บทที่ 420 หาเธอ
เดิมทีโจวฮุ่ยที่กำลังเก็บสัมภาระอยู่ พอได้ยินตู้ชางฉวินพูดจึงรีบวางมือจากเรื่องที่ทำอยู่ลง แล้วไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล ฮัลโหล”
เธอถามอยู่หลายครั้งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
“ขอสายใครคะ”
แต่ก็ยังไม่มีคนพูด เธอจึงวางสายลงพลางพูดกับตู้ชางฉวินที่มองด้วยสายตาสงสัยว่า
“น่าจะโทรผิดน่ะค่ะ”
ครอบครัวจะไปเที่ยวอยู่แล้ว จึงไม่เก็บเรื่องยิบย่อยแบบนี้มาคิดมาก มีเพียงตู้หงหงที่โพล่งออกมาอย่างฉุนๆ เล็กน้อยว่า
“คนที่โทรมาจะต้องเป็นพวกนั้น พวกที่อยากสัมภาษณ์ข่าวของเจียงเซ่อแน่ๆ”
ตู้หงหงใบหน้าบูดบึ้งลง หล่อนอายุน้อยกว่าเจียงเซ่อแค่สามปี ทั้งสองคนเป็นพี่น้องคนละพ่อกัน แต่ถึงกระนั้นรูปลักษณ์ภายนอกของหล่อนกลับไม่มีเค้าของพี่สาวแท้ๆ เลยสักนิด
ไม่ว่าจะเป็นความสูง รูปร่างหน้าตา หล่อนก็ไม่เหมือนกับเจียงเซ่อเลยแม้แต่นิดเดียว
หล่อนโตมาเหมือนตู้ชางฉวิน หน้าตาธรรมดาๆ หลังจากที่เจียงเซ่อมีชื่อเสียง สิ่งหล่อนเกลียดที่สุดก็คือคนที่ชอบมาถามถึงฐานะของตน และคนที่มองตนด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความเคลือบแคลงสงสัยนั่น
หลายปีมานี้นับตั้งแต่มัธยมจนถึงปีหนึ่ง อาจารย์ในโรงเรียนแสดงออกว่าสงสัยฐานะของหล่อนผู้เป็นน้องสาวของเจียงเซ่อและคิดว่าหล่อนเป็นพวกคุยโตโอ้อวด
พวกเพื่อนบ้านเก่าๆ ที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของหล่อนกับเจียงเซ่อตอนนั้น ก็มักจะชอบเอาหล่อนมาเปรียบเทียบกับเจียงเซ่อ บอกว่าเจียงเซ่อสวยกว่าหล่อน ผลการเรียนดีกว่า ทั้งยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งได้และมีอนาคตที่ดี
ทุกครั้งที่ได้ฟังเรื่องแบบนี้ ในใจตู้หงหงพลันหดหู่ไม่น้อย
โชคดีที่เงินที่เจียงเซ่อให้มีมากพอ เพราะก่อนหน้านี้โจวฮุ่ยได้พูดกับเจียงเซ่อว่าต้องการเงินก้อนหนึ่งไปจ่ายค่าดาวน์บ้าน หลังจากย้ายจากที่เดิม จึงนับได้ว่าหลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้ได้
โจวฮุ่ยปลอบลูกสาวให้ค่อยๆ คลายทุกข์ แม้หล่อนจะมีรูปร่างที่อ้วนท้วนสมบูรณ์อยู่สักหน่อย แต่หน้าตาก็ดูดีกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย และไม่ได้ติดใจเรื่องโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว คิดว่าคงไม่ใช่การกลั่นแกล้งของใครหรอก น่าจะเป็นคนที่โทรผิดเท่านั้น
สายที่โทรหาบ้านตระกูลตู้แต่ไม่ได้พูดนั้น ในขณะเดียวกัน ณ บ้านเช่าสุดซอมซ่อแห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของตี้ตู ปรากฎชายร่างสูงสวมเสื้อกั๊กซึ่งเผยให้เห็นมัดกล้ามกำยำคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงลวดเหล็กที่เต็มไปด้วยกองของใช้จิปาถะที่ดูจะระเกะระกะ หลังจากยืนยันเสียงอีกด้านของคนที่มารับสายได้แล้ว ก็วางสายโทรศัพท์ลง และจดหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรออกก่อนหน้านี้ลงไปในสมุด
นับตั้งแต่เจียงเซ่อมาถึงเซี่ยงไฮ้ เธอก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับร้านอาหารพื้นเมืองเซี่ยงไฮ้เลย จางจิ้งอานจึงจัดคอร์ส ความรู้ด้านอาหารให้เธอ เธอจึงได้จองภัตตาคารที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งไว้เพื่อให้เสี่ยวหลิวมารับประทานอาหารค่ำ
แต่ทว่าตอนที่เสี่ยวหลิวมองเธอ ก็มักจะมองมาด้วยสายตาแปลกๆ
พาให้รู้สึกเหมือนกับมีความระแวดระวังอยู่หลายส่วน และพินิจพิจารณาอยู่เล็กน้อย ราวกับจะคาดคะเนอะไรแบบนั้น ทำให้เจียงเซ่อเกิดความสงสัยขึ้นมา
เดิมทีเธอเดาว่าในเมื่อเฝิงจงเหลียงให้เสี่ยวหลิวมาเอาลายมือของเธอ ก็คงจะเดาเงื่อนงำอะไรบางอย่างออกแล้ว แต่ดูจากอากัปกริยาของเสี่ยวหลิวแล้ว เธอคิดว่าบางทีอาจจะมีเรื่องอื่นที่เสี่ยวหลิวปิดบังตนอยู่ก็ได้?
หรือว่าเรื่องราวจะไม่เหมือนที่ตนจินตนาการไว้ เฝิงจงเหลียงสงสัยก็จริงอยู่ แต่สงสัยไปคนละเรื่อง?
เรื่องราวถาโถมเข้ามาในใจเธอ เสี่ยวหลิวเองก็เหมือนจะใจลอยอย่างเห็นได้ชัด หลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จก็แยกกับเจียงเซ่อ เมื่อกลับโรงแรมแล้ว เขาก็ส่งวีดีโอทั้งหมดที่ถ่ายตอนที่เจียงเซ่อกำลังเขียนอักษรวันนี้ตามคำสั่งของเฝิงจงเหลียงไปให้เฝิงจงเหลียงโดยตรง
เฝิงจงเหลียงรอคอยข่าวของเขาอยู่นานแล้ว หลังจากเสี่ยวหลิวไปเซี่ยงไฮ้ เฝิงจงเหลียงยังคงรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องมาโดยตลอด วันทั้งวันไม่เป็นอันทำอะไร
โน็ตบุ๊คเปิดอยู่และข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจายภายในห้องหนังสือ แต่ในตอนนี้เฝิงจงเหลียงกลับไม่มีอารมณ์ที่จะเรียกคนมาเก็บมัน
เขารื้อสมุดบันทึกที่เฝิงหนานเคยทำ การบ้านที่เคยเขียนในปีนั้นทั้งหมดออกมา แล้วเอามาวางบนโต๊ะกองใหญ่
ตอนที่แม่บ้านหวังมากล่อมเขาให้ทานอาหารค่ำเยอะๆ หน่อย ประจวบเหมาะกับเขาที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนในโน๊ตบุ๊คพอดิบพอดี เฝิงจงเหลียงจึงรีบโบกมือบ่งบอกให้แม่บ้านหวังออกไปก่อน
เสี่ยวหลิวส่งวีดีโอมาในกล่องข้อความหนึ่งคลิป เฝิงจงเหลียงสุดหายใจเข้าลึกๆ เขารอคำตอบนี้นานอยู่หลายวันแล้ว แต่พอเรื่องมาถึง กลับรู้สึกตื่นเต้นจนยากที่จะกดเข้าไปดูวิดีโอได้
พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นเสี่ยวหลิวที่โทรศัพท์มาไกลจากเซี่ยงไฮ้ รายงานผลสถานการณ์ตอนที่ตนพบเจียงเซ่อวันนี้ต่อเฝิงจงเหลียงตั้งแต่ตอนที่เธอมารับตนที่สนามบิน คำพูดที่เคยพูดในบ่ายวันนี้ รวมไปถึงเรื่องสำคัญที่จำได้อย่างละเอียดไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อย
เฝิงจงเหลียงที่ตั้งใจฟังจนจบถึงถามขึ้นว่า
“ไม่ได้เผยพิรุธอะไรออกไปนะ”
เขานึกถึงเสี่ยวหลิวที่คอยระแวดระวังเจียงเซ่อแล้ว เลยกลัวว่าตอนที่เสี่ยวหลิวเห็นเจียงเซ่อ จะเผยเจตนาออกไปโดยไม่รู้ตัว
เสี่ยวหลิวตอบไปตามตรง
“ไม่มีนะครับ ผมก็ทำอย่างที่นายท่านเคยกำชับไว้ ผมจะไปพูดอะไรอีกทำไมกันล่ะครับ คุณหนูเจียงถามไถ่สุขภาพของท่าน และกังวลที่นายท่านไม่อนุญาตให้เธอรับงานถ่ายหนังของจางจิ้งอานครับ”
เฝิงจงเหลียงที่ได้ยินแบบนี้ ในใจก็สั่นสะท้านเบาๆ แต่กลับถอนหายใจพลางพูดว่า
“เด็กโง่คนนี้นี่”
ก็ถูกอย่างที่เสี่ยวหลิวว่า เขาโกรธเจียงเซ่อมาก แต่จะโกรธได้อีกนานแค่ไหนกัน?ขนาดตอนที่สืบจนรู้ว่าเจียงจื้อหยวนเป็นพ่อของเธอ ก็ยากที่จะระบายอารมณ์โกรธใส่เด็กคนนี้ได้เลย แล้วเรื่องที่รับงานถ่ายหนังของจางจิ้งอาน เขาจะโกรธไปได้อีกนานแค่ไหนกัน?
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เฝิงจงเหลียงรู้จักนิสัยของเจียงเซ่อดี นิสัยของเธอไม่เหมือนกับเฝิงหนานในตอนนี้เลย จะทำอะไรก็ต้องรู้จักแยะแยะ ในเมื่อเธอบอกว่ามีเหตุผลที่รับงานถ่ายหนังของจางจิ้งอาน เธอก็ต้องมีเหตุผลของเธอแน่
เมื่อวางสายแล้ว เขาจึงกดเปิดวีดีโอที่เสี่ยวหลิวส่งมา พลันก็เห็นเจียงเซ่อกำลังก้มหน้าเขียนตัวอักษรอยู่ในกล้อง
เมื่อกล้องจับภาพจากตัวของเธอจนมาถึงกระดาษ เธอจึงเริ่มเขียนตัวอักษรอย่างขะมักเขม้น โดยเธอจับปากกาตั้งตรง เอวและหลังเหยียดตรง
ตอนที่คำว่าเจียงคำแรกถูกเขียนลงบนกระดาษ เฝิงจงเหลียงก็ฉายกลับไปดูซ้ำหลายครั้ง จนถึงตอนที่เธอเขียนชื่อของตน
ตอนที่เฝิงหนานเรียนเขียนตัวอักษร เป็นเฝิงจงเหลียงที่จับมือสอนเธอเขียนทีละขีดทีละเส้นด้วยตัวเอง คำที่สอนให้เธอเขียนเป็นอันดับแรกก็คือชื่อของเธอกับชื่อของตนเอง
แม้จะไม่ต้องดูอักษรที่เธอเคยคัดมาในอดีต เฝิงจงเหลียงก็จำลายมือของเธอได้ขึ้นใจมาตั้งนานแล้ว
แต่พริบตาเดียวที่เห็นเจียงเซ่อเขียนชื่อตนออกมานั้น เฝิงจงเหลียงก็ยังอดที่จะหยิบตัวอักษรที่เฝิงหนานเขียนในตอนแรกขึ้นมาเปรียบเทียบไม่ได้
ภายในกล้อง เธอได้เขียนตัวอักษรสามตัวว่า ‘เฝิงจงเหลียง’ ตอนที่เขียนมาถึงตัว ‘จง’ ลำดับขีดของตัว‘โข่ว’ นั้นไม่ใช่เขาที่ดื่มจนเมา จนสายตาพร่ามัวไปเองจริงๆ ด้วย
ความเคยชินของเธอ จะเป็นการเขียนแนวตั้งวนไปด้านบนจนกลายเป็นคำว่า ‘โข่ว’ และตอนที่เธอเขียนอักษรก็จะมีความเคยชินเล็กๆ คือเวลาจบอักษร จะชอบตวัดท้ายอักษรเบาๆ
การคาดเดาที่มีมานาน ในนาทีนี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว ตอนนี้เฝิงจงเหลียงรู้สึกเพียงว่าไอร้อนนั้นคลอหน่วยอยู่ที่ดวงตาของตน มือเขาสั่นไม่หยุด จนเขาเกือบจะบีบสมุดคัดลายมือของเฝิงหนานในอดีตที่ตนถืออยู่จนเสียรูปร่างไปหมด
ภาพตอนที่เจียงเซ่อเขียนชื่อของเขาในวีดีโอกับตัวอักษรของเฝิงหนานที่เขียนก่อนหน้านี้เหมือนกันมากจนไม่สามารถหาแบบนี้ได้อีก
จะเป็นไปได้ยังไง?คนสองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด แต่นิสัยกลับคล้ายกัน ความเคยชินเหมือนกัน แม้แต่ลายมือก็ยังเหมือนกันอย่างกับแกะด้วย?