บทที่ 421 พบแล้ว
ชั่วพริบตาเดียว เฝิงจงเหลียงก็เหมือนถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจนหมด ลำคอราวเหมือนถูกคนยัดทรายหนึ่งกำเอาไว้ ปากอ้าค้างอยู่กลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกไปได้ ลำคอแห้งผากจนแม้แต่กลืนน้ำลายก็ยังยากลำบากเหลือเกิน
เฝิงจงเหลียงขยี้ตาสักครู่ พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ หน้าจอโน้ตบุ๊คอย่างงกๆ เงิ่นๆ เทียบตัวอักษรของเจียงเซ่อทีละขีดทีละเส้นอย่างจริงจัง กระทั่งกรอวีดีโอกลับครั้งแล้วครั้งเล่า ในสมองยังคงหวนนึกถึงตอนที่เฝิงหนานเขียนชื่อของตนเมื่อสมัยนั้นอยู่อย่างนั้น
เขาโทรศัพท์หาเสี่ยวหลิว ทนรอแม้กระทั่งไฟล์ทบินรอบพรุ่งนี้เช้าไม่ไหว เลยให้เสี่ยวหลิวรีบไปซื้อตั๋วเร่งกลับตี้ตูในคืนนี้เลย เขาอยากเห็นอักษรที่เจียงเซ่อเป็นคนเขียนด้วยตัวเอง เพื่อส่งไปพิสูจน์อักษร
ความจริงคล้ายจะอยู่ใกล้เขามากยิ่งขึ้น เขาทนรอที่จะได้ข้อสรุปไม่ไหวแล้ว
แม้เสี่ยวหลิวจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่เมื่อได้ยินคำสั่งของเฝิงจงเหลียง ก็รีบเปลี่ยนไฟล์ทบินเป็นไฟล์ทที่ใกล้ที่สุดเพื่อกลับมายังตี้ตูก่อนกำหนด
เมื่อเขากลับมาถึงก็ปาเข้าไปตีสามกว่าเข้าไปแล้ว แต่ในห้องหนังสือของเฝิงจงเหลียงกลับยังมีแสงไฟสว่างไสวอยู่ ดวงตาแดงก่ำของชายชราที่อดนอนมาทั้งวันทั้งคืนกำลังรอข่าวของเขาอยู่
โน้ตบุ๊คในห้องหนังสือยังคงเปิดวีดีโอที่เขาส่งมาก่อนหน้านี้ ตอนเขามอบสมุดที่เจียงเซ่อเขียนให้ถึงมือของเฝิงจงเหลียงนั้น มืออันสั่นเทาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงของเฝิงจงเหลียงกลับไม่กล้ายื่นมารับไปทันทีอย่างที่คาดเอาไว้
ในความคิดเฝิงจงเหลียงตอนนี้ รู้สึกว่าสมุดเล่มบางๆ เล่มหนึ่งนี้ คล้ายกับหนักเป็นตันๆ เขาถึงขนาดจิบน้ำชาที่เย็นชืดมานานแล้ว เพื่อปลอบโยนความว้าวุ่นในใจของตนเอง
ตอนเขาเปิดหน้าปกสมุดเล่มนั้นออก และเมื่อตัวอักษรของเจียงเซ่อปรากฏอยู่ต่อหน้าเขานั้น มันช่างชัดเจนเสียยิ่งกว่าดูวีดีโอเสียอีก เขาเห็นมันจะจะด้วยสองตาของเขาเอง
นี่เป็นตัวอักษรของหลานสาวเขา อย่างไม่ต้องสงสัย!
ไม่จำเป็นต้องหาคนมาพิสูจน์แล้ว เพราะเขาจำมันได้แม่น
ตัวอักษรของเธอสวยงามประณีต ขีดสุดท้ายของตัวอักษรชอบตวัดเส้นขึ้นนิดๆ ตอนนั้นเธอโดนเขาตำหนิอยู่หลายครั้ง คิดว่าความเคยชินแบบนี้ของเธอ ใส่ใจแค่ความสวยงามของตัวอักษรเท่านั้น แต่กลับสูญเสียความถูกต้องไป เฝิงหนานที่สอนหลายครั้งก็ไม่เคยแก้ไข ในตอนนี้กลับกลายเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เขาจำหลานสาวของตัวเองได้
เวลานี้ข้อสงสัยทั้งหมดได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง นาทีที่เขาได้รับสมุดบันทึก ชั่วพริบตาที่เห็นตัวอักษรที่เธอเขียน มันก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าหลายวันมานี้ตนเองไม่ได้คิดเหลวไหลไปเอง เฝิงจงเหลียงตื้นตันมากเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว
เขาประคองหนังสือในมือไว้แนบอก เฝิงจงเหลียงน้ำตาไหลพราก
มิน่าล่ะ พอเธอเห็นตน ถึงเรียกว่าคุณปู่
มิน่าล่ะ ตอนที่พบหน้ากันที่บ้านสกุลเผยครั้งแรก เธอถึงได้มีท่าทางตื่นเต้นดีใจ และเป็นคนขอมาประคองตนเอง
มิน่าล่ะ เธอถึงรู้ของที่ตนชอบ และของขวัญที่ส่งมาเป็นตั้งๆ นั้นก็ล้วนถูกใจตนนัก
ทุกเดือนเธอจะเจียดเวลามาอยู่เป็นเพื่อนตน เข้ามาพูดคุยเป็นเพื่อน มาปลูกต้นไม้เป็นเพื่อน เล่นหมากรุกเป็นเพื่อน
เขายังเคยทอดถอนใจ เคยหวังเหลือเกินว่าเธอจะเป็นหลานสาวตน เขารู้สึกว่าเจียงเซ่อเป็นคนที่น่ารักเฉลียวฉลาด เหมือนกับอุปนิสัยเฝิงหนานในอดีตไม่มีผิด ทำไมตนถึงไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อนนะ?
ถึงว่าความรู้สึกลึกซึ้งแบบนั้นที่เผยอี้มีต่อเฝิงหนานเมื่อสมัยก่อนถึงได้เปลี่ยนไป หลังจากนั้นถึงหมางเมินเฝิงหนานนัก นี่ไม่ใช่ข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุดหรอกหรือ?เขาไม่เคยคิดถึงตรงนั้นมาก่อน ไม่แม้แต่จะสงสัยเลยสักนิด
หลานสาวของเขา หลานสาวที่เขาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มาเองกับมือ วันหนึ่งตอนที่เธอมายืนอยู่ต่อหน้าเขา ทำไมเขาถึงไม่รู้จักเธอแล้วนะ?
เฝิงจงเหลียงนึกถึงตอนที่เคยปฏิเสธเจียงเซ่อ มองเธอด้วยสายตาเย็นชาและเหินห่าง คำพูดที่เคยดุว่าเธอ ปฏิเสธเธอด้วยท่าทีที่ห่างเหิน ไม่รู้ว่าในใจเธอจะเสียใจมากสักแค่ไหน!
“นายท่านครับ......”
ใบหน้าเขาซีดเผือดในชั่วพริบตา ใจสั่นระรัวอย่างรุนแรงจนมือเท้าเริ่มสั่นไม่หยุด หยาดน้ำตาไหลรินจากดวงตาไม่หยุด เขาที่เป็นแบบนี้ทำให้เสี่ยงหลิวตกใจไปหมด รีบตะโกนเรียกแม่บ้านหวังเสียงดังจากชั้นล่างให้โทรศัพท์หาหมอจ้าวและให้คนเอายาขึ้นมาให้
ทั้งที่เขากินยาลงไปแล้ว แต่ใจกลับยังไม่หายสั่นเป็นปกติง่ายๆ
อาจเป็นเพราะการตามสืบหลายวันที่ผ่านมานี้ ทำให้ในใจของเขามีความคิดแบบนี้อยู่ตลอดเวลา พอถึงเวลาที่เรื่องราวมากองอยู่ต่อหน้าตน เฝิงจงเหลียงเลยพลันตื่นเต้นขึ้นมา แต่อาการไม่ได้ร้ายแรงอะไรนัก
แต่เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หมอจ้าวเลยให้น้ำเกลือเขา
เขายังคงกอดสมุดที่เสี่ยวหลิวหอบกลับมาให้จากเซี่ยงไฮ้ไว้ที่อก ไม่ว่าหมอจ้าวจะให้เขาปล่อยมือเพื่อเจาะเข็มยังไง เขาก็ไม่ยอมฟังเลย
เสี่ยวหลิวนั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกไม่สบายใจ เฝิงจงเหลียงกำสมุดไว้แน่นมาก คืนนี้เขาค่อนข้างอารมณ์แปรปรวน แม้แต่คำสั่งของหมอจ้าวก็ไม่สนใจ
“นายท่านครับ ผมไม่เข้าใจ” เรื่องที่เกี่ยวกับเจียงเซ่อ ปฏิกิริยาของเฝิงจงเหลียงมักจะเกินความคาดหมายเสมอ
ในใจเสี่ยวหลิวมีคำถามมากมาย แต่เฝิงจงเหลียงกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเขายังไงดี เรื่องแบบนี้แม้ว่าจะเป็นเสี่ยวหลิวที่ใกล้ชิดสนิทสนม เขาก็ไม่สามารถบอกได้
เขาเอื้อมมือไปเปิดๆ ปิดๆ สมุด เขาเคยเห็นมาทุกตัวอักษรในสมุดมาหมดแล้ว แต่ก็ยังอดที่จะดูแล้วดูอีกไม่ได้ วีดีโอเขาก็ดูมาหมดแล้ว แต่เฝิงจงเหลียงก็ยังถามแล้วถามอีกว่า “ตัวอักษรนี้ เจียงเซ่อเป็นคนเขียนงั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ” เสี่ยวหลิวว่าพลางพยักหน้า หัวใจเฝิงจงเหลียงพลันปวดแปลบขึ้นมา เขาเอาสมุดบันทึกทาบลงที่หน้า นิ่งอยู่นานก็พูดไม่ออกสักคำ
เขานึกถึงเรื่องราวช่วงสองปีมานี้ เจียงเซ่อที่อยู่ข้างกายตน ถูกตนปฏิบัติเหมือนเป็นคนนอก อยากจะกลับ‘บ้าน’แต่กลับต้องผ่านความเห็นชอบจากเผยอี้ก่อน ในใจไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรบ้าง
เฝิงจงเหลียงทอดถอนใจ พลิกตัวพลางคิดอย่างถี่ถ้วน อันที่จริงช่วงเวลาที่เจียงเซ่อใกล้ชิดกับตน ก็เผยให้เห็นเงื่อนงำมากมายแล้ว ทว่าเขาก็อายุปูนนี้แล้ว แล้วยังดื้อรั้นถือทิฐิอีก เลยไม่เคยคิดถึงเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้อย่างลึกซึ้งเลย
ตอนที่เธอเรียกตนว่าปู่ แต่กลับถูกตนปฏิบัติเหมือนเป็นคนนอก ไม่รู้ว่าจะเสียใจแค่ไหน
เขานอนไม่หลับ เพราะมีเรื่องเป็นภูเขากองอยู่ในสมองเขา แม้เขาจะรู้สึกเจ็บปวด ทั้งร่างก็เหนื่อยล้าไปหมด แต่กลับไม่ง่วงนอนเลยสักนิด
เขาอยากโทรศัพท์หาเจียงเซ่อ ณ ตอนนั้น แต่กลับรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียเฉยๆ เขาทำหลานสาวตัวเองหาย เธอหาทางกลับบ้านมาจนเจอแล้ว แต่เขากลับจำเธอไม่ได้ กระทั่งก่อนหน้านี้ ที่โมโหใส่‘เธอ’มาโดยตลอด คิดเอาเองว่าเฝิงหนานเปลี่ยนไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาอารมณ์แปรปรวนชั่วขณะ ถึงได้เกรี้ยวกราดใส่เจียงเซ่อ ตอนนี้ไม่รู้ว่าในใจหลานสาวยังโกรธเขาอยู่ไหม
ตี้ตูในตอนนี้ ไม่เพียงแต่เฝิงจงเหลียงเท่านั้นที่นอนไม่หลับ ยังมีภรรยาของตู้ชางฉวินอีกคน
ช่วงนี้ตี้ตูอากาศร้อนมาก ตอนจะนอน คนบ้านตระกูลตู้มักจะเปิดแอร์นอน ทว่าคืนนี้โจวฮุ่ยกลับหลับไม่สนิท ขณะที่นอนหลับเธอมักจะรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัวและปวดเมื่อยตามลำคอ คาดว่าคงจะคอเคล็ด
หล่อนคันคอเลยไอและตื่นขึ้นมา จึงพบว่าแสงไฟตรงหน้ายังสว่างอยู่ แต่หล่อนกลับรู้สึกเวียนหัวตาลายมองเห็นวิวตรงหน้าไม่ค่อยชัดนัก
หล่อนยังคงได้ยินเสียงหายใจของตู้ชางฉวินอยู่ข้างหูอย่างชัดเจนมาแต่ไกล แต่ไม่รู้เพราะอะไร โจวฮุ่ยกลับรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว พยายามขยี้เปลือกตา เพื่อทำให้สมองปลอดโปร่ง
พอขยับตัวถึงรู้ว่าร่างกายของตนไม่ยอมเชื่อฟังเลยสักนิด จำได้ว่าเมื่อคืนเปิดแอร์ก่อนนอนแล้ว แต่ตอนนี้หล่อนกลับรู้สึกว่าตนเหงื่อไหลโซมกาย อาบเสื้อผ้าเปียกจนแนบเนื้อไปหมด และไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก
โจวฮุ่ยกัดฟัน คิดจะเอื้อมมือไปปลุกตู้ชางฉวินให้ตื่นจากการหลับใหล ทว่าแขนกลับไม่ยอมเชื่อฟังหล่อนเลยสักนิดเหมือนกับว่าถูกคนมัดเอาไว้อย่างนั้น
การรับรู้ถึงสิ่งนี้ทำให้หล่อนรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง จึงลืมตาขึ้น แต่พอลืมตาก็เห็นเงาของคนๆ หนึ่งที่นั่งอยู่ตรงหน้าตน เนื่องจากแสงไฟด้านหลังของเขา ทำให้หล่อนที่พึ่งตื่นมองใบหน้าของเขาได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่พอจะแยกผู้ชายคนนี้ออกได้รางๆ
ตู้ชางฉวินยังคงนอนหลับอยู่ข้างกายหล่อน ในบ้านนอกจากตู้โหยวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแล้ว ยังจะมีผู้ชายที่ไหนได้อีก?
เหงื่อเย็นๆ ที่แผ่นหลังของโจวฮุ่ย พริบตาก็พลันไหลจนชุ่มโชกไปหมด