webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

432

บทที่ 432 ไม่กลัว

“พวกตระกูลถังมันมีเงินอยู่แล้ว กับนังคุณหนูคนนี้ พวกมันจะยอมออกเงินสักเท่าไหร่กัน?”

ในซีนๆ นี้ จางจิ้งอานยังไม่ได้มีการสั่งคัทเลยสักครั้ง ในขณะเดียวกันเขาก็ส่งสัญญาณมือ สั่งให้ทีมงานใช้กล้องเครน ถ่ายฉากนี้เอาไว้ด้วย เพื่อถ่ายมุมสูงของเหล่านักแสดงทุกคนเอาไว้

การที่ต้องถ่ายฉากที่ลุ้นระทึกแบบนี้ เพื่อให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมและสมจริงที่สุดในการลักพาตัว จึงต้องใช้การถ่ายทำมุมสูงเพื่อให้ได้เห็นแววตาอารมณ์นักแสดงทุกตัวได้อย่างชัดเจน

สีหน้าท่าทางของเจียงเซ่อที่ดูหวาดกลัวและสิ้นหวัง ทำให้คนที่ได้เห็นต่างก็สามารถสัมผัสความรู้สึกนั้นได้อย่างลึกซึ้งและเข้าถึงสถานการณ์ที่แสนกดดันนั่น

กล้องกำลังถ่ายมาจากมุมสูง ค่อยๆ ซูมเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เสียงลมหายใจของเจียงเซ่อถูกเก็บเข้าไปในไมค์ ที่ปลายจมูกของเธอ มีเหงื่อเป็นเม็ดๆ เกาะอยู่

ที่จริงการถ่ายฉากแบบนี้ จางจิ้งอานควรที่จะสั่งคัทได้แล้ว แต่ทว่าตอนนี้การถ่ายทำกำลังเป็นได้อย่างเยี่ยมยอด โดยเฉพาะกับการแสดงท่าทางและอารมณ์ของเจียงเซ่อที่ทำให้เขาเกิดความตื่นเต้นและเซอร์ไพรส์ได้ไม่น้อย มันทำให้เขาไม่แน่ใจว่าหลังจากสั่งหยุดตอนนี้แล้ว หลังจากนี้เจียงเซ่อจะยังสามารถเข้าถึงบทบาทได้ขนาดนี้อีกหรือเปล่า

เขาโบกมือ ทำสัญญาณว่าให้ปรับมุมกล้อง ทีมงานที่เป็นคนควบคุมกล้องมุมสูงก็ค่อยๆ ปรับมุมกล้องช้าๆ และใช้เทคนิคภาพลวงตา จากมุมนี้สามารถทำให้ได้เห็นภาพร่างกายที่สูงใหญ่ของพวกคนร้ายลักพาตัว และทำให้เจียงเซ่อยิ่งดูตัวเล็กลงเข้าไปอีก และมันก็สามารถสร้างบรรยกาศได้อีกเป็นเท่าตัว

การถ่ายทำทั้งสถานที่และฉากต่างๆ นั้นกำลังเป็นไปอย่างเข้มข้น ทีมงานหลายคนที่อยู่หน้าประตูกลับห้ามไม่ให้เผยอี้เข้าไปข้างใน ห้องถ่ายทำที่ถูกเซตขึ้นมาถูกปิดล้อมด้วยม่านหลายชั้น เพื่อทำให้แสงไฟเพียงพอสำหรับความต้องการของจางจิ้งอาน

ไม่มีทีมงานคนไหนสามารถแบกรับผลที่จะตามมาของการเข้าไปรบกวนการถ่ายทำได้ ถึงแม้ว่าเผยอี้จะสามารถเดินเข้าไปในฉากถ่ายทำได้อย่างง่ายดาย เพราะยังไงฐานะของเขาก็ไม่ใช่ธรรมดาๆ อยู่แล้ว แต่ทีมงานก็ยังยืนยันว่าจะให้เผยอี้นั่งรออยู่ข้างนอกฉากไปก่อน

ถ้าหากว่าตอนนี้เจียงเซ่อไม่ได้อยู่ตรงนั้น ถ้าเธอไม่ได้กำลังถ่ายหนังอยู่ละก็ บางทีเผยอี้อาจจะไม่รีบร้อนที่จะเข้าไปขนาดนี้ก็ได้

และเพราะโดนกันตัวเอาไว้ตลอด ทำให้เผยอี้เริ่มที่จะหงุดหงิดไม่พอใจเสียแล้ว ไม่ว่าเขาจะยืนยันยังไงว่าจะไม่ไปรบกวนการถ่ายทำ แต่พวกทีมงานก็เหมือนจะไม่ยอมเชื่อเขาเลยสักนิด

ตั้งแต่ที่เขาเกิดมาจนโตขนาดนี้ มีครั้งไหนบ้างที่เขาต้องตกต่ำขนาดนี้? เผยอี้โยนกระเป๋าที่อยู่บนไหล่ออก และคิดที่จะบุกเข้าไปให้ได้

ใน

มุมๆ หนึ่งของห้อง ตอนนี้เจียงเซ่อกำลังด่ำดิ่งลงสู่ความทรงจำของตัวเองไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ความรู้สึกตื่นเต้นสมจริงในหนังอย่างที่จางจิ้งอานต้องการนั้น ทำให้เธอไม่สามารถจะแยกแยะได้ระหว่างเรื่องจริงกับความทรงจำในอดีต ในตอนนี้กลุ่มคนร้ายลักพาตัวที่อยู่ตรงหน้านี้นั้นมันราวกับได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับความทรงจำของเธอไปแล้ว

รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม แววตากระหายเงินทอง หรือแม้แต่คำพูดที่พ่นออกมาจากปาก ก็ล้วนแล้วเหมือนกับคนกลุ่มนั้นไม่มีผิด

คุณปู่ล่ะ? เธอพยายามดิ้นสุดชีวิต และบอกกับตัวเองว่าอีกไม่นานหลังจากนี้ เฝิงจงเหลียงก็จะพาคนพังประตูเข้ามา จัดการจับตัวคนร้ายพวกนี้ ช่วยเธอออกไปจากกรงขังนี่แล้ว

เธอรออยู่นาน และนานพอที่จะทำให้ขาทั้งสองข้างของเธอเริ่มหมดแรงและชาไปหมด แต่กลับยังคงไม่ได้ยินเสียงของเฝิงจงเหลียงที่ตะโกนเรียกเธอเลย

ในการถ่ายทำฉากนี้ ทุกๆ วินาทีมันเหมือนกับเป็นฝันร้ายที่ยากจะหลีกหนี

ตอนที่เผยอี้เข้ามาได้ แวบเดียวเขาก็เห็นเจียงเซ่อที่กำลังอยู่ในสภาพจนตรอกอยู่ในมุมหนึ่ง ตอนนี้ทุกคนในห้องล้วนแล้วอยู่ในอารมณ์ที่ถูกเธอชักนำไปกันหมด และคิดว่าเธอนั้น ‘แสดง’ ได้อย่างสมจริงสมจัง

แต่ทว่าเมื่อเผยอี้ได้เห็นแววตาของเจียงเซ่อที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวนั่นแล้ว แววตาของเธอมันเหมือนกับว่าหลุดโฟกัสจากสิ่งรอบๆ ไปนานแล้ว มันทำให้เขาสามารถรู้สึกได้ ว่าในตอนนั้นเธอคงหวาดกลัวยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก

จางจิ้งอานยกสัญญาณมือสั่งหยุด เพิ่งจะตะโกนคำว่า ‘OK’ ออกไป เผยอี้ก็พุ่งตัวไปถึงจุดที่เจียงเซ่ออยู่แล้ว

เธอเริ่มไม่โอเคแล้ว การที่ได้เห็นคนหลายๆ คนเดินไปเดินมาเริ่มจะทำให้เธอตกใจจนแทบจะเป็นโรคประสาท แต่ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่จะเปล่งเสียงพูดออกมาเธอก็ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ ได้แต่เก็บและอดทนเอาไว้ ปลายจมูกพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่เป็นจังหวะและขยับไปมา มือทั้งสองข้างถูกมัดเอาไว้ด้านหลัง และเหมือนว่ามันจะไม่รู้สึกอะไรแล้วด้วย

เผยอี้ที่ได้เห็นเธออยู่ในสภาพแบบนั้น ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจไปหมด เขาคุกเข่าลงแล้วคว้าเธอเข้ามากอดเอาไว้ “เซ่อเซ่อ”

ในที่อยู่ในกองถ่ายต่างก็พากันมองภาพนั้นอย่างประหลาดใจ จางจิ้งอานขมวดคิ้ว และสงสัยไม่น้อยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาในกองถ่ายแบบนี้

“คุณเผย…” พอเหล่าทีมงานที่จมอยู่ในบรรยากาศที่แสนกดดันของกองถ่ายก่อนหน้านี้เริ่มได้สติกลับมา โม่อานฉีที่เห็นว่าเผยอี้มาถึงที่นี่ ก็เผลอเรียกออกมาอย่างตกใจ

แต่เผยอี้ก็ไม่ได้สนใจกับสายตาของคนรอบๆ ข้างเลยสักนิด เพราะเจียงเซ่อที่อยู้ในอ้อมกอดเขากำลังสั่น เขากอดเธอให้แน่นขึ้นด้วยความสงสาร

“เซ่อเซ่อ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่แล้ว”

เขาปลอบโยนเสียงเบา และกอดเจียงเซ่อเอาไว้แน่นๆ เนื้อตัวเธอมันเย็นไปหมด เพราะอยู่ใกล้เธอขนาดนี้ ทำให้เผยอี้สามารถได้ยินเสียหัวใจและเสียงสูบฉีดเลือดในร่างกายของเธอได้อย่างชัดเจน

มือข้างหนึ่งอ้อมไปด้านหลังของเธอ และแกะเชือกที่มัดเธอเอาไว้ออกทันที แต่สติของเธอก็ยังไม่กลับมา

หลิวเย่ แดเนียลและนักแสดงคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างก็มองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง มองดูเผยอี้ที่แกะเชือกที่มัดมือเจียงเซ่อออก แถมยังเรียกชื่อของเธอไปเรื่อยๆ แบบนั้น อีกครั้งและอีกครั้งราวกับไม่กล้าหยุดเรียก

เขาเสียใจ เขาคิดว่าตัวเองน่าจะมาให้ถึงเร็วกว่านี้ เขาไม่น่าไปมัวเสียเวลาเจรจาไร้สาระกับคนพวกนั้นเลย ความจริงแล้วเธอไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอดีตที่ผ่านมาเลยสักนิด

ตรงนี้ไม่มีใครที่สนิทกับเธอและคอยอยู่ข้างๆ เธอเลยสักคน เธอจะต้องหวาดกลัวมากแน่ๆ

แต่ไหนแต่ไรมา เธอก็มักจะอ่อนโยนและนิ่งเงียบเสมอ ในใจเอาแต่คิดว่าตัวเองโตกว่าเขา แถมยังโดนพวกญาติผู้ใหญ่สอนให้รู้จักเก็บอารมณ์และอยู่ในมารยาทที่ดีเชื่อฟังมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริงที่นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้แล้ว เธอเองก็ยังเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งที่หวาดกลัวเป็น

“ไม่ต้องกลัวแล้วนะเซ่อเซ่อ” เขาปลอบประโลมและจูบลงบนหน้าผากของเธอ ไม่มีรังเกียจผงฝุ่นแป้งที่แต่งเติมให้เธอดูย่ำแย่เลยสักนิดเดียว เขาโอบล้อมเจียงเซ่อเอาไว้ด้วยเสียงเพื่อที่จะเรียกสติของเจียงเซ่อกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง ใบหน้าของเธอฝังลงกับอกของเขา แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาก็ยังไม่กล้า ถึงแม้ว่าจะปลดเชือกออกไปแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกว่ายังถูกมัดเอาไว้เหมือนเดิม และนั่นก็สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนแล้วว่าในใจของเธอนั้น ยังคงถูกพันธนาการเอาไว้เหมือนเดิม

“อาอี้…” เธอลองร้องเรียกขึ้นมา เผยอี้เองก็พยักหน้าให้เธอ และลงสัมผัสอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม

“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมอยู่นี่แล้ว”

ร่างกายของเขานั้นสูงใหญ่ไม่แพ้นักแสดงแดเนียลที่แสดงเป็นโทมัสเลยสักนิดเดียว เรียกได้ว่าสูสีกันเลยด้วยซ้ำ และมันก็สามารถมำให้เจียงเซ่อรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกมีกำลังใจขึ้นได้ไม่น้อย

นี่คือคนที่เคยตามหลังเธอต้อยๆ คนที่เดินจับมือเธอ เด็กผู้ชายที่เคยมีรูปร่างเล็กกว่าเธอมาก แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นคนที่สามารถปกป้องเธอได้เพียงแค่เธออยู่ในอ้อมกอดของเขาไปแล้ว เขาได้ดึงเงามืดแห่งความหวาดกลัวที่อยู่ในตัวเธอออกไปแล้ว

วินาทีที่เธอเห็นหน้าเผยอี้ เธอก็อยากจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะฝังหน้าลงกับอกเขาเหมือนเดิม และทำแค่สะอึกสะอื้นเบาๆ เท่านั้น

ในฉากๆ นี้ทีมงานคงแค่คิดว่าเจียงเซ่อสามารถแสดงได้อย่างสมจริงสมจังและอินกับบทเท่านั้น คงไม่มีใครคิดหรอกว่าเธอจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน

ซีนที่ถูกลักพาตัวมานั้นมันราบรื่นกว่าที่จางจิ้งอานคาดคิดเอาไว้มาก ซีนต่อไปที่จะถ่ายคือตอนที่กลุ่มคนร้ายลักพาตัวเจรจาพูดคุยกัน เจียงเซ่อจึงได้พักก่อน

เธอยังไม่ได้อาบน้ำล้างตัวและลบเครื่องสำอางเลยด้วยซ้ำ เพราะเดี๋ยวเธอจะต้องมีถ่ายฉากที่โดน ‘เฆี่ยนตี’ อีกฉาก จางจิ้งอานจึงขอให้เธออยู่ในสภาพแบบนั้นไปก่อน