบร้อน
เขาก้มลงมองแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วของทั้งสองอยู่ตลอดเวลา เขาฝันถึงวันนี้มาโดยตลอด แม้ตอนนี้ความฝันกลายเป็นจริง ก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ กลัวว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงแค่จินตนาการของตนเอง
“ผมคิดว่าพี่จะขอเวลากลับไปคิดทบทวนเสียอีก”
ตอนนี้ชื่อเสียงของเธอโด่งดังไปทั่วทั้งหัวเซี่ย กลายเป็นดาวรุ่งคนใหม่ในวงการบันเทิงที่ส่องแสงสว่างไปทั่ว จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมาก
ตอนแรกเผยอี้คิดว่า หากตนเองขอเธอแต่งงานและด้วยความรอบคอบของเธอ เธอจะต้องพิจารณาปัจจัยหลายๆ อย่าง แล้วจึงค่อยให้คำตอบตนเองแน่ๆ
คิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ยังไม่ทันที่เขาจะขอแต่งงาน เธอก็ทำแผนของเขาพังเสียก่อนแล้ว
เขาทั้งรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกเสียใจ
ผู้หญิงของเขาทั้งน่าภูมิใจและกล้าหาญ ขนาดขอแต่งงาน ยังไม่ต้องรอให้เขาเริ่มก่อน เธอรักเขาและพอคิดจะแต่งงานก็เอาแหวนออกมาเลย
“ทำไมถึงต้องคิดล่ะ”
เธอเงยหน้าขึ้น มือข้างหนึ่งยังคงถูกล็อกอยู่ในฝ่ามือของเขา ส่วนมืออีกก็ข้างวางอยู่บนหน้าอก
“อาอี้ของฉันเป็นคนดี ซึ่งฉันก็ชอบมากแล้วยังต้องคิดอะไรอีกล่ะ”
เธอชมกันตรง ๆ จึงทำให้เผยอี้หน้าแดงเล็กน้อย หัวใจก็เต้นรัวแรงอย่างไม่ไว้หน้า มือข้างหนึ่งของเขาโอบเอวเธอเอาไว้ อยากฟังเธอชื่นชมตนเองอีกจึงอดใจรอไม่ไหวถามขึ้นอีกครั้ง
“ดีขนาดนั้นเลยจริงๆ เหรอ”
“อืม” เธอพยักหน้าอย่างแรง “อาอี้ดีที่สุด ฉันชอบที่สุดเลย” พูดถึงตรงนี้ เจียงเซ่อหยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเปลี่ยนคำ
“ไม่สิ ฉันรักที่สุด!”
ทันทีที่เธอพูดจบ ในที่สุดเผยอี้ก็อดทนต่อความรู้สึกของตนเองไม่ไหว ก้มหน้าลง
ริมฝีปากอุ่นค่อยๆ แนบลงบนริมฝีปากของเธอ ความรู้สึกที่คิดว่าเธอเป็นดั่งเจ้าหญิงที่เขาโอบอุ้มไว้ในฝ่ามือ ไม่เพียงแค่สื่อออกมาผ่านสายตาของเขา และยังแสดงออกผ่านการกระทำของเขาด้วย
เขาชอบเธอมาก ในทุกๆ ครั้งล้วนคิดว่าไว้ว่าจะไม่ใจสั่นเพราะเธออีก แต่หัวใจของเขากลับแสดงความรู้สึกอัดอั้นของเขาออกมาด้วยความจริงใจในทุกๆ ครั้ง
ตอนที่ทั้งสองออกจากโบสถ์ เผยอี้อารมณ์ดีจนแม้กระทั่งมาเจอเสียงวุ่นวายข้างนอกยังรู้สึกชอบมาก
หลังจากกลับไปถึงคฤหาสน์ก็ค่ำแล้ว สวนองุ่นกว้างสุดสายตา ตอนที่เจียงเซ่อมาเมื่อครั้งที่เป็นฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว เมื่อเทียบกับตอนนี้แล้ว สวนองุ่นในตอนนี้เขียวขจี ดูมีชีวิตชีวา ทำให้จิตใจผ่อนคลายลง
สำหรับมื้อค่ำนั้น คนรับใช้ได้เตรียมเอาไว้ก่อนกลับ บนโต๊ะอาหารมีเทียนตั้งอยู่ ก่อนหน้านี้เผยอี้บอกว่ามีธุระต้องไปทำก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา
เจียงเซ่อกำลังคิดว่าควรจะโทรหาเขาหรือไม่ เขาก็กลับมาพร้อมไวน์แดงขวดหนึ่ง
ท่ามกลางแสงเทียน เขาสวมเสื้อเชิ้ตที่ติดกระดุมไม่เรียบร้อยกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินตัวหนึ่ง เผยให้เห็นรูปร่างสูงโปร่ง เอวสอบและขายาวๆ ของเขา
คนรับใช้ที่คฤหาสน์ถูกสั่งให้กลับไปก่อนแล้ว ในบ้านมีเพียงแค่เขาทั้งสอง เขาถือขวดไวน์เอาไว้และเปิดฝาออกด้วยท่าทางราวกับเด็กน้อยอย่างนั้น
บนอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นไวน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของฝรั่งเศสอันหอมละมุนที่มีกลิ่นองุ่นอ่อนๆ ซ่อนอยู่ แค่เพียงได้กลิ่นก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ไวน์ถูกเทลงในแก้ว เขานั่งลง พอสังเกตเห็นสายตาของเจียงเซ่อ เขาจึงอธิบายว่า
“นี่เป็นไวน์ที่ผมหมักเองเมื่อหลายปีก่อน”
แสงไฟสลัวเป็นตัวช่วยในการปิดบังความตื่นเต้นในดวงตาของเขา เขาดมกลิ่นไวน์ที่มีกลิ่นหอมฝาดๆ อยู่กลางอากาศ และบอกความปรารถนาในตอนนั้นของเขาต่อหน้าเธอ
“ตอนนั้นผมอยากหมักไวน์ให้พี่ดื่มในวันแต่งงานของเรา”
เรื่องนี้สำหรับเผยอี้ในตอนนั้นแล้วเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้ เขายังไม่ได้สารภาพรักกับเจียงเซ่อ สำหรับเธอแล้วเขาไม่ใช่คนรัก แม้จะหมักเหล้าเสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีวันที่ได้ใช้มันหรือไม่
มันถูกเก็บเอาไว้ในโรงไวน์ปีแล้วปีเล่า จนมันค่อยๆ ตกตะกอน
ทั้งสองยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงาน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เผยอี้รู้สึกเสียดาย แต่ว่า ไวน์ที่เขาหมักกับมือในตอนนั้น ตั้งแต่หมักเสร็จเทใส่ขวดจนถึงตอนนี้ ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว วินาทีนี้ในที่สุดก็ถูกเขาเอามาวางตรงหน้าเจียงเซ่อ
เหล้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตอนวัยรุ่นค่อยๆ ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในแก้วทีละหยดๆ เขาค่อยๆ เทมันลงในแก้วของเจียงเซ่อ
เธอเป็นคนคออ่อน เขาจึงเทเพียงเล็กน้อย
กลิ่นค่อนข้างฝาดจมูก เหมือนเขาตอนวัยรุ่น
เจียงเซ่อสามารถจินตนาการได้ว่า เขามีความรู้สึกอย่างไร ตั้งแต่ขั้นตอนการเด็ดองุ่นจนหมักเสร็จแล้วนำมาใส่ขวดและเก็บมันเอาไว้ รอคอยที่จะเปิดฝาไวน์ขวดนี้ตรงหน้าเธอมากเพียงใด
ความจริงแล้ว เผยอี้ไม่เคยซ่อนความรู้สึกที่มีต่อเธอ แต่กลับไม่เคยตรงไปตรงมาและชัดเจนจนทำให้เธอรู้สึกชื่นชอบมาก่อน เขาเป็นเหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กุมหัวใจของตนเองเอาไว้ด้วยความระมัดระวังเพื่อมายืนตรงหน้าเธอ รอให้เธอรับมันเอาไว้
เธอจับเสื้อเชิ้ตของเผยอี้เอาไว้ พยุงตนเองขึ้นโดยมีสองมือของเขาคอยช่วย