บทที่ 467 รู้แพ้รู้ชนะ
หลายปีมานี้ เถาเฉินได้คุ้นชินกับการปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามน้ำ ในประเทศเธอมีทั้งชื่อเสียงและฐานะ หากอยากแสดงหนัง มีบทประพันธ์มากมายเข้ามาให้เธอเลือก การการันตีที่นักแสดงหญิงคนอื่นๆ ทำทุกวิถีทางแต่ไม่สามารถได้มา เธอกลับได้มันมาอย่างง่ายดาย
จนกระทั่งเซี่ยเชาฉวินทอดทิ้งเธอและเลือกเจียงเซ่อ เธอจึงพบว่ารุ่นน้องคนนี้ไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่เธอคิด อยู่ๆ เถาเฉินก็มีความคิดที่อยากจะเอาชนะขึ้นมา
หลังจากที่เธอจากไปแล้ว เชี่ยซ่าเหลยยังไม่ได้ออกไปจากโรงหนัง แต่กลับนั่งลงคุยกับผู้ช่วย ตั้งใจจะดูหนังรอบต่อไปต่อเลย
นักข่าวในโรงหนังเห็นฉากนี้แล้ว ต่างก็รู้สึกแปลกใจและรู้สึกเหนือความคาดหมาย
หลังจากที่ทั้งสองสาว เจียงเซ่อและเถาเฉินจากไป แต่เชี่ยซ่าเหลยกลับอยู่ต่อ มีคนเปิดดูรายการหนังเรื่องต่อไป เมื่อเห็นว่าหนังที่จะฉายในลำดับต่อไปคือ ‘Evil’ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เชี่ยซ่าเหลยไม่สนใจความคิดของคนรอบข้าง หลังจากที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะให้โอกาสเจียงเซ่อได้ลองแคสติ้ง ท่าทางก็จริงจังขึ้นมาก
ที่เขาวางแผนจะมาดูหนังเรื่อง ‘Evil’ ในตอนแรกก็เพราะอยากเห็นพัฒนาการด้านการแสดงของเจียงเซ่อ ตอนนี้มีปัจจัยอื่นเพิ่มเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนที่หนังเริ่มฉายและเจียงเซ่อปรากฏตัวออกมานั้น มันก็ทำให้เขาเผยท่าทางตื่นเต้นออกมา
หลังจากที่ดูหนังทั้งเรื่องจบ เขาพบว่าการถ่ายหนังของจ้าวร่างนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่นอกเหนือจากนี้แล้วสิ่งที่ทำให้เชี่ยซ่าเหลยอึ้งก็คือ เจียงเซ่อ
เขาเคยดูหนังเรื่อง 'The Occasion of Beiping' ที่เจียงเซ่อแสดงมาก่อน และเขายังจดจำ ‘โต้วโค่ว’ ผู้สง่างามได้เป็นอย่างดี
จากการตัดสินความสวยของคนยุโรปที่มีต่อผู้หญิงแล้ว เจียงเซ่อไม่ถือว่าเซ็กซี่ แต่เธอมีบุคลิกพิเศษบางอย่างที่เมื่อสวมชุดกี่เพ้าแล้วให้ความรู้สึกคลาสสิกและเป็นที่น่าจดจำเป็นอย่างมาก
แม้จะผ่านไปหลายปี เชี่ยซ่าเหลยก็ยังสามารถนึกถึงหนังเรื่อง 'The Occasion of Beiping' ได้เป็นอย่างดี แม้จะจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ไม่มากนัก แต่ภาพที่เจียงเซ่อเดินกางร่มเข้ามาในตอนนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำ
ตอนแรกคิดว่า เจียงเซ่อก็ยังคงจะเป็นเจียงเซ่อแบบนั้น แต่ใน ‘Evil’ เธอกลับลบเลือนภาพเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น
สิ่งที่เชี่ยซ่าเหลยสนใจคือ ไม่ใช่ทักษะการแสดงที่ดีหรือไม่ดีของเจียงเซ่อในเรื่อง ‘Evil’ แต่เป็นการที่เธอสามารถจับจุดแล้วแสดงความหมดหวังและความบ้าคลั่งออกมาได้เป็นอย่างดีต่างหาก
สิ่งที่ทำให้เขาประทับใจคือ ฉากสุดท้ายในหนังเรื่อง ‘Evil’ บทสนทนาระหว่างจางยวี่ฉินและเด็กหญิง ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ความหมดหวังกลับเกิดขึ้นอย่างมหาศาล
การจะแสดงเป็นคนหมดหวังนั้นไม่ใช่เรื่องยาก หากต้องการจะแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสก็มีน้ำตาเข้ามาช่วยในการแสดงความเจ็บปวดปางตายออกมา ทั้งการแสดงความรู้สึกต่างๆ ทั้งความสุข ความโกรธ ความเศร้า ความสุขล้วนสามารถแสดงออกมาผ่านอารมณ์บนใบหน้าได้
แต่การจะแสดงท่าทางที่ถึงแม้จะมีรอยยิ้ม แต่ทว่าให้รู้สึกถึงความหมดหวังออกมาได้นั้นกลับยากมาก
การทำแบบนี้เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ แต่เจียงเซ่อกลับสามารถแสดงออกมาได้ ทั้งยังสามารถส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชมได้ ไม่แปลกเลยที่นิตยสาร ‘ว่าด้วยเรื่องของหนัง’ จะชื่นชมหนังเรื่องนี้และยกย่องให้เป็นหนึ่งในผลงานที่สามารถเป็นคู่แข่งของหนังของ Spacey ได้
หากบอกว่า แม้เชี่ยซ่าเหลยรับปากว่าจะให้โอกาสเจียงเซ่อในตอนแรก แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วยว่าเธอจะเหมาะสมกับ ‘นักโทษ’ อย่างนั้นตอนนี้เขาคงจะคาดหวังในตัวเจียงเซ่อขึ้นมาจริงๆ แล้ว
หลังจากที่หนังจบ ก็บ่ายโมงกว่าแล้ว มือถือมีข้อความที่เถาเฉินส่งมาก่อนหน้านี้อยู่ แต่เพราะในขณะที่ดูหนัง เขาปิดเสียงไว้ จึงไม่เห็นข้อความนั้น
เขาเลื่อนนัดเถาเฉินจากมื้อเที่ยงเป็นมื้อเย็น จึงไม่คิดที่จะอยู่ในโรงหนังต่อและสั่งผู้ช่วยให้เว้นเวลาหลังมื้อเย็นให้ว่าง เพื่อเตรียมหารือและนัดหมายเวลาแคสติ้งกับเจียงเซ่อ
จุดสนใจของนักข่าวอยู่ที่เชี่ยซ่าเหลย ทันทีที่เห็นเขาลุกขึ้น คนส่วนใหญ่ก็ล้วนเบียดกันเพื่อเข้าไปหา
หลังจากที่ออกจากโรงหนัง นักข่าวกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา
“คุณเชี่ยซ่าเหลยคะ ตารางการเดินทางในครั้งนี้ของคุณแน่นมาก อยากทราบว่าจะร่วมเทศกาลหนังฝรั่งเศสเป็นเวลากี่วันคะ”
“คุณเชี่ยซ่าเหลยครับ ขออนุญาตถามว่า ทันทีที่คุณมาถึงโรงหนัง ก็ดูหนังเรื่อง ‘Safety’ ของเปโดรต่อด้วยหนังหัวเซี่ย ‘Evil’ ขออนุญาตถามว่า คุณตั้งใจมาดูหนังทั้งสองเรื่องนี้ หรือมาเพราะ ‘Evil’ โดยเฉพาะครับ”
“คุณเชี่ยซ่าเหลยคะ ในฐานะที่คุณและคุณเถาเฉินเคยร่วมงานกันในเรื่อง ‘The Lost City’ คุณคิดว่าเธอเป็นนักแสดงแบบไหนคะ”
“คุณเชี่ยซ่าเหลยคะ นอกจากคุณจะรู้จักกับคุณเถาเฉินแล้ว คุณมีความสัมพันธ์อะไรกับเจียงเซ่อคะ”
“คุณและนางเอกหนังเรื่อง ‘Evil’”
“คุณคะ…”
ผู้ช่วยข้างกายเชี่ยซ่าเหลยกันนักข่าวกลุ่มใหญ่ออกไป วันนี้เชี่ยซ่าเหลยพูดคุยกับเจียงเซ่อด้วยท่าทางที่สนิทสนมเป็นธรรมชาติ ทั้งยังอยู่ต่อเพื่อดูหนังเรื่อง ‘Evil’ แล้วยังผิดนัดมื้อเที่ยง ก็เป็นการบ่งบอกแล้วว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
ในยุโรป เชี่ยซ่าเหลยมีชื่อเสียงโด่งดังมาก เป็นผู้กำกับฝีมือดี แน่นอนว่าทุกการกระทำของเขาล้วนดึงดูดสายตาจากนักข่าว
นอกจากเขามีผลงานยอดเยี่ยมที่คอยสนับสนุน และสามารถดึงดูดความสนใจจากแฟนคลับจำนวนมากได้แล้ว ในขณะเดียวกัน เขายังมีความโรแมนติกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตามฉบับของผู้ชายอิตาลีอีกด้วย
เชี่ยซ่าเหลยเพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ เป็นช่วงที่อายุที่ผู้ชายเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มที่และมีเสน่ห์มากที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความหล่อเหลาของเขาที่ไม่แพ้นักแสดงชายเลยแม้แต่น้อย
นอกจากมีผลงานมากมายที่ให้ทุกคนได้วิจารณ์แล้ว สิ่งที่ทำให้แฟนคลับส่วนใหญ่ของเชี่ยซ่าเหลยให้ความสนใจ แน่นอนว่า คือชีวิตส่วนตัวของเขา
ชีวิตส่วนตัวของเขาน่าสนใจมาก เขาเคยออกเดทกับผู้หญิงมากมาย อย่างไม่กำจัดฐานะ อาชีพและสัญชาติ ฉากที่เขากอดเจียงเซ่อในโรงหนังก่อนหน้านี้ เป็นการยากที่จะไม่ทำให้นักข่าวคิดไปในทางนั้น มีคนถึงขั้นถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“สาวงามจากหัวเซี่ยคนนี้ กำลังจะเป็นคู่เดทคนใหม่ของคุณใช่ไหมคะ”
“แน่นอนว่าไม่” เชี่ยซ่าเหลยเผยรอยยิ้ม เขายื่นไอแพดที่ในตอนแรกกำลังดูตารางงานวันนี้ให้ผู้ช่วย ต้องเข้าใจว่าเพื่อดูหนังเรื่อง ‘Evil’ เขายังต้องเลื่อนเวลามื้อเที่ยง หากนักข่าวไม่ได้รับคำตอบที่เป็นที่พอใจจากเขา คิดว่าคงจะไม่ยอมแพ้แน่ และเป็นไปได้สูงมากที่จะตามตื๊อเขาไปเรื่อยๆ “ผมไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับคนที่ผมกำลังจะร่วมงานด้วยหรอกครับ”
ผลกระทบจากคำพูดนี้ของเขา มากกว่าการที่เขาจะเดทกับเจียงเซ่อเสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวจากยุโรปหรือหัวเซี่ย ล้วนอึ้งจนพูดไม่ออกเพราะคำพูดนี้ของเขา
คำพูดของเชี่ยซ่าเหลย เป็นการเปิดเผยเรื่องที่จะร่วมงานกับเจียงเซ่ออย่างเห็นได้ชัด และเหนือความคาดหมายมากกว่าการที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวเสียอีก
“คุณหมายความว่าคุณจะร่วมงานกับนักแสดงที่กำลังโด่งดังของหัวเซี่ยเหรอคะ”
มีคนไม่อยากจะเชื่อ ถามแล้วถามอีก เชี่ยซ่าเหลยจึงพยักหน้า
“ก็วางแผนเอาไว้แบบนั้นครับ”
ใบหน้าของผู้กำกับสัญชาติอิตาลีผู้เย็นชาคนนี้แฝงรอยยิ้ม และพูดประโยคนี้ออกมาด้วยท่าทางอันสงบนิ่ง
บรรดานักข่าวยกล้องที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกขึ้นมาและต่างบันทึกทุกท่วงท่าในขณะที่เขาพูดคำพูดนี้ออกมา บางคนก็รับเช็คกล้องเพื่อยืนยันว่าได้ถ่ายภาพก่อนหน้านี้ไว้แล้ว
เสียงสูดลมหายใจดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางทีอาจเป็นเพราะไม่อยากจะเชื่อ นักข่าวจากหัวเซี่ยที่เบียดอยู่ท่ามกลางผู้คนคนหนึ่งจึงถึงขั้นถามคำถามที่ไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลยออกมา
“จริงหรือครับ”
“แน่นอนครับ” เชี่ยซ่าเหลยยักไหล่ “เรื่องเกี่ยวกับหนัง ผมไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นหรอกครับ”