บทที่ 433 มั่นใจ
เซี่ยเชาฉวินเอาเสื้อคลุมมาคลุมตัวเจียงเซ่อเอาไว้ ส่วนเรื่องดูแลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเผยอี้เป็นคนทำมันด้วยตัวเอง
ทีมงานในกองถ่ายต่างก็กำลังพูดคุยถึงเรื่องการถ่ายฉากต่อไปของหลิวเย่ เจียงเซ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ และจัดการพวกบาดแผลบนร่างกายตัวเองที่ได้รับตอนแสดงหนัง เผยอี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามหยิบไม้พันสำลีขึ้นมาแตะลงบนแอลกอฮอล์ล้างแผล จากนั้นก็แตะลงไปบนรอยแผลบนแขนของเธอ
ตอนที่เขามาถึงเธอก็แสดงไปถึงฉากที่ถูกลักพาตัวมาแล้ว คนพวกนั้นไม่รู้จักเขา แถมยังเอาแต่เกรงกลัวจางจิ้งอาน ถึงแม้ว่าตอนเข้ามาขวางเขาจะถูกเขาล้มไป แต่ก็ยังมีฝากรอยแผลเล็กๆ ไว้บนแขนเขา
เผยอี้ไม่รู้สึกอะไร แต่กลับทำให้เจียงเซ่อรู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อย
“ที่จริงนายน่าจะรอหน่อย ถ่ายเสร็จแล้วค่อยบอกว่านายเป็นแฟนฉันพวกเขาก็ให้เข้ามาแล้ว”
“ผมไม่อยากรอแล้ว” เขาส่ายหน้า และพูดออกมาอย่างจริงจัง
“ผมกลัวว่าพี่จะกลัว”
ถ้าหากว่าถ่ายหนังเรื่องอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่กับเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ นั้นไม่เหมือนกัน
ตอนที่อยู่ที่โรงเรียน เขาต้องติดต่อหาเนี่ยต้านตั้งหลายครั้ง ให้เขาไปหาบทหนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ มาดู หลังจากนั้นเขาก็ได้เอาไปถามคุณปู่ถึงเนื้อเรื่องเหล่านั้น และคุณปู่เองก็บอกว่ามันเหมือนเรื่องที่เฝิงหนานประสบมามาก
จุดที่มันไม่เหมือนกัน ก็คงเป็นการจัดองค์ประกอบฉากต่างๆ ของหนัง ที่มีความใหม่และดูดีกว่าเท่านั้นเอง
เขากลัวว่าเจียงเซ่อจะกลัว และรู้สึกว่าตัวเองยังมาช้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ ในเมื่อมาถึงกองถ่ายแล้วยังจะต้องรออะไรอีก?
“แต่ยังไงก็ไม่ควรจะได้แผลพวกนี้มานะ” เขาก้มมองแขนตัวเองที่โผล่พ้นแขนเสื้อมา บนแขนเขามีรอยข่วนอยู่ประปราย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าชอบที่เธอเป็นห่วงเป็นใยกันแบบนี้ละก็ เขาก็คงไม่มีทางไปสนใจมันแน่ๆ
แอลกอฮอล์ที่แตะลงรอบๆ แผลทำให้รู้สึกเจ็บและแสบไม่น้อย ใบหน้าตั้งอกตั้งใจของหญิงสาวทำให้ดวงตาของเผยอี้เป็นประกายขึ้นมาในทันที
ตอนนี้เธอกำลังเม้มปาก เสื้อผ้าหน้าผมยังไม่ได้ถูกจัดการ แต่ในสายตาของเขา ไม่ว่าเธอจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ยังสวยงามเสมอ
เขาเคยเห็นตอนที่เธอยังเป็นเด็ก ได้เห็นตอนที่เธอเป็นวัยรุ่น ได้เห็นตอนที่เธอบรรลุนิติภาวะ ช่างงดงามและอ่อนโยน และได้เห็นแม้แต่ตอนที่เธอต้องตกต่ำที่สุดในตอนที่มาเกิดใหม่ แต่สิ่งที่เขาชอบมองที่สุดในตอนนี้ คือหัวใจของเธอและสายตาที่เธอกำลังมองเขาในตอนนี้
เขาแอบค่อยๆ เลื่อนหน้าไปใกล้กับแก้มของเจียงเซ่อ เจียงเซ่อกำลังวางก้านสำลีเอาไว้อีกด้าน หลังจากนั้นก็ปิดฝาขวดแอลกอฮอล์ให้เรียบร้อย ที่จริงพอนึกถึงการถ่ายทำก่อนหน้านี้ขึ้นมา ในใจของเธอก็ยังรู้สึกหวาดผวาอยู่เลยด้วยซ้ำ ในตอนที่คนร้อบข้างล้วนแล้วเป็นคนแปลกหน้า แถมการถ่ายทำของจางจิ้งอานก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนกับตอนที่เธอถูกลักพาตัวไปจริงๆ และก็ส่งผลต่อจิตใจของเธอมากทีเดียว
แต่ว่าเผยอี้เองก็มาถึงได้ทันเวลา วินาทีที่เขาคว้าเธอเข้าไปกอด สำหรับเจียงเซ่อแล้ว มันช่างมีความหมายมากจริงๆ
ในตอนที่เธอได้สติกลับมา เสียงหัวใจที่กำลังเต้นของเขามันทำให้เธอรู้ว่าเขานั่นแหละที่กลัวยิ่งกว่าเธอเสียอีก
ได้ยินเขาพูดว่าชอบเธอบ่อยแล้ว แต่ว่าในใจของเธอก็มักจะเอาแต่คิดว่าที่เผยอี้บอกชอบเธอนั้นก็คงเป็นแค่เพราะว่าตอนเด็กเขาติดเธอ ที่เขาซื้อบ้านพักตากอากาศที่ฝรั่งเศสเพราะคำพูดเพียงประโยคเดียวของเธอนั้น ก็คงจะเป็นความชอบแบบเดียวกับที่ชอบหนังสือสักเล่มหนึ่งเท่านั้น
เธอรู้ความรู้สึกของเขา เข้าใจความคิดของเขา แต่ความรู้สึกเหล่านั้นมันก็ยังเหมือนไม่จริง ดูไม่มั่นคงเอาเสียเลย
เคยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องแผนในอนาคตที่เขาวางเอาไว้ แต่มันยังไม่ซาบซึ้งเท่าวินาทีนั้นที่เขากอดเธอเอาไว้แน่นๆ และบอกกับเธอว่า ‘เซ่อเซ่อ ไม่ต้องกลัวแล้วนะ’
เจียงเซ่อคิดมาตลอดว่านิสัยตัวเองนั้นมันไม่ได้น่าสนใจและยากที่จะควบคุมได้ กับความรู้สึกของเผยอี้ ส่วนมากก็แค่ไหลไปตามความคิดของเขาและคอยจัดการความรู้สึกตัวเองเพื่อรับความรู้สึกเขามา น้อยครั้งจริงๆ ที่เธอจะเป็นฝ่ายแสดงความรู้สึกและความคิดของตัวเองออกไป
แต่ในตอนนี้ พอเธอหันไปวางขวดแอลกอฮอล์ที่ปิดฝาเรียบร้อยแล้ว ก็กันหน้ามาพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมใบหน้าของเผยอี้เอาไว้ และเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“อาอี้ หลังจากนายจัดการภารกิจของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ไปที่บ้านตระกูลเฝิงกับฉันนะ ไปหาคุณปู่ของฉันกัน”
มือของเธอยังเย็นอยู่เลย แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่านิ้วมือของเธอมันนุ่มและเนียนละเอียดแค่ไหน
“ฉันอยากอยู่กับนาย ไม่อยากจะแยกจากกันอีกแล้ว”
นิสัยของเธอชอบเก็บความคิดเอาไว้คนเดียวเสมอ การที่เธอพูดออกมาแบบนี้ก็ใกล้เคียงว่าเธอกำลังขอเขาแต่งงานแล้ว พาเขากลับไปที่บ้านตระกูลเฝิง เหมือนกับว่าตั้งจะพาไปให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้ พิจารณามาแล้วว่าต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่เคียงคู่กับเขาตลอดไป อยากจะให้ทางผู้ใหญ่ยอมรับ
เผยอี้ดีใจไม่น้อยที่ได้ยินแบบนั้น แต่ก็รู้สึกเคืองด้วย
เรื่องแบบนี้ควรจะเป็นเขาที่พูดกับเธอสิ ไม่ใช่ให้เธอมาแย่งพูดไปแบบนี้
เขายกมือขึ้นรวบมือของเจียงเซ่อเอาไว้ พอลองนึกดูแล้ว เรื่องที่เฝิงจงเหลียงโทรหาเขา และนึกถึงเรื่องที่เธอพูดถึง ‘ภารกิจ’ นั่นอีก “พี่รู้แล้วอย่างนั้นหรือครับ?”
“ฉันคุยกับคุณปู่ดูแล้ว และรู้แล้วด้วยว่าการฝึกนั่นคืออะไร นายจะต้องปลอดภัยนะรู้ไหม แล้วรีบๆกลับมานะ” เธอค่อยๆ เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ มือทั้งสองข้างวางลงบนตัวเขาเพื่อกั้นทั้งสองคนเอาไว้
“ฉันเองก็อยากจะไปฝรั่งเศสแล้ว อยากจะลองชิมไวน์ที่นายหมักเอาไว้ อยากจะขี่ม้าที่นายเลี้ยงไว้ที่นั่น”
เรื่องพวกนี้ ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่เขาอยากจะทำกับเธอก่อนที่จะมาเกิดใหม่ แต่เธอก็ไม่ได้ทำมัน และตอนนี้เธอก็อยากจะเติมเต็มความทรงจำเหล่านั้น แต่น่าเสียดายที่หลังจากเผยอี้เรียนจบแล้ว คงจะมีโอกาสได้ออกไปต่างประเทศน้อยลง โดยเฉพาะกับคนฐานะอย่างเขา มีเรื่องต่างๆ มากมายที่เขาต้องจัดการ ต้องโทษตัวเธอเองที่ไม่ยอมรักษามันเอาไว้ มัวแต่รอจนสายเกินไปแบบนี้
เธอถอนหายใจออกมา เผยอี้รีบพยักหน้าตกลงทันที ในใจรู้สึกฮึกเหิม แต่ก็พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง
ทั้งสองคนได้อยู่ใกล้ชิดกันอย่างเงียบๆ พักหนึ่ง และทั้งคู่ก็รู้สึกชอบความเงียบแบบนี้จริงๆ เผยอี้คิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะบอกเธอเสียตั้งแต่ตอนนี้
ตอนนี้เขายังไม่ได้ยืนยันความคิดตัวเองกับเฝิงจงเหลียง และเรื่องที่เฝิงจงเหลียงสามารถจำเธอได้หรือเปล่าก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย ไม่ควรที่จะใช้การคาดเดาของตัวเองมาบอกกล่าวเธอแบบนี้ เพราะถ้าหากว่าตัวเองเดาผิด ความผิดหวังที่เจียงเซ่อมีจะต้องยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ
ตอนบ่ายเจียงเซ่อยังมีฉากที่ต้องถ่ายต่อ ตอนเที่ยงทีมงานก็ได้นำข้าวกล่องมาให้ และทีมงานที่จับตัวเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็โดดเผยอี้สกัดขาจนล้มลงกับพื้น ตอนที่เขาลงมือก็ยั้งแรงเอาไว้แล้วนะ แต่พวกนั้นก็ยังเจ็บมากกว่าเขาอยู่ดี
หลังจากที่เหล่าทีมงานได้รู้จากปากของโม่อานฉีว่าเผยอี้คือทายาทของตระกูลที่มีอำนาจของตี้ตู ทีมงานเหล่านั้นก็พากันรีบเข้าไปขอโทษกันอย่างหวาดๆ เพราะกลัวว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นในภายหลัง
แต่เผยอี้ก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะไปสนใจคนพวกนั้นหรอก ช่วงบ่ายเจียงเซ่อยังต้องไปพูดคุยเรื่องท่าทางและการถ่ายฉากต่อไปกับหลิวเย่และคนอื่นๆ อีก เขาจึงอาศัยเวลานี้ ในการชาร์ตมือถือให้เรียบร้อย และเปิดมือถือขึ้นมาอีกครั้ง
พอเปิดมือถือขึ้นมาก็พบว่ามีข้อความมากมายมาจากเฉินหมิ่นซู พอเผยอี้เจอเบอร์ของเฝิงจงเหลียงแล้วก็รีบโทรกลับทันที แต่กลับได้ยินว่าคุณปู่เฝิงตัดสินใจบินมาหาเจียงเซ่อที่เซี่ยงไฮ้เองแล้ว โดยที่ไม่ฟังเสียงทัดทานจากเสี่ยวหลิวเลยแม้แต่น้อย
อายุเขามากแล้ว แถมอารมณ์ก็แปรปรวน คุณหมอจ้าวเองก็กังวลและเป็นห่วงว่าเขาจะความดันขึ้นสูงกลางทาง จนเกิดเรื่องขึ้นอีก แต่โชคดีที่เผยอี้โทรกลับมาได้ทันเวลาพอดี
จนกระทั่งรู้ว่าตอนนี้เผยอี้อยู่กับเจียงเซ่อแล้ว เฝิงจงเหลียงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เจียงเซ่อรู้แค่ว่าเมื่อตอนบ่ายเผยอี้ได้ติดต่อไปหาเฝิงจงเหลียง และทั้งสองคนก็คุยกันอยู่นานพอควร แต่ว่าคุยกันเรื่องอะไรนั้นเธอก็ไม่รู้ แต่รู้แค่ว่าจิตใจของเขาดูสับสนและพะวงกับอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
เขาอยู่เป็นเพื่อนเจียงเซ่อในกองถ่ายมาเกือบจะหนึ่งอาทิตย์ ในทุกๆ วันที่เธอมีถ่าย เขาก็จะยืนอยู่ในกองถ่ายด้วย เธอแค่หันมามองก็สามารถเห็นเขาได้
และมันก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจได้ไม่น้อยเลย ตอนที่ถ่ายหนังเธอก็ปล่อยให้อารมณ์มันดำดิ่งไปในความทรงจำ และการถ่ายทำนั้นก็ราบรื่นไปได้มากกว่าที่เธอคิด
เมื่อตกดึกทีมงานก็พากันพูดคุยเกี่ยวกับอาหารมื้อดึกกัน วันนี้ได้เลิกกองเร็วกว่าที่กำหนดเอาไว้ เผยอี้จึงชวนเจียงเซ่อไปเดินเล่นด้วยกัน