บทที่ 417 เงื่อนงำ
แม้เฝิงจงเหลียงยังคงดุด่า แต่น้ำเสียงของเขาก็แผ่วลงเล็กน้อย “ช่วงที่ฉันความดันขึ้นเมื่อสองวันก่อน เธอก็ไม่ถามไถ่อาการฉันเลยนะ”
เขาทำตัวราวกับเป็นคนแก่ที่เง้างอนหลานสาวอยู่อย่างนั้นแหละ ไหนเลยจะมีน้ำเสียงตำหนิอยู่อีก
เสี่ยวหลิวไร้คำพูด ทั้งๆ ที่อ่านข้อมูลพวกนี้มาแล้วแท้ๆ แต่นายท่านก็ยังดึงดันไม่ยอมฟังคำเตือนเลย
“ความดันขึ้นเหรอคะ” เจียงเซ่อได้ฟังอย่างนี้ถึงกับร้อนใจยิ่งกว่าเดิม
“แล้วได้ตามหมอจ้าวมาไหมคะ ทำไมถึงให้คนโทรหาหนูเอาป่านนี้ล่ะค่ะ” ความห่วงใยของเธอทำให้เฝิงจงเหลียงรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันการที่เธอถามไถ่อย่างร้อนใจนั้นก็ค่อยๆ ลบเลือนความโกรธยามที่เขาเห็นชื่อของเจียงจื้อหยวนลงไปทีละน้อย ๆ
“โทรไปจะมีประโยชน์อะไรล่ะ เธอก็ไม่ใช่หมอซะหน่อย มาแล้วจะมีอะไรดีขึ้นมาหรือไงกัน” เขายังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ ”แต่ละคน มีแต่จะทำให้ฉันโมโหตายซะเปล่าๆ”
เขาพูดราวกับเป็นเด็กน้อยที่มักจะตัดพ้อ พลางพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “พอถึงตอนแบ่งทรัพย์สิน ก็คงจะยิ้มร่ากัน”
“คุณปู่คะ” เขาพูดแบบนี้ทำให้เจียงเซ่อถึงกลับขึ้นเสียงพูดว่า
“คุณปู่พูดแบบนี้ หนูจะโกรธแล้วนะ”
ทางด้านเฝิงจงเหลียงกลับได้แต่ยกยิ้มกับความเดือดดาลของเธออยู่เงียบ ๆ
เขามองไปทางเสี่ยวหลิวอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ราวกับจะโอ้อวด เสี่ยวหลิวเห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว แล้วเขาก็กลับไปคุยกับเจียงเซ่อต่อ
“หนูปรารถนาให้คุณปู่อยู่ดีมีสุข หนูจะไปโกรธคุณปู่ลงได้ยังไง แล้วหนูไปอยากได้ทรัพย์สินของคุณปู่เมื่อไหร่กันคะ”
“หากหลังจากนี้คุณปู่พูดแบบนี้อีก หนูจะไม่สนใจคุณคุณปู่แล้วนะคะ”
พลันดวงตาของเฝิงจงเหลียงมีหยดน้ำตาเปล่งประกาย หายากที่เธอจะอารมณ์เสียแบบนี้ แต่เขากลับรู้สึกสบายใจขึ้นมากเลยทีเดียว
การตรวจสอบเอกสารกองโตตรงหน้านี้ เขาจำเป็นต้องให้เจียงเซ่อแสดงออกให้มากยิ่งขึ้น จึงจะสามารถปล่อยวางจิตใจที่ว้าวุ่นนั้นลงได้
เดิมทีเฝิงจงเหลียงอยากให้เจียงเซ่อหาเวลามาหารือเรื่องการแกะสลักหินเถียนหวงเป็นตราประทับที่บ้านตระกูลเฝิง แล้วก็ดูตัวอักษรที่เธอเขียนตามปกติ ว่าตอนนั้นตนดื่มเหล้าจนเมาจึงทำให้ตาลายมองผิดไปเอง หรือว่าจริงๆ แล้วตัวอักษรของเธอจะมีอะไรสำคัญแฝงอยู่กันแน่
ยังมีจุดน่าสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเจียงเซ่อมากมาย เขาจึงต้องหาข้อมูลให้มากกว่าข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้
ที่ไหนได้ เขากลับได้ข่าวว่าเจียงเซ่อออกเดินทางจากตี้ตู มุ่งหน้าไปเซี่ยงไฮ้กับทางกองถ่ายของจางจิ้งอานเมื่อคืนวานแล้ว
“อย่าถ่ายหนังของเขานะ” เฝิงจงเหลียงนึกถึงตอนเฝิงหนานเป็นนักแสดงรับเชิญในละครของจางจิ้งอานในตอนนั้นขึ้นมา พลันเปลวไฟแห่งความโกรธก็ปะทุขึ้นมา
“ละครของเขาไม่ดี”
ตอนที่เฝิงจงเหลียงรู้ข่าวเรื่องเฝิงหนานก็โกรธจนมือไม้สั่นกินข้าวไม่ลงไปหลายวัน แม้แต่จะนอนยังนอนไม่หลับ ด้วยบทบาทที่เฝิงหนานแสดงละครในตอนนั้น เลยทำให้เฝิงจงเหลียงจำได้แม่น เป็นเด็กสาวที่มาจากครอบครัวร่ำรวยอยู่ดี ๆ กลับไปเล่นเป็นเด็กสาวชาวญี่ปุ่นที่ถูกกลุ่มโจรรุมข่มเหงซะได้
“เขาให้เงินเธอเท่าไหร่เดี๋ยวฉันจะให้เพิ่มเอง เรื่องสัญญาเธอไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวฉันจะคุยกับฝั่งเชาฉวินเอง ไม่ต้องไปถ่ายหนังกับเขาหรอก เชื่อฉันได้ไหม?”
ในความทรงจำของเจียงเซ่อ หายากที่เฝิงจงเหลียงจะพูดจาหลอกล่อคนอื่นแบบนี้ เมื่อได้ยินอย่างนี้ก็พลันรู้สึกแสบนิดๆ ที่จมูก
ถ้าเป็นเรื่องอื่น หากเขาพูดแบบนี้เธออาจจะรับปากเขาไปแล้ว เพื่อหลอกให้คนแก่ได้สบายใจ
แต่เรื่องนี้ เจียงเซ่อกลับไม่สามารถรับปากเขาได้
“คุณปู่คะ หนังเรื่องนี้ไม่เหมือนกับหนังเรื่องอื่นนะคะ” เธอพูดอธิบายด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น แต่ก็แฝงไว้ด้วยการหยั่งเชิงอย่างระมัดระวังในน้ำเสียงอยู่หลายส่วน อีกทั้งยังแฝงไปด้วยการรอคอยอย่างมีความหวังโดยที่ไม่รู้ตัว
“คุณปู่เคยดูเนื้อหาหนังเรื่องใหม่ของจางจิ้งอานไหมคะ”
เฝิงจงเหลียงเห็นเธอไม่ยอมฟังคำตน ยังยืนกรานจะแสดงหนังของจางจิ้งอาน จึงทำให้รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
“ฉันไม่ดู! ทำไมเธอถึงไม่เชื่อฟังฉันบ้าง”
เรียนให้จบ แต่งงานเป็นภรรยาของเผยอี้ หากเธอเป็นหลานสาวของตนจริง ๆ ชีวิตแบบนี้เธอก็เคยผ่านมันมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอเชื่อฟังเขามาก แต่ตอนนี้กลับไม่เชื่อฟังแล้วหรือไร
ในสายตาของเฝิงจงเหลียงมองว่าชีวิตแบบนี้คงจะไม่ได้ดีไปได้สักเท่าไหร่หรอก ทำใมเธอยังจะต้องเลือกเส้นทางขรุขระเต็มไปด้วยหลุมบ่อแบบนี้ด้วย
เขานึกถึงเจียงเซ่อที่เหนื่อยหล้าจนร่างกายผ่ายผอม นึกถึงตอนเธอบ่นเรื่องคิวงานแน่นเกินก็ได้แต่ถอนหายใจ พลันเจียงเซ่อจึงพูดขึ้นอย่างมุ่งมั่นว่า
“หากวันหนึ่งคุณปู่ได้ดูหนังใหม่ของจางจิ้งอาน หนูจะบอกคุณปู่เมื่อถึงเวลาเองค่ะ ว่าเพราะอะไรหนูถึงไม่เชื่อฟังที่คุณปู่พูดในครั้งนี้”
เธอพยายามโน้มน้าวเฝิงจงเหลียงทีละนิด ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คุณปู่ถึงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เจียงเซ่อหวังว่าคงมีสักวันที่เฝิงจงเหลียงจะเปลี่ยนทัศนะคติที่มีต่อภาพยนตร์ และยอมหันมาดูรายละเอียดหนังเรื่องใหม่เรื่องนี้ของจางจิ้งอานสักครั้ง บางทีเขาอาจจะเข้าใจอะไรในหลายๆ เรื่องก็ได้
หลังจากวางโทรศัพท์ ในใจของสองคนปู่หลานต่างก็หนักอึ้งไม่ต่างกัน
เจียงเซ่อรู้สึกลำบากใจที่เฝิงจงเหลียงยังคงดื้อรั้นไม่ได้ฟังคำพูดของเธอเลย เสี่ยวหลิวค่อยๆ หยิบเอกสารที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา
ถึงแม้เธอจะไม่เชื่อฟัง แต่ไม่รู้เพราะอะไรในใจเฝิงจงเหลียงกลับเอนเอียงเชื่อเธอเข้าแล้ว อาจจะเป็นเพราะเจียงเซ่อรับโทรศัพท์ก็เป็นไปได้
หลังจากที่คุยกับเจียงเซ่อทางโทรศัพท์แล้ว ทำให้เงามืดที่เกิดขึ้นเพราะคำพูดของเสี่ยวหลิวค่อยๆ จางหายไป
“นังหนูนี่ ไม่เชื่อฟังเอาซะเลย” เขาด่ากลับ แต่การกลับมาดูข้อมูลภูมิหลังของครอบครัวเจียงเซ่อฉบับนี้อีกครั้ง ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกหนักแน่นมากยิ่งขึ้น
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ ถึงพลิกไปดึงรูปของเจียงจื้อหยวนที่อยู่ในกองข้อมูลที่เสี่ยวหลิวถืออยู่ออกมา
ใบหน้านั้นในรูปถ่ายนั่น เขาไม่มีทางลืมได้ชั่วชีวิต
เฝิงจงเหลียงคิดไม่ถึงเลยว่า การที่เขาได้มาเห็นใบหน้าของเจียงจื้อหยวนอีกครั้งจะมีท่าทีสงบเยือกเย็นแบบนี้ เดิมที่เขาคิดว่าหากตนได้เห็นใบหน้านี้อีกครั้งเขาจะปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะถลกหนังเลาะกระดูกมัน
เขานึกถึงเรื่องในตอนนั้น ตอนที่เจอเฝิงหนานและพบว่าเธอใกล้จะสิ้นลมหายใจแล้ว พลันจิตสังหารในใจก็เพิ่มพูนจนหยุดไม่อยู่เสียแล้ว
ตอนนั้นกิจการของตระกูลรุ่งเรืองใหญ่โต แม้จะมีลูกชายมาก แต่หลานสาวกลับมีมากยิ่งกว่า เนื่องจากนิสัยส่วนตัวของเขานั้นเคร่งขรึม หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เฝิงหนานเองก็คงจะเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาหลานสาวมากมายของเขา ไม่ได้รับความสนใจอะไรจากเขาเป็นพิเศษ
บางทีสวรรค์อาจจะรู้สึกว่าชีวิตในบั้นปลายของเขานั้นช่างอ้างว้างเกินไป เลยมอบหลานสาวที่แสนเชื่อฟังมาให้เป็นเพื่อนเขาผ่านพ้นบั้นปลายชีวิต
ในตอนนั้น เฝิงจงเหลียงเข้ากดดันในชั้นศาลด้วยตนเอง เขายังจดจำใบหน้าที่แฝงไปด้วยความทุกข์ แต่สีหน้ากลับปราศจากความเสียใจของเจ้าคนร้ายเจียงจื้อหยวนได้
พลันเฝิงจงเหลียงได้แต่ถอนหายใจ พลางคิดว่านี่คงเป็นกรรมอย่างหนึ่งกระมัง
รายละเอียดของรูปถ่ายที่เขาถืออยู่นั้นคือ เจียงจื้อหยวนสวมกางเกงยีนขาสั้น ท่อนบนสวมเสื้อเชิ้ตตัวกว้าง โดยที่เขากำลังอุ้มทารกที่ห่อผ้าอ้อมอยู่ด้วยท่าทีที่อ่อนโยน พร้อมโจวฮุ่ยในวัยเยาว์ที่ทั้งอ่อนหวานและหัวอ่อนที่กำลังอิงแอบอยู่ข้างกายเขาอยู่
ใบหน้าของเจียงจื้อหยวนเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของการเป็นพ่อคนครั้งแรก รวมทั้งความรู้สึกที่มีต่อหญิงคนรักทั้งหมดได้เขียนอยู่บนใบหน้าและแววตาของเขาแล้ว ช่างแตกต่างกันกับโจรลักพาตัวคนนั้นที่ใจดำอำมหิตราวกับเป็นปีศาจที่เกือบจะฆ่าคนตายที่ในอยู่ศาลตอนนั้นลิบลับ
เสี่ยวหลิวยังคงกังวลกับท่าทีที่กระวนกระวายของเขา เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่เฉยชาของเขาตอนที่เขาเห็นรูปถ่ายของเจียงจื้อหยวน ท่าทีของเขาสงบเยือกเย็นจนเสี่ยวหลิวรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“นี่น่าจะเป็นช่วงที่เจียงเซ่อพึ่งเกิดได้ไม่นานนะครับ”
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ เดิมทีเขาอยากเอ่ยปากบอกกับเฝิงจงเหลียงว่า เจียงจื้อหยวนเป็นหัวหน้าโจรคดีลักพาตัวในตอนนั้น ศาลพิพากษาจำคุกสิบเก้าปี และขณะนี้ได้ออกจากคุกแล้ว
บ้านตระกูลเฝิงควบคุมสถานการณ์เรื่องในตอนนั้นไว้หมดแล้ว เรื่องจึงไม่บานปลายใหญ่โต ยิ่งไปกว่านั้นบ้านตระกูลเฝิงก็นับได้ว่ามีหน้ามีตาในฮ่องกง จึงปิดเรื่องราวและข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูบ้านตระกูลเฝิงลงได้ เขาก็เลยไม่ได้ตอบรับการขอสัมภาษณ์ของนักข่าว เขาไม่ได้ทำไปเพื่อหวังจะสร้างกระแสจนมีชื่อเสียง ตรงกันข้ามกลับทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ เขาจึงแอบกลับไปที่ตี้ตูอย่างเงียบ ๆ เมื่อหลายวันก่อน