บทที่ 466 การแข่งขัน
สาวชาวหัวเซี่ยที่ทำให้เชี่ยซ่าเหลยประทับใจคนนี้ นอกจากแสดงอุปนิสัยที่ทั้งจริงใจและกล้าหาญให้เขาได้เห็นแล้ว ยังแสดงจิตใจทะเยอทะยานของเธอต่อเชี่ยซ่าเหลยอีกครั้ง
เชี่ยซ่าเหลยไม่ตอบรับ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธทันที สำหรับเจียงเซ่อผลลัพธ์แบบนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
เธอยังคงพยายามต่อไป
“ฉันไม่รู้จัก ‘The Lost City’ แต่สำหรับนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ ฉันได้อ่านมาหลายรอบแล้ว มันถูกเขียนขึ้นมาได้อย่างโดดเด่น แต่เสียดายที่เป็นเพราะหลายปัจจัย ทำให้มันไม่เป็นที่รู้จักมากนัก” เจียงเซ่อรู้สึกว่า การโน้มน้าวเชี่ยซ่าเหลยในตอนนี้ เหมือนตอนที่เธอได้รับบท ใน ‘The Occasion of Beiping’ เป็นอย่างมาก เธอใช้ท่าทางเหมือนตอนที่คุยกับโหวซีหลิ่งในตอนนั้นมาอธิบายต่อเชี่ยซ่าเหลย
“อยากทำนิยายที่มีพื้นฐานคนอ่านไม่กว้างขวางนักเป็นหนัง เรื่องความยากนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ว่า นอกจากแฟนพันธุ์แท้อย่างคุณแล้ว ไม่มีทางที่ผู้กำกับคนอื่นจะทำเรื่องแบบนี้แน่”
เจียงเซ่ออธิบายอย่างตั้งใจ
“แม้ในอนาคตจะมีผู้กำกับที่ทำแบบนี้จริงๆ จะเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นเมื่อไหร่ เราก็ไม่มีทางรู้และผู้กำกับคนนี้จะรัก ‘นักโทษ’ เหมือนคุณหรือเปล่า ฉันเองก็ไม่กล้ารับประกัน”
เชี่ยซ่าเหลยเงียบ ซึ่งเป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้เจียงเซ่อพูดต่อ
“หนังแบบนี้ ในความเป็นจริงแล้ว มันจะส่งผลกระทบอย่างไรก็ยังไม่รู้” หนังเกี่ยวกับศาสนาก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้กำกับคนใดเคยลอง แต่ว่าหากต้องการให้ได้ทั้งกำไรและการพูดถึงในทางที่ดีจริงๆ กลับเป็นเรื่องที่ยากมาก
แม้จะเป็นผู้กำกับมือทองที่มีผลงานที่โดดเด่นไม่น้อยอย่างเชี่ยซ่าเหลยก็ยังไม่กล้ารับประกันว่า หลังจากที่ปรับแก้บท เรื่อง ‘นักโทษ’ แล้ว จะเป็นที่นิยมในท้องตลาดหรือไม่
“แต่ฉันกลับรู้สึกว่าหากไม่ทำจะน่าเสียดายมาก คุณเป็นผู้กำกับฝีมือดี ความรักจากใจจริงที่คุณมีต่อ ‘นักโทษ’ ฉันเองเห็นมากับตา ฉันคิดว่าไม่มีใครที่จะอ่านมันอย่างจริงใจเหมือนคุณอีกไปแล้ว ถ้า Matthew รู้ว่ามีผู้อ่านแบบคุณ คงจะปลาบปลื้มมาก”
เจียงเซ่อหยุดสายตาลงบนใบหน้าของเขา
“ฉันคิดว่า ในการถ่ายทำ ‘นักโทษ’ คงไม่มีผู้กำกับคนไหนตั้งใจได้เท่าคุณอีกแล้ว” เขาถึงขั้นเคยพูดว่า ตอนที่เขาได้ต้นฉบับ ‘นักโทษ’ มา ก็ได้ลองปรับแก้ด้วยความตั้งใจมาโดยตลอด
ถึงขั้นที่ไปขอความร่วมมือจากบริษัทฮว๋านเต่าและบอร์เจีย และได้รับการลงทุนจากทั้งสองบริษัทในรูปแบบของหนังที่ถ่ายทำเพื่อกระตุ้นรายได้
“ถ้าพลาดโอกาสแบบนี้ไป ฉันคิดว่ามันน่าเสียดายมากค่ะ” พอพูดถึงตรงนี้ เจียงเซ่อพลันถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง
“การได้รับมิตรภาพจากคุณถือว่ามีค่ามาก แต่ถ้าฉันอ้อนวอนคุณตอนนี้ให้มองข้ามมิตรภาพระหว่างเราทั้งสองคนเอาไว้ก่อนและให้โอกาสฉันได้แสดง ‘นักโทษ’ จะได้ไหมคะ แม้จะไม่ใช่บทนักแสดงนำ ฉันก็อยากลอง อยากมีตัวตนในบทประพันธ์ที่ตัวเองชอบค่ะ”
เชี่ยซ่าเหลยไม่อาจไม่ยอมรับว่า คำพูดประโยคสุดท้ายของเจียงเซ่อ ทำให้เขารู้สึกคล้อยตาม
ใช่ ที่เขาอยากทำหนังเรื่อง ‘นักโทษ’ ไม่ใช่เพราะชื่อเสียง ไม่ใช่เพราะผลกำไรและความนิยม แต่เพราะอยากมีตัวตนในบทประพันธ์ที่ตนเองชื่นชอบเหมือนกับเจียงเซ่อ อยากใช้มุมมองของตนเอง ในการบันทึกบทประพันธ์อันยอดเยี่ยมนี้เอาไว้และไม่อยากพลาดโอกาสแบบนี้ก็เท่านั้น
ความรู้สึกบนใบหน้าของเธอดูจริงใจเป็นอย่างมาก เขาหยุดคิดพักใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับ
เจียงเซ่อเองก็สัมผัสได้จึงหยุดพูด เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้พิจารณา
‘นักโทษ’ ไม่ใช่หนังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่เหมือน ‘The Lost City’ ที่สามารถใช้นักแสดงหัวเซี่ยได้ เพื่อกระตุ้นให้คนดูหัวเซี่ยอยากซื้อตั๋วและเข้าไปดูในโรงหนังและใช้เหตุผลนี้ในการทำรายได้ให้สูงขึ้น
นี่คือความชอบของเชี่ยซ่าเหลย นี่คือความฝันต้องห้ามของเขา เขาจะต้องคัดเลือกตัวละครเป็นพิเศษ
สำหรับตอนนี้ มิตรภาพไม่สามารถช่วยอะไรได้ ในโรงหนัง หนังของผู้กำกับสัญชาติแคนาดาท่านนี้ถือว่าดีมาก ใช้มุกตลกร้ายในการชี้ให้เห็นปัญหามากมายที่มีอยู่ในสังคม ผู้ชมในโรงหนังส่งเสียงหัวเราะอย่างต่อเนื่อง
แต่ทว่า ผู้ชมที่กำลังชมอยู่จริง ๆ กลับมีไม่มากนัก เพราะความตื่นเต้นของทุกคนยังคงอยู่ที่ความสัมพันธ์ที่ดูสนิทสนมระหว่างเชี่ยซ่าเหลยและเจียงเซ่อ
นักแสดงผู้เป็นที่นิยมของหัวเซี่ยที่กำลังโด่งดังอยู่ในตอนนี้และผู้กำกับมือทองท่านนี้คุยกันตั้งแต่หนังเริ่ม ท่าทางดูสนิทสนมกัน ชวนให้สงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
เหล่านักข่าวต่างอึดอัดใจมาก ในวินาทีนี้ ไม่ว่าจะมีเรื่องนิตยสาร ‘ว่าด้วยเรื่องของหนัง’ หรือไม่ นักข่าวจำนวนมาก ก็ล้วนจำชื่อนักแสดงหญิงที่ชื่อเจียงเซ่อได้เพราะเซี่ยซ่าเหลย
หนังฉายมาได้ครึ่งเรื่อง เจียงเซ่อเริ่มเบี่ยงเบนความสนใจของตนเองไปที่หนังตลก ดูสถานการณ์แตกต่างกันของพระเอกและนางเอกในหนัง จนกระทั่งหนังจบ ทุกคนในโรงหนังลุกขึ้น เจียงเซ่อเองลุกขึ้นและปรบมือให้กับผู้กำกับท่านนี้
“ฉันคิดว่าฉันจะให้โอกาสเธอได้ลองดูสักครั้ง”
เจียงเซ่อโล่งอก หลังจากที่สำเร็จตามเป้าหมาย หลังจากที่หนังจบแล้ว เธอไม่ได้รบกวนเวลาที่เถาเฉินและเชี่ยซ่าเหลยจะได้อยู่ด้วยกัน เธอลาเถาเฉินพร้อมรอยยิ้ม โดยไม่สนใจสายตาที่แฝงความระมัดระวังของเฉินเจียวสักนิด
หลังจากที่เธอจากไป เถาเฉินอดคาดเดาสิ่งที่เจียงเซ่อและเชี่ยซ่าเหลยคุยกันไม่ได้ แต่เสียดายที่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะสืบสาวเรื่องราว
เชี่ยซ่าเหลยเป็นคนหนักแน่น ทั้งยังฉลาดเกินคนและมีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ต่างๆได้ การถามโดยที่ไม่ผ่านการไตร่ตรองของเธอ อาจจะยิ่งทำให้ผู้กำกับฝีมือดีท่านนี้รู้สึกถูกคุกคามความเป็นส่วนตัวก็ได้
เพราะฉะนั้นเถาเฉินจึงไม่ได้ถาม ในทางกลับกัน หลังจากที่เจียงเซ่อจากไปแล้ว เธอก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย
เธอมองนาฬิกาหลายที หลังจากที่หนังจบ เป็นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว เถาเฉินจึงเสนอว่า
“มิสเตอร์คะ ใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราเลื่อนเวลาอาหารเที่ยงให้ใกล้เข้ามาดีหรือเปล่าคะ”
เซี่ยซ่าเหลยส่ายหน้าและปฏิเสธอย่างมีมารยาท
“คุณเถา ฉันอยากจะเลื่อนเวลาอาหารเที่ยงของเราออกไปเสียหน่อยน่ะ”
เขาส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ ค้นหารอบหนังที่ฉายก่อนเที่ยง ผู้ช่วยจึงกระซิบเบาๆ
“มิสเตอร์ครับ เวลาฉายหนังเรื่อง ‘Evil’ คือ สิบเอ็ดโมงยี่สิบนาทีและฉายโรงนี้พอดีครับ” เขาเคยรับปากกับเจียงเซ่อว่าจะดูหนังของเธอ นอกจากนี้ เขายังอยากเห็นฝีมือการแสดงของเจียงเซ่อ ว่าจะสามารถเป็นตัวละครใน ‘นักโทษ’ ได้หรือไม่
ใบหน้าของเชี่ยซ่าเหลยเผยสีหน้ารู้สึกผิดออกมา “ถ้ามันทำให้ตารางของคุณคลาดเคลื่อน ผมว่าเราเปลี่ยนเวลาทานอาหารด้วยกันเป็นครั้งหน้าดีหรือเปล่าครับ”
คำพูดของผู้ช่วยเขาเถาเฉินได้ยินมันเต็มหูและรู้ว่าเหตุผลที่เชี่ยซ่าเหลยอยู่ต่อก็เพียงเพื่อจะดูหนังเรื่อง ‘Evil’ ที่เจียงเซ่อเป็นนักแสดงนำเท่านั้น
วินาทีนี้ ไม่ใช่ว่าเถาเฉินจะไม่รู้สึกอะไร เธอเคยร่วมงานกับเชี่ยซ่าเหลย แต่ว่า หลังจากที่เชี่ยซ่าเหลยมาที่ฝรั่งเศส นอกจากนัดทานอาหารกลางวันนี้กับเธอแล้ว ก็ไม่ได้ไปดูหนังเรื่อง ‘The Incident’ ที่เธอเป็นนักแสดงนำเลย ความสัมพันธ์ระหว่างเธอ เจียงเซ่อและเชี่ยซ่าเหลยนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
เถาเฉินเป็นคนฉลาด ตอนที่เข้าใจในจุดนี้แล้วก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะรั้งเอาไว้ หากว่าเธอยังคงยืนยันว่าจะร่วมทานอาหารกับเชี่ยซ่าเหลยก็จะยิ่งเป็นการทำให้ตนเองอับอายเท่านั้น
การปรากฏตัวของเจียงเซ่อในวันนี้ ได้ทำลายความสัมพันธ์สนิทสนมที่ก่อนหน้าเธอพยายามสร้างขึ้นกับเชี่ยซ่าเหลยไปจนหมดสิ้น โชคดีไม่ได้อยู่กับใครตลอดไป ตอนนั้นเธอทำลายการติดต่อระหว่างเจียงเซ่อและเชี่ยซ่าเหลย ตอนนี้ในที่สุดก็มาถึงวันที่เจียงเซ่อใช้วิธีเดียวกันในการเอาคืนเธอ และการตบหน้าในครั้งนี้รุนแรงและเสียงดังยิ่งกว่าที่เธอทำในตอนนั้นเสียอีก
เถาเฉินเม้มปาก มุมปากเผยรอยยิ้ม “ได้ค่ะ ถ้าคุณมีธุระ ฉันก็ไม่รบกวน ถ้าคุณมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกฉันก็ได้ค่ะ”
การหันหลังกลับอย่างยิ้มแย้ม กลับยิ่งทำให้เชี่ยซ่าเหลยเกิดความประทับใจในตัวเธอได้มากกว่า พอคิดถึงเรื่องที่ตนเองผิดนัดวันนี้ ก็จะรู้สึกผิดกับผู้หญิงคนนี้อยู่มากเลยทีเดียว