webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

424

บทที่ 424 เกลี้ยกล่อม

ขณะที่เจียงจื้อหยวนก้มตัวลง โจวฮุ่ยที่มองตามสายตาของเขาก็เห็นกระเป๋าเป้ใบเล็กๆ ที่เขาวางอยู่แถวๆ เท้า เป้ใบนั้นดูเก่าหมดสภาพ มีสีเขียวแก่ บางจุดผ่านการซักเสียจนซีดขาว

   เขาใช้มือเดียวรูดเปิดซิปของเป้ออก ในนั้นบรรจุเหล็กปลายแหลมเอาไว้

โจวฮุ่ยเมื่อเห็นฉากนี้เข้า ก็ตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงร้องอีก หล่อนส่ายหน้าสุดชีวิต แต่น้ำตากลับใช้ไม่ได้ผลกับผู้ชายตรงหน้านี้เลยสักนิด

หล่อนมีลูกสาวกับเจียงจื้อหยวนหนึ่งคน นิสัยของเขาที่ผ่านมาหล่อนเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

   เขามีชาติกำเนิดที่ไม่ดี ก็อย่างที่เขาพูด เขาก็เป็นคนเลวคนหนึ่ง พ่อของเขาเป็นนักเลงคนหนึ่งในโลกมืด ส่วนแม่ของเขาเกิดในสถานบันเทิง สุดท้ายคนทั้งคู่ต่างก็ต้องตายอย่างน่าอนาถ

สมัยหนุ่มเขามีคดีมากที่สุดคือทำงานผิดศีลธรรมและผิดกฎหมาย เขาไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีทะเบียนบ้าน ไม่มีวุฒิการศึกษา ทำให้หลังจากบรรลุนิติภาวะก็ยากที่จะหางานทำ อย่างเดียวที่มีก็คือเกิดมามีใบหน้าหล่อเหลาเท่านั้น

ก่อนที่ยังไม่มีเจียงเซ่อ เขาก็เป็นแค่อันธพาลคนหนึ่ง ไม่มีภาระพันธะผูกพันใดๆ สักวันอาจจะเดินบนทางสายเก่าของพ่อแม่ตนก็เป็นได้ แต่หลังจากมีเจียงเซ่อแล้ว เขาก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เขาเริ่มมองหางานทำอย่างกระตือรือร้น แต่ก็ต้องพบกับอุปสรรค เนื่องจากทุกๆ ที่ ต้องใช้บัตรประชาชนและวุฒิการศึกษา

ในตอนนั้นเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่แล้วก็กลับต้องสิ้นหวัง จนมาวันหนึ่งที่เขาบอกว่าจะไปหาเงินก้อนใหญ่มาก้อนหนึ่ง เพื่อที่ว่าในอนาคตตนจะได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกสาวได้

   จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

“ในตอนนั้นฉันที่มีเจียงเซ่ออยู่ จะไปทำอะไรได้ล่ะ ฉันเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง เพราะฉันท้องก่อนแต่ง พ่อแม่ของฉันเลยไม่ยอมให้ฉันเข้าบ้าน”

   หล่อนในตอนนั้นอายุยังน้อย แถมไม่เคยทำงานทำการมาก่อน นิสัยก็สุดแสนจะอ่อนแอ ในตอนที่หล่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง เจียงจื้อหยวนกลับเอาแต่เล่นกล่องไม่ขีดไฟ แล้วยิ้มเย็นมองหล่อน ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านเพราะคำพูดของหล่อนเลยสักนิด

โจวฮุ่ยเริ่มสิ้นหวัง “ตู้ชางฉวินเป็นคนอารมณ์ร้าย ก็เลยทุบตีเจียงเซ่อ แต่อย่างน้อยเขาก็ให้ข้าวเจียงเซ่อกินประทังชีวิตจนแกอายุสิบเจ็ดสิบแปด แล้วแกล่ะเคยทำอะไรบ้าง?”

เขากำเชือกในมือแน่น ไม่สนใจคำพูดของโจวฮุ่ยสักนิด ดุนกระพุ้งแก้ม ขยิบตาให้โจวฮุ่ยและพูดว่า

“ได้ยินว่าพวกแกจะออกไปเที่ยวต่างประเทศกันเหรอ?”

โทรศัพท์มือถือวางอยู่ที่ฝ่ามือเจียงจื้อหยวน เขาน่าจะเห็นข้อความแจ้งเตือนจากสายการบินโทรศัพท์ในมือมือ

   แววตาแบบนี้ของเขาทำให้โจวฮุ่ยหวาดกลัวเหลือเกิน เมื่ออตนเขายังหนุ่มหล่อนเคยเห็นท่าทางเหี้ยมโหดของเขาตอนที่ทะเลาะวิวาทกับคนอื่น พอทะเลาะกันขึ้นมาก็ราวกับไม่เสียดายชีวิตอย่างไรอย่างนั้น เป็นท่าทางที่อยากจะฆ่าคนอื่นให้ตายไป

ตอนนี้เขาก็เผยท่าทางแบบนี้ออกมาเหมือนกับในตอนนั้นไม่มีผิด ไม่สิ! น่าจะพูดว่าอันตรายกว่าตอนนั้นเสียอีก ในใจเขาเกิดความคิดจะฆ่าคนขึ้นมาแล้ว

“ถ้าพวกแกเกิดตายขึ้นมา พวกแกลองทายสิ ว่านานแค่ไหนถึงจะมีคนมาพบศพของพวกแกกัน”

ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ ก็พูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม กระทั่งตอนที่เขาพูดอยู่ ก็ยังไม่วายล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อมาคาบไว้ที่ปากพลางพูดว่า

“ไปเที่ยวต่างประเทศยี่สิบวัน เวลาในช่วงนี้ เพียงพอให้ฉันค่อยๆ จัดการพวกแกแล้ว”เขากัดฟัน แสยะยิ้มกว้างให้โจวฮุ่ย โจวฮุ่ยสั่นไปทั้งตัว หล่อนมีลางสังหรณ์แต่แรกแล้วว่าสถานการณ์จะแย่ลง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเจียงจื้อหยวนจะเสียสติถึงขั้นจะเอาชีวิตคนในครอบครัวตัวเอง

สมาชิกในบ้านตระกูลตู้มีทั้งหมดห้าคน มีสองคนที่ยังเป็นเด็ก นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วเหรอ?

“อย่าทำอย่างนี้เลยนะ จื้อหยวน อย่าทำเลยนะ...”โจวฮุ่ยขอร้องทั้งน้ำตา พยามยามดิ้นรนสุดกำลัง แต่เจียงจื้อหยวนกลับส่ายหน้าพลางพูดว่า

“ฉันให้เวลาแกสามนาที ให้แกค่อยๆ คิดหาเหตุผลที่จะไม่ให้ฉันทำแบบนี้ บางทีฉันอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ”

คำพูดของเขาไม่มีท่าทีล้อเล่นเลยสักนิด เขามองโจวฮุ่ยที่อ้อนวอนด้วยสายตาเยือกเย็น ไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าน้ำตาของผู้หญิงคนนี้ไม่เคยส่งผ่านไปถึงจิตใจของเขาเลยสักนิด

“ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลยนะ แกอยากได้อะไรก็เอาไปเลย”

“อย่าเสียเวลาเลยน่า”

เจียงจื้อหยวนส่ายหัว ตู้ชางฉวินที่อยู่บนพื้นได้ยินว่าเขาจะฆ่าคน ก็พยามยามดิ้นรนสุดกำลัง เหมือนปลาที่กำลังจะตายก็ไม่ปาน เขารู้สึกสนุกมาก เขาเดินไปดึงเชือกผ้าม่านออกมาพันที่คอของตู้ชางฉวินอย่างไม่รีบร้อน

เขาคิดได้ว่าตนจะใช้เชือกผ้าม่านรัดคอตู้ชางฉวินให้ตายก่อน จากนั้นค่อยเอาไปผูกที่ผ้าม่านใหม่อีกที

เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามา โจวฮุ่ยร้องไห้พลางอ้อนวอนสุดชีวิต “อย่าฆ่าพวกเราเลย แกจะต้องติดคุกนะ......”

ได้ยินคำพูดนี้แล้ว เจียงจื้อหยวนก็ล้วงไม้ขีดไฟขึ้นมาจุดบุหรี่ที่ปาก การกระทำของเขาเป็นไปอย่างเนิบช้า “ ติดคุกเหรอ?สำหรับคนอย่างฉัน ติดคุกที่ไหนก็ไม่ต่างกันหรอก”

เขาไม่สนว่าชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร ไม่สนว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร แม้กระทั่งตัวเองก็ไม่สนใจ คำพูดไร้สาระเหล่านี้ของโจวฮุ่ยทำให้เขาเริ่มรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว

“ฉันมีเบอร์ของเจียงเซ่อนะ ถ้าแกมาตามหาเธอ แกก็ไปหาเธอสิ อย่าทำกับพวกเราแบบนี้เลยนะ ไม่ใช่ว่าแกต้องการลูกหรอกเหรอ”

เจียงจื้อหยวนส่ายหัวอีกครั้ง หากเขาอยากไปหาลูกสาว เขาคงไปตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอมาจนถึงป่านนี้หรอก

เขาพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างสบายใจ พลางเตือนโจวฮุ่ยว่า “หนึ่งนาทีครึ่งแล้ว”

โจวฮุ่ยพูดด้วยความสิ้นหวังว่า “ถ้าแกฆ่าพวกเรา ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ แกอาจจะไม่กลัว แต่แกเคยคิดถึงเจียงเซ่อบ้างหรือเปล่า?”

ประโยคนี้ของหล่อนได้ผลเกินความคาดหมาย

เจียงจื้อหยวนชะงักการสูบบุหรี่ไปครู่หนึ่ง พลันขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา

ตอนโจวฮุ่ยตะโกนประโยคนี้จบ ก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากสีหน้าของเจียงจื้อหยวน หล่อนใจชื้นขึ้น จากนั้นก็ตะโกนทั้งน้ำตาขึ้นมาอีกครั้งว่า

“เจียงเซ่อตอนนี้น่ะเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งในหัวเซี่ยเลยนะ แกกลับมาครึ่งปีแล้วก็น่าจะรู้นี่นา ”หล่อนพยายามดิ้นไปมาสุดกำลังทั้งๆ ที่ยังถูกมัดเอาไว้อยู่บนโซฟา พยายามออกห่างจากเจียงจื้อหยวนให้ไกลยิ่งกว่าเดิมและพูดว่า

“ครอบครัวของพวกฉันมีกันตั้งหลายคนขนาดนี้ ถ้าตายกันหมดต้องเป็นข่าว และจะต้องส่งผลกระทบกับหน้าที่การงานของเจียงมากแน่ แกคิดถึงเธอบ้างสิ คิดถึงเธอบ้าง”

พลันบังเกิดความเงียบงันอย่างยาวนานขึ้นมาในห้องรับแขก

คู่สามีภรรยาตู้ชางฉวินก็ราวกับเป็นนักโทษที่รอผลการพิจารณาคดี สองสามีภรรยาไม่เคยรู้สึกทนทุกข์ทรมานแบบนี้มาก่อน

ตอนเจียงจื้อหยวนแบกเป้ เดินก้มหน้าออกมาจากบ้านตระกูลตู้นั้น เงาของเขาก็หลบผ่านกล้องวงจรปิดในละแวกนี้ไปราวกับภูตผี

หากจะให้เขาพูด เวลาครึ่งปีที่กลับมาเขาได้สอบถามจากปากเพื่อนบ้านของบ้านตระกูลตู้เมื่อก่อนจนรู้ว่าย้ายมาละแวกนี้ เขาก็สืบหน่วยรักษาความปลอดภัยกับกล้องวงจรปิดมาโดยตลอด เมื่อเวลาเหมาะสมมาถึงและแน่ใจว่าตำแหน่ง บ้านเลขที่ ชั้น ของบ้านตระกูลตู้ชัดเจนแล้วถึงลงมือ

เมื่อเขาออกจากย่านเล็กๆ นี่แล้ว ฟ้ายังไม่สางเลย เขาโยนถุงมือยางชั้นแรกที่สวมอยู่บนมือทิ้งเข้าถังขยะละแวกนั้น แต่ถุงมือด้านในอีกคู่ยังคงสวมไว้

ออกห่างจากละแวกบ้านตระกูลตู้มาไกลเรื่อยๆ เขารีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ในตอนกลางคืนแสงไฟจากข้างทางทำให้เงาของเขาที่ทอดยาวดูสูงใหญ่และเดียวดาย

เขาสูบบุหรี่เพียงลำพัง พลันนึกถึงคำพูดที่โจวฮุ่ยพูดก่อนหน้านี้ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือ เขาที่ตั้งใจจะมาลงมือสังหารแต่ในท้ายที่สุดกลับยั้งมือเอาไว้

ควันบุหรี่สีจางล่องลอยขึ้นสูงภายใต้แสงไฟสลัว เขาหลับตาลงคิดขึ้นได้ว่ายังมีอีกเรื่องที่เขายังทำไม่สำเร็จ

ระหว่างที่กำลังสนใจติดตามข่าวเจียงเซ่อ เขาพบว่ายังมีคนอื่นกำลังตามสืบข้อมูลของเจียงเซ่อเช่นกัน กระทั่งเคย‘จับตาดู’เพื่อนบ้านสมัยก่อน คนที่อยู่เบื้องหลังการสืบข่าวแท้จริงแล้วเป็นใคร และจุดประสงค์แท้จริงคืออะไร เกี่ยวข้องกับตนหรือว่าเกี่ยวข้องกับเจียงเซ่ออย่างไรนั้น เขาจะต้องรู้ให้ได้