บทที่ 418 หนึ่งฉบับ
เจียงจื้อหยวนตอนนี้ เทียบกันแล้ว น่ากลัวกว่าแต่ก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
เดิมทีเขาเป็นคนมืดมนและเก็บตัว แต่หลังจากที่เคยพลาดท่าให้กับบ้านนตระกูลเฝิงในปีนั้น ก็ยิ่งระวังตัวมากขึ้น
เนื่องจากคนๆ นี้เป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต หลังจากเข้าคุกเขาเลยได้รับ‘การเอาใจใส่’ จากตระกูลเฝิงเป็นพิเศษระหว่างที่อยู่ในคุกที่ฮ่องกง
มีหลายคนที่เข้าร่วมขบวนการลักพาตัวเฝิงหนานกับเขา มีคนไม่มากก็น้อยที่โดนซ้อมจนทนไม่ไหว ยังไม่ทันออกจากคุกก็พิการกันหมดเสียแล้ว
คนๆ นี้ก็ไม่ต่างกัน ตอนแรกเขาโดนซ้อม แต่เขาเลือกที่จะไม่ขี้ขลาดตาขาวอีกต่อไป แต่อดทนเพื่อรอคอยโอกาสแทน เขาฝึกชกมวยในคุก ยิ่งต่อสู้ยิ่งอาจหาญ กระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบจะต่อยคนที่มาท้าทายตนเองตายเลยด้วยซ้ำ เลยทำให้ผู้คุมเรือนจำคอยสอดส่องเขามากขึ้น และสั่งขังเดี่ยว
แม้ว่าหลังจากนั้นเจียงจื้อหยวนจะไม่ได้ก่อเรื่องในคุกอีก แต่ก็ไม่ได้ขี้ขลาดด้วยเช่นกัน นักโทษส่วนใหญ่ไม่กล้าหาเรื่องเขา คนด้านมืดเองก็ชื่นชอบในความโหดเหี้ยมป่าเถื่อนของเขาด้วยเช่นกัน เคยคิดจะชวนเขาไปเป็นพวก แต่ไม่ว่าจะพูดดีก็แล้วใช้กำลังก็แล้ว เขาก็ไม่ยอมโอนอ่อนเลย
หากใช้กำลัง เขาจะโหดเหี้ยมกว่าคนอื่น ราวกับไม่เห็นค่าของชีวิต หากพูดดี ๆ เขาก็ไม่สนใจเลยสักนิด
มนุษย์ที่อันตรายแบบนี้ หากย้อนกลับมาตี้ตูอีกครั้ง บ้านตระกูลเฝิงจะได้รับความเสียหายขนาดไหน เสี่ยวหลิวเดาไม่ออกเลย
เป็นเพราะเฝิงหนานเจียงจื้อหยวนถึงติดคุกในปีนั้น หากเขากลับมาตี้ตู ก็พูดยากว่าจะไม่ออกตามหาเฝิงหนานอีกครั้ง เพราะเขาคงเคียดแค้นที่โดนจับเข้าคุกในตอนนั้น
เสี่ยวหลิวอยากจะเตือนเฝิงจงเหลียง ทว่าเพียงแค่เอ่ยถึงชื่อของเฝิงหนานเมื่อครู่นี้ กลับถูกเฝิงจงเหลียงขัดด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวเสียก่อน
ณ เวลานี้เขาไม่อยากฟังเสี่ยวหลิวเอ่ยถึงคนที่ชื่อเฝิงหนานคนนี้อีก สาเหตุที่ความสัมพันธ์สองปู่หลานที่แสนห่างเหินล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ ก็คงเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยที่อยู่ในใจของเขานั่นแหละ
เฝิงจงเหลียงเบิกตาโพลง สังเกตไปที่รูปเจียงจื้อหยวนที่ตนถืออยู่อย่างละเอียด พลันก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างปิดไม่มิดที่มุมปาก
เฝิงจงเหลียงเข้าใจความกังวลในใจของเสี่ยวหลิวดี แต่เขากลับมองข้ามมันไป ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเตือนเสี่ยวหลิวว่าอย่าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้
หากสิ่งที่เขาคาดการณ์เป็นเรื่องจริง หากเฝิงหนานในตอนนี้ จริง ากสิ่งที่เขาคาดการณ์เป็นเรื่องจริง หากเฝิงหนานในตอนนี้จริงๆตูๆ แล้วไม่ใช่หลานสาวของเขา แต่เป็นอีกคน ถ้าอย่างนั้นเฝิงหนานในตอนนี้น่าจะไม่ใช่‘เธอ’ที่เคยโดนลักพาตัวไปตอนเด็ก ๆ
หากเจียงจื้อหยวนไม่ตามมา‘แก้แค้น’เฝิงหนานก็ช่างเถอะ แต่ถ้าเขาปรากฏตัวต่อหน้าเฝิงหนานจริง เขาคงจะต้องใช้เรื่องนี้ลองหยั่งเชิงดูว่าการคาดการณ์เรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อเหล่านี้ของเขาเป็นความจริงหรือเปล่า
เพียงแต่เขาไม่สะดวกที่จะเอ่ยคำพูดเหล่านี้กับเสี่ยวหลิวเท่านั้นเอง
พอคิดถึงตรงนี้ พลันเฝิงจงเหลียงก็เก็บรูปที่ถืออยูในมือเข้าซองเอกสาร แล้วยกมือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก อีกข้างวางพาดบนพนักโซฟาพลางขยับปลายนิ้วเบา ๆ เพื่อสื่อให้เสี่ยวหลิวเก็บรวบรวมของพวกนี้
ยามเขาปิดตาลง ก็ไม่สามารถซ่อนสีหน้าซีดเผือดเอาไว้ได้
เนื่องจากหลายวันมานี้เกิดความสงสัยในใจ ทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอด เพียงแต่ตลอดมาเขาประคับประคองจิตใจให้เข้มแข็ง วันนี้ก็มาอารมณ์เสียอีก หลังจากที่อารมณ์เย็นลงก็มักจะรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงขึ้นมา
“ตรวจสอบข้อมูลของคุณเหนูจียงเซ่อมาหมดแล้วครับ แล้วหนังของจางจิ้งอานที่นายท่านกำชับก่อนหน้านี้ ยังต้องการตรวจสอบอยู่อีกไหมครับ”
เสี่ยวหลิวสังเกตท่าทางแบบนี้ของเขา แล้วถามขึ้นอีกประโยค
ก่อนหน้านี้นอกจากเฝิงจงเหลียงจะกำชับให้เขาตรวจสอบข้อมูลของเจียงเซ่อ นายท่านยังกำชับให้เขาไปตรวจสอบแนวภาพยนตร์ของจางจิ้งอานด้วย สุดท้ายเฝิงจงเหลียงก็เลือกที่จะตรวจสอบเพียงข้อมูลของเจียงเซ่อก่อน แต่คิดไม่ถึงว่าจะพัวพันกับความแค้นครั้งเก่าขนาดนี้
“เอาไว้ก่อน”
เฝิงจงเหลียงส่ายหัว ข้อมูลชุดนี้มีจุดน่าสงสัยที่เขายังต้องเทียบเคียง และยังมีเรื่องอีกมากที่รอให้เขาไปพิสูจน์ “เซ่อเซ่อไม่ใช่ว่าเดินทางไปเซี่ยงไฮ้หรอกเหรอ เธอไปที่เซี่ยงไฮ้แทนฉัน แล้วจับตาดูเธออย่างใกล้ชิดและให้เธอคัดตัวอักษรออกมาหลายๆ ตัวหน่อย แล้วค่อยเอามาให้ฉัน ถ้าเธอถามก็บอกไปว่าฉันจะรีบเอาไปแกะสลักตราประทับ ”
พอเขาพูดจบประโยคนี้ ก็รู้สึกว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้กำชับ แต่เขากลับรู้สึกโหวงเหวงอยู่ในใจลึก ๆ ยังอยากจะเอ่ยปากพูดอีก แต่สุดท้ายกลับถอนหายใจพลางพูดขึ้นว่า
“ส่วนเรื่องอื่นๆ เธอปิดปากให้สนิทก็พอแล้ว”
เสี่ยวหลิวรับคำเสร็จสรรพ เฝิงจงเหลียงกำชับเรื่องนี้เสร็จแล้วก็เหมือนกับได้ปล่อยวางเรื่องที่คิดไม่ตกลงแล้ว
หลังจากที่เจียงเซ็นสัญญาแสดงหนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ กับจางจิ้งอานแล้ว ก็เดินทางไปเซียงไฮ้พร้อมกับจางจิ้งอาน
ตามที่สัญญาระบุเอาไว้ว่า ภายในหนึ่งร้อยวันก่อนจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ เธอต้องเรียนคอร์สตามที่จางจิ้งอานกำหนด นอกจากเรื่องมารยาทแล้ว ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติกับประเพณีอีกนิดหน่อย
บทพูดของนักแสดงที่จางจิ้งอานขอร้องเธอนั้นจำเป็นต้องออกเสียงด้วยตัวเอง โชคดีที่เจียงเซ่อมีประสบการณ์ที่โรงละครที่ตี้ตูมาก่อน จึงทำให้ทักษะพื้นฐานการแสดงของเธอไม่เลวเลย และก็สามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกตัวละครได้ดี ขณะที่ท่องบทเธอจะออกเสียงดังถูกต้องชัดเจน
แต่ยิ่งไปกว่านั้น จางจิ้งอานยังคาดหวังว่าตอนเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ เธอจะสามารถใช้น้ำสียงสื่อความรู้สึกไปถึงคนเซี่ยงไฮ้ได้ ดังนั้นภายในเวลาสามเดือนนี้ อย่างน้อยเธอจะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตของคนเซี่ยงไฮ้ให้ได้สักเจ็ดแปดส่วน
ดังนั้นในแต่ละวันเจียงเซ่อจึงยุ่งมาก เพราะว่าตารางเรียนแน่นมาก
บทถังจิ้งในละครที่จางจิ้งอานวางไว้ คือผู้ที่เติบโตในบ้านของบุคคลที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย เป็นคนที่อ่อนแอแต่จริงใจ
แต่ว่าการวางตัวละครลักษณะนี้ ก็ไม่สามารถใช้ประโยคง่าย ๆ สองประโยคมาอธิบายได้ ประกอบกับการที่ต้องเอาจริงเอาจังเสมอจึงทำให้จางจิ้งอานได้รับผลสำเร็จมหาศาลในด้านการทำงานในเวลานี้
นอกจากฐานะของถังจิ้งที่จะมาจากคำพูดที่โจรลักพาตัวพูดในละครแล้ว เขายังอยากให้เจียงเซ่อแสดงความรู้สึกแบบนั้นออกมาด้วย ดังนั้นจางจิ้งอานจัดหาอาจารย์วิชาความรู้ด้านวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาของเซี่ยงไฮ้มาให้เจียงเซ่อโดยเฉพาะ
ทักษะพื้นฐานของเจียงเซ่อไม่ได้แตกต่างไปจากที่จางจิ้งอานจินตนาการไว้ เดิมทีเธอก็เรียนเปียโนและมารยาทต่าง ๆ อยู่บ้าง อีกทั้งยังชำนาญมากเสียด้วยอานินตนาการท่าไหร่นักเซ่อนชา้สึกแบบนั้นออกมา วิชาความรู้งไฮ้
บุคลิกของเธอโดดเด่นสะดุดตา ให้ความรู้สึกสวยสง่าไม่ต่างจากกุลสตรีโดยกำเนิดอย่างนั้น และสิ่งหาได้ยากคือความรู้สึกที่สื่อออกมาของเธอ ไม่ใช่ความงามหรูหราของอัญมณีแบรนด์เนมที่เห็นกันดาษดื่น แต่กลับเหมือนอัญมณีที่ผ่านการเจียระไนมาแล้ว ดูสูงสง่าและลึกล้ำ
นี่เป็นสาเหตุที่จางจิ้งอานตกตะลึงเมื่อเห็นเธอในเรื่อง 'The Occasion of Beiping' เป็นครั้งแรก
ใช้เวลาร่วมครึ่งเดือน เดิมทีน่าจะจบคอร์สเดือนครึ่ง แต่เจียงเซ่อใช่เวลายี่สิบกว่าวันก็เรียนจบแล้ว และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าทึ่งมาก ทั้งยังประหยัดเวลากองถ่ายไปได้มากเลย ทำให้โครงการที่แต่เดิมจางจิ้งอานคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ว่าจะเริ่มถ่ายทำต้นเดือนตุลาคมเป็นอันต้องเลื่อนเข้ามาเล็กน้อย
ต้นเดือนสิงหาคม เจียงเซ่อกำลังเรียนศิลปะหัตกรรมที่สืบทอดกันมาของเซี่ยงไฮ้ ทั้งยังพูดภาษาเซี่ยงไฮ้ได้เหมือนมาก
และตอนนี้เอง ที่เสี่ยวหลิวได้รับฝากคำฝากฝังของเฝิงจงเหลียงไว้แล้วจึงรีบรุดหน้าไปเซียงไฮ้
ก่อนที่เขาจะเดินทางมาถึงเซี่ยงไฮ้ เฝิงจงเหลียงได้ฝากกล่าวทักทายกับเจียงเซ่อล่วงหน้า หมู่นี้เธองานยุ่งกว่าเฝิงจงเหลียงเสียอีก ในระหว่างที่เรียนเธอตั้งอกตั้งใจเรียนตามที่จางจิ้งอานขอร้องเธอไว้ เวลาที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ กำหนดการคือก่อนต้นเดือนกันยายน จึงไม่ง่ายเลยที่เฝิงจงเหลียงจะต่อสายโทรศัพท์หาเจียงเซ่อติด เพื่อบอกถึงเหตุผลที่เสี่ยวหลิวมาเซี่ยงไฮ้ให้เธอได้รู้
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมคุณปู่ถึงรีบร้อนที่จะแกะสลักหินเถียนหวงแบบนี้ ทั้งยังให้ความสำคัญกับความเห็นของเธอแบบนี้อีก แต่เพียงรู้ว่าเสี่ยวหลิวจะมา เจียงเซ่อถึงกับโทรลางานกับจางจิ้งอานครึ่งวันโดยเฉพาะ เพื่อเตรียมตัวต้อนรับการมาของเพื่อนเก่าที่มาจากตี้ตู