webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

452

บทที่ 452 ผลงาน

เรื่องที่พบศพของจูจู ทำให้จางยวี่ฉินหัวใจสลาย ความจริงแล้วระหว่างที่ตามหาตัวลูกสาวมานาน เธอก็แทบจะรับไม่ไหวแล้ว

หลังจากที่ลูกสาวหายตัวไปได้ไม่นาน สามีของเธอก็ไปใช้ชีวิตใหม่ ลบเลือนเรื่องราวที่ผ่านมาไปจนหมดสิ้น แต่เธอกลับวนเวียนอยู่ที่เดิม ยากที่จะหนีออกจากความรู้สึกผิดที่ตนเองสร้างขึ้นมา

หากวันนั้นเธอไม่ทำโอทีและไม่ได้ไปส่งสัญญาให้ลูกค้า ลูกสาวของเธอก็คงไม่ต้องมาเจอจุดจบแบบนี้ใช่ไหม?

‘คุณแม่ เมื่อไหร่คุณแม่จะกลับ การบ้านของหนูทำเสร็จหมดแล้ว...’

น้ำเสียงที่แฝงความไร้เดียงสาของจูจูดังขึ้นในหัวของจางยวี่ฉิน ผู้ชมทุกคนในโรงหนังล้วนสะอื้นเพราะฉากนี้

ทุกคนต่างคิดว่าจางยวี่ฉินจะไม่สามารถรับความกดดันแบบนี้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่า เธอกลับทนได้ ทั้งยังแปรเปลี่ยนความโกรธและการโทษตัวเองเป็นแรงผลักดัน

เธอพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนการไขคดีของทางตำรวจ แต่ทางตำรวจกลับปฏิเสธการเข้าร่วมของเธอ คิดว่าสภาพจิตใจของเธอในตอนนี้ไม่เหมาะกับการเข้าร่วมคดีนี้ อีกอย่าง นอกจากที่เธอเป็นแม่ของเหยื่อแล้ว เธอไม่ใช่ตำรวจ ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่ง

แต่ว่า พวกเขาดำเนินการชักช้ามากเกินไป และตอบจางยวี่ฉินเพียงแค่ว่าให้เธอรอก่อนมาโดยตลอด เธอเงียบลงทุกวันๆ ดวงตาคู่นั้นของเธอไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ เย็นเยียบและให้ความรู้สึกกดดัน

ในขณะที่เธอเงยหน้าขึ้น แม้แต่ซูเพ่ยเอินยังรู้สึกกลัว ความรู้สึกแบบนั้นยากที่จะอธิบาย ราวกับองุ่นแดงตากแห้งที่ไร้ซึ่งชีวิต ดำจนกลายเป็นสีม่วง แต่กลับไร้ซึ่งความรู้สึก เวลาที่ถูกสายตาของเธอจับจ้อง ยิ่งทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก รู้สึกเศร้า แต่ที่มากกว่านั้นคือความหวาดผวา

เธอเริ่มตามล่าทุกคนที่ควรจะสงสัย จัดอันดับทุกคนที่เป็นผู้ต้องสงสัยในเป้าหมายการตรวจสอบของเธอ

เรื่องนี้จ้าวร่างถ่ายทำออกมาได้อย่างกะทัดรัดและน่าสนใจมาก ในทุกขั้นตอนของการลงมือกับผู้ต้องสงสัย ล้วนเป็นบททดสอบอันหนักหน่วงสำหรับจางยวี่ฉินที่รับบทโดยเจียงเซ่อ

หากซูเพ่ยเอินคิดว่าการทักษะการแสดงก่อนหน้านี้ของเจียงเซ่อคือการที่ร่างกายทำงานร่วมกับภาษากาย เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดของท่าทางและความรู้สึก ถ้าอย่างนั้น การแสดงในตอนนี้ของเจียงเซ่อก็ไม่ด้อยไปกว่านักแสดงที่อยู่ในวงการนานหลายปีและมีทักษะการแสดงอย่างยอดเยี่ยมเลย

เธอแสดงให้เห็นตัวจางยวี่ฉินที่ตอนนี้เหมือนจนตรอกให้มีหลายด้านและซับซ้อน ความโหดเหี้ยมเมื่อพบกับผู้ต้องสงสัย จนถึงความกังวลในขั้นตอนของการลงมือ จากนั้นก็เป็นความเจ็บปวดและโกรธเคืองเมื่อพบว่าตนเองเดาผิด ล้วนปรากฏอยู่ในปฏิกิริยาของเธอ

เธอไม่พูดแม้แต่คำเดียว แต่ความบ้าคลั่งในสายตาปะทุจนถึงขีดสุด อารมณ์กำลังได้ที่ ปลายนิ้วทุกนิ้วที่กำลังสั่นของเธอ เส้นผมหลุดลุ่ย รวมทั้งปลายจมูกที่สั่นเพราะรอผลลัพธ์ล้วนกำลังเพิ่มคะแนนให้กับการแสดงของเธอ

ความรู้สึกของผู้ชมที่เธอกระตุ้นขึ้นมานี้ ผิดหวังเพราะเธอและเจ็บปวดเพราะความคับแค้นของเธอ

ในที่สุดเธอก็หาผู้ต้องสงสัยอย่างลั่วเซิ่นเจอ กล้องจับบนรูปภาพในมือของเธอ ใบหน้าของหลิวเย่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน

เขาหลุบตาอยู่ ขยับมุมปากข้างขวา พยายามเผยรอยยิ้มที่แข็งทื่ออกมาเผชิญหน้ากับกล้อง แต่ยากที่จะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากรอยยิ้มนั้นและมันกลับให้ความรู้สึกน่ากลัว

จนถึงตอนนี้ ซูเพ่ยเอินจึงได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

“พระเจ้า นี่มันหลิวเย่ไม่ใช่เหรอ?”

เขาเผยรอยยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ความจริงแล้วตอนเห็นหลิวเย่ปรากฏตัวครั้งแรก เขาเองก็มีปฏิกิริยาแบบนี้

แต่เพราะเขาอายุมากแล้ว สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่ได้ทนไม่ไหวจนต้องตะโกนออกมาเหมือนเด็กผู้หญิงคนนี้เท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าคนจำนวนมากไม่รู้ว่าเป็นหลิวเย่ แต่เรื่องนี้ก็โทษผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ หลิวเย่เปลี่ยนไปมากจริงๆ

เพื่อหนังเรื่องนี้ เขาเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาถึงยี่สิบกิโลกรัม เนื้อบนแก้มย้อยลง ไว้ผมยาวขึ้นมาหน่อย อาจจะเพราะจงใจแต่งทรงผมให้ดูเป็นวัยกลางคน

ในขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น ก็ยากที่จะทำให้ผู้คนเชื่อมโยงตัวเขาในหนังที่ดูแก่ลงกับหลิวเย่ที่แสนสง่างามในความทรงจำของทุกคนเข้าด้วยกันได้

“ลั่วเซิ่น...” จางยวี่ฉินเรียกชื่อของคนที่อยู่ในรูปเบาๆ ทีหนึ่ง และยื่นมือออกไปลูบขอบรูปถ่าย แล้วพึมพำว่า

“แกใช่ไหม”

เธอเอารูปถ่ายเข้าไปแนบกับใบหน้าของตนเองอย่างอบอุ่น เอาหูไปแนบข้างใบหน้าของหลิวเย่ในรูปและถามด้วยท่าทางเหมือนคนเป็นโรคประสาทว่า

“บอกมา คนๆ นั้น ใช่แกไหม? คนที่ลักพาตัวลูกสาวฉัน ใช่แกไหม?”

เธอถามทีละคำ ๆ ท่าทางไม่ได้โหดเหี้ยมนัก แต่กลับรับรู้ได้ถึงความกระวนกระวายที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางความอบอุ่นที่เธอแสดงออกมา สายตาแบบนั้นช่างชวนให้ขนลุก

ความจริงแล้วเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ การจะเดาตอบจบไม่ใช่เรื่องยากนัก ไร้ซึ่งคำถาม ผู้ชมที่ความรู้สึกช้าเพียงใดก็สามารถเดาได้ว่า ฆาตกรที่ฆ่าจูจูน่าจะเป็นลั่วเซิ่นที่รับบทโดยหลิวเย่

ผู้กำกับไม่ได้มีความคิดปกปิดทิศทางของหนังของตนเอง ถึงขั้นเปิดเผย ‘ฆาตกร’ ว่าเป็นใครต่อหน้าทุกคนอย่างไม่ต้องรอคอย

แต่ทว่า วิธีแบบนี้ ยิ่งดึงดูดความสนใจในการรับชมของซูเพ่ยเอิน

เพราะการแสดงที่ส่งผลต่อกันอย่างรุนแรงของนักแสดงนำหญิงและชาย กลายเป็นแรงจูงใจที่แท้จริงในการดูหนังต่อของเขา ดูการปะทะกันของเจียงเซ่อและหลิวเย่ กลายเป็นการเสพทั้งประสาทสัมผัสและการกระตุ้นไปพร้อมๆ กัน ซูเพ่ยเอินถึงขั้นเสียดายที่นี่เป็นเพียงแค่หนังเรื่องหนึ่งเท่านั้น

เวลาสั้นไปจริงๆ นั่นแหละ

แต่ทว่า แม้จะเหลือเวลาอีกไม่มาก แต่จ้าวร่างใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า อธิบายปมที่ทำให้จางยวี่ฉินสงสัยลั่วเซิ่นออกมาอย่างชัดเจนและเข้าใจ

การที่จางยวี่ฉินสงสัยลั่วเซิ่นไม่ใช่เรื่องแปลก ในวันที่พบศพของจูจู เขาเคยปรากฏตัวในสถานที่เกิดเหตุ อีกอย่าง แม้เขาจะไม่ได้ทำงานที่โรงงานย้อมผ้า แต่ตอนนี้พ่อแม่ของเขาทำงานที่โรงงานย้อมผ้า สำหรับพื้นที่นี้ เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี

เขารู้ว่าต้องฝังศพอย่างไร จัดการกับศพอย่างไร จึงจะไม่มีใครมาเห็น

และก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะน้ำทิ้งที่โรงงานย้อมผ้าเกิดอุดตัน บางทีการหายตัวไปของจูจู หลายปีผ่านไปก็คงไม่มีใครพบ พูดได้เพียงแค่ว่าทุกอย่างบังเอิญมาก แม้แต่พระเจ้ายังไม่ยอมปล่อย ‘ปีศาจ’ ตนนี้เอาไว้

เมื่อจางยวี่ฉินสืบไปเรื่อยๆ เธอพบว่าก่อนตายจูจูเคยถูกล่วงละเมิด เธออดทนต่อความเจ็บปวด และไปหาหนังสือด้านจิตวิทยามาอ่าน

สามารถลงมือกับเด็กสาวได้ แสดงอีกฝ่ายจะต้องมีความบกพร่องทั้งด้านจิตใจและร่างกาย เพื่อแสดงถึงอำนาจและความแข็งแกร่ง จึงได้เปลี่ยนเป้าหมายมาทำร้ายเด็กผู้หญิงที่อ่อนแอกว่าตัวเอง

เมื่อได้ข้อสรุปนี้ จางยวี่ฉินก็สืบจนได้ความว่าลั่วเซิ่นไม่เคยแต่งงาน ไม่มีลูก พ่อเสียชีวิต เหลือเพียงแค่แม่คนเดียวเท่านั้น

เพื่อนบ้านคิดว่าเขาเป็นคนซื่อๆ พูดน้อย นิสัยค่อนข้างสันโดษ ปกติไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใคร เขาเรียนรู้การเย็บเสื้อผ้าจากพ่อแม่ ตอนนี้รับเย็บผ้าจากเพื่อนบ้าน เย็บและซ่อมแซมเสื้อผ้าเพื่อเลี้ยงชีพ

ผู้ชายที่มีความซื่อสัตย์และไม่เคยก่อเรื่องอะไรมาทั้งชีวิต ไม่ได้เป็นที่สนใจและถึงขั้นไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใคร แต่กลับเป็นฆาตกรใจโหดที่ฆ่าเด็กหญิงอายุน้อย

เมื่อมั่นใจแล้วว่าลั่วเซิ่นคือฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าลูกสาว จางยวี่ฉินกำรูปถ่ายเอาไว้ ถอนหายใจเบาๆ

“หาแกเจอแล้ว”

ในขณะที่พูดท่าทางของเธอดูด้านชา แสงไฟที่เย็นเยียบกระทบบนใบหน้าที่ผอมจนขาวซีดของเธอ จนชวนหวาดผวาขึ้นหลายเท่า ไออุ่นที่ออกจากปากในขณะที่เธอพูดกลายเป็นควันสีขาวหลายสายท่ามกลางแสงไฟในความมืดมิด สายตาของเธอนิ่งสงบแต่แฝงการปลดปล่อย แม้จะไร้ซึ่งจิตสังหาร แต่ในโรงหนัง ซูเพ่ยเอินกลับยื่นมือออกไปลูบแขนของตนเอง

ท่าทางตอนที่เจียงเซ่อถอนหายใจและพูดบทออกมา ทำให้สองแขนของเขาขนลุกชันขึ้นมา

ปูเรื่องมาอย่างสลับซับซ้อน ถึงตอนนี้ ในที่สุดนักแสดงนำทั้งชายและหญิงทั้งสองของเรื่องกำลังจะปะทะกันอย่างเป็นทางการแล้ว