บทที่ 416 ความลับ
“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผลมันจะออกมาแบบนี้ หลังจากที่ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ผมก็ได้ไปถามคนเฒ่าคนแก่ที่รู้จักโจวฮุ่ยในตอนนั้นด้วยตัวเอง”
เสี่ยวหลิวที่นั่งยองอยู่ข้างๆ เฝิงจงเหลียง พูดเสียงแผ่วเบาว่า
ตอนคุณหนูเจียงเซ่อเกิดได้ปีกว่า เจียงจื้อหยวนก็บอกว่าจะไป ‘รับจ้างทำงาน’ ทางภาคใต้ หลังจากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย”ตอนนั้นโจวฮุ่ยอายุยังน้อย เธอเป็นลูกสาวคนกลาง แต่กลับเป็นหญิงอาภัพที่ได้แต่รอคอยอย่างสิ้นหวังกับการกลับมาของแฟนหนุ่ม
ตอนนั้นเธอลำบากแสนเข็ญ อาศัยอยู่คนเดียวในซอยตรอกเก่าๆ เพื่อนบ้านข้างเคียงต่างสงสารเธอเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างมีน้ำใจให้เสื้อผ้าเก่าๆ และอาหารแก่เธอ
ผู้คนต่างพากันพูดว่าเธอถูกเจียงจื้อหยวนทอดทิ้ง เพราะเจียงจื้อหยวนไปครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้ส่งข่าวคราวกลับมาอีกเลย
ดูจากอายุโดยรวมของเจียงเซ่อในตอนนี้ เฝิงจงเหลียงก็พอจะเดาออกแล้วล่ะว่า ‘รับจ้างทำงาน’ ที่เจียงจื้อหยวนพูดเอาไว้ คืองานอะไร
ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง เขาเคยพูดว่าจะไปทำงานใหญ่งานหนึ่ง หากทำเสร็จ จะกลับมาแต่งงานกับโจวฮุ่ยอย่างสมเกียรติ และทำให้มีลูกสาวมีอนาคตที่ดี”เป็นเพราะคำพูดอันยิ่งใหญ่มั่นใจของเจียงจื้อหยวนในตอนแรกทำให้หลังจากนั้นที่เขาไม่มีข่าวคราวกลับมาอีก ทุกคนจึงจำได้ค่อนข้างแม่นยำ
คู่สามีภรรยาที่ยังไม่ได้จดทะเบียนกันคู่นี้ รูปลักษณ์ภายนอกช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน ชายหล่อเหลาหญิงงดงาม ว่ากันว่าเจียงจื้อหยวนตอนหนุ่มๆ นั้นหล่อเหลาเอาการ แม้ว่าจะมี ‘ภรรยาและลูกสาว’ แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่วายมีผู้หญิงมากหน้าหลายชายตามองเขาอย่างหยาดเยิ้ม
หลังจากที่เขาทอดทิ้งสองแม่ลูกแล้วหนีไป ก็ยังทำให้ผู้คนมากมายต้องทอดถอนใจอยู่เลยด้วยซ้ำ “นายท่านครับ”
เสี่ยวหลิวร้องเรียกด้วยความกังวล กลัวว่าเฝิงจงเหลียงจะทนรับผลกระทบจากเรื่องนี้ไม่ไหว
เรื่องที่เขาเอ็นดูเจียงเซ่อล้วนอยู่ในสายตาของคนตระกูลเฝิง เสี่ยวหลิวถอนหายใจ เขาทนเห็นทั้งสองคนแยกจากกันไม่ได้เลย หากเป็นไปได้เขาก็ไม่ได้อยากให้ผลออกมาแบบนี้ แต่ข้อมูลก็อยู่ตรงหน้าแล้วในตอนนี้
“เจียงจื้อหยวนบอกว่าจะไป ‘รับจ้างทำงาน’ ทางภาคใต้ น่าจะไปฮ่องกงนะครับ ส่วนงานใหญ่ที่จะทำนั้น......”
“พอแล้ว ” เฝิงจงเหลียงตวาดให้เสี่ยวหลิวหยุดพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เขาอาจจะต้องการลักพาตัวคุณหนูเฝิงหนาน ตอนที่เจียงเซ่อปรากฏตัวเองก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง ทั้งยังอ้างชื่อของนายน้อยเผย เพื่อมาตีสนิทกับนายท่าน......”
เขายังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ พลันเฝิงจงเหลียงก็โมโหขึ้นมาแล้วตบไปที่โซฟา พลางพูดเสียงเข้มว่า
“ฉันบอกว่าให้พอได้แล้วไง”
การที่เสี่ยวหลิวขยับปาก ก็เหมือนกับเป็นการยั่วยุให้เฝิงจงเหลียงโมโหซะอย่างนั้น เขาลุกขึ้นนั่งพลางพูดว่า
“ฉันมันแก่แล้ว แต่ตาของฉันไม่ได้บอดนะ ใจก็ด้วย” เขาแผดเสียงดังต่อว่า
“แต่ละคนไม่เคยทำให้ฉันสบายใจเลยสักคน เซ่อเซ่อเป็นคนยังไง ฉันมองไม่ออกหรือไง ถึงแม้ว่าฉันจะแก่จนเลอะเลือน มองไม่ออก ฉันก็ยอมที่จะถูกคนนอกหลอกเอาเงินเสียยังจะดีกว่าที่จะต้องถูกคนในบ้านไม่เหลียวแล เอาแต่จ้องสมบัติของฉันตาเป็นมัน”
เขาด่าทอจนถึงตรงนี้ เสี่ยวหลิวก็หน้าแดงไปหมด เขาทั้งกลัวนายท่านจะสะเทือนใจขึ้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนความดันขึ้น และคิดไม่ถึงเลยว่านายท่านจะปกป้องเจียงเซ่อแบบนี้
ตามหลักฐานทั้งหมดที่วางอยู่ตรงหน้าและความหมายในคำพูดของเฝิงจงเหลียง ก็พิสูจน์ได้ว่านายท่านคงเทใจไปทางเจียงเซ่อทั้งหมดแล้ว
“หากเธอมีเจตนาล่ะก็ อย่างน้อยที่สุดเธอก็หลอกให้ฉันมีความสุขได้ ลองใช้ความคิดดูสิว่าเฝิงหนานทำอะไรบ้าง หลังจากย้ายออกไปแล้ว แม้แต่จะโทรมาถามไถ่ก็ยังไม่เคยโทรกลับมาเลยสักครั้ง ฉันมีเงิน ฉันไม่กลัวคนหลอกฉันหรอกนะ คนอื่นถ้าอยากจะทำแบบนั้น ก็คงต้องใช้ความสามารถกันหน่อยล่ะ”เขาชี้ไปทางประตู พลางพูดบันดาลโทสะใส่เสี่ยวหลิวว่า
“ไสหัวออกไปซะ”
เขาไม่อยากฟังคำพูดที่ไม่น่าฟังเหล่านี้ของเสี่ยวหลิวในตอนนี้ เขาเข้าใจจุดประสงค์ดี และเขาก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วย
เฝิงจงเหลียงก็เป็นคนคนหนึ่ง ที่แม้ว่านิสัยจะระเอียดรอบคอบ แต่ก็มีอารมณ์อ่อนไหว การที่เขาได้ไปมาหาสู่กับเจียงเซ่อเป็นเวลานานแบบนี้ มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อจริงๆ ว่าเด็กนี้จะมีเจตนาแอบแฝง
เสี่ยวหลิวที่ก้มหัวลง เงยหน้ามองใบหน้าที่แดงจัดของเขา รีบพูดเสียงแผ่วกับเขาแทน
“นายท่านอย่าโมโหนะครับ”
คำพูดนี้ของนายท่าน ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน นี่ก็ยืนยันได้แล้วว่าภายในใจลึกๆ ของนายท่านนั้นอ้างว้างและปรารถนาครอบครัวมากเหลือเกิน
เมื่อเขาตะคอกจบ ก็ก้มหน้าต่ำลง ยามแสงสาดกระทบตัวของเขานั้น กลับมองไม่เห็นความน่าเกรงขามอีกต่อไป เทียบไม่ได้กับผู้สูงวัยร่างผอมที่กุมอำนาจที่แท้จริงของวิสาหกิจจงหนานอยู่ในมืออีก เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มคลี่คลายต่อหน้าของเขา เหลือเพียงรอให้เขาได้ตัดสินใจ
ภายในห้องที่เงียบสงัดจนน่ากลัว เฝิงจงเหลียงกัดฟันแน่น พลางคิดว่า เขาไม่เชื่อหรอกว่าเจียงเซ่อจะมีเจตนาแอบแฝงอยู่จริงๆ
เขาแยกแยะคนออกได้อย่างแม่นยำ เพราะทำกิจการมาถึงตอนนี้ ก็ต้องเคยพบเห็นและรู้จักกับคนหลากหลายประเภทที่ล้วนเสแสร้งเล่นละครกับตน หากเธอแสดงท่าทีออกมาแบบนั้น ก็คงจะสมจริงเกินไปหน่อยแล้ว
เขานึกถึงกองเอกสารกองนั้นที่ตนเองดูก่อนหน้านี้ ทุกอย่างชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเรื่องส่วนตัวเหล่านั้นของเจียงเซ่ออาจจะแปลกพิสดารอยู่บ้าง แต่ก็อาจจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับเฝิงหนานด้วยก็ได้
หากไม่มีเจียงจื้อหยวน บางทีก็อาจจะไม่มีเรื่องเหล่านี้ตามมา
แต่ถ้าสิ่งที่เธอทำเป็นการเสแสร้งแกล้งทำล่ะ เฝิงจงเหลียงจะรู้สึกอย่างไร
คนคนหนึ่งสามารถแสดงละครได้ แต่เขาไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะแสดงละครได้นานแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเธอจะหลอกคนแก่อย่างตนไปทำไมกัน เขาอายุก็ปูนนี้แล้ว นิสัยก็ไม่ค่อยจะดี อารมณ์แปรปวนโมโหเธออยู่บ่อยๆ ทั้งๆ ที่เธอไม่ต้องทนเลยแท้ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นหากเธอเล่นละครจริงๆ เธอน่าจะได้ประโยชน์หากเขาสุขภาพย่ำแย่ แต่ถ้าเรื่องเหล่านี้ถูกเขาเปิดโปงขึ้นมา พอถึงตอนนั้นก็จะไม่เป็นผลดีกับเธอ และเกรงว่าเธอจะถอนตัวออกมาก็ไม่ได้แล้ว
เธอกำลังคบหาอยู่กับเผยอี้ เผยอี้ชื่นชอบเธอเอามาก ๆ ถึงขั้นขอเธอแต่งงาน อีกทั้งตัวเผยอี้ยังมีเป้าหมายที่จะเรียนจบก่อนกำหนด และเข้าร่วมการฝึกทหาร
เฝิงจงเหลียงคิดว่า เจียงเซ่อกำลังจะแต่งเข้าบ้านตระกูลเผยอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมาสนใจสมบัติในมือของตนด้วย
เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดดี แต่เสี่ยวหลิวก็ยังจะพูดต่อว่า
“ก็ผมกลัวนี่ครับ ว่าเธอตั้งใจจำทำให้ท่านโมโห เพื่อแก้แค้นให้เจียงจื้อหยวน......”
“เหอะๆ”เฝิงจงเหลียงหลุดหัวเราะออกมา พลางออกคำสั่งกับเขาโดยตรงว่า
“รีบโทรศัพท์หาเจียงเซ่อด่วนเลย!”
เขาไม่เชื่อคำพูดของเสี่ยวหลิวหรอก ไม่มีทางเชื่อว่าเรื่องที่เด็กคนนี้เป็นห่วงเป็นใยตนจะเพียงเพื่อให้ตนตายใจ
เฝิงจงเหลียงอยากรู้ว่าตอนที่เจียงเซ่อรู้ว่าเขาไม่สบายนั้น จะรู้สึกสะใจหรือเป็นทุกข์มากกว่ากันแน่
พูดไปพูดมาเอาจริง ๆ เขาอยากจะใช้ร่างกายของตัวเองเดิมพันกับเจียงเซ่อดูว่า ที่แท้จริงแล้วเป็น ‘ศัตรู’หรือ ‘ญาติมิตร’
ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยเป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน ทั้งในสมรภูมิรบอันดุเดือดในตอนนั้น หรือตอนที่ห้างค้าปลีกทุกแห่งปิดตัวลงหลังจากนั้น แต่ตอนนี้เขากลับต้องเป็นฝ่ายควบคุมอารมณ์ของตนเองเพื่อรับมือกับเด็กสาวคนหนึ่ง
ตอนนี้พึ่งจะเช้าได้ไม่เท่าไหร่ เสี่ยวหลิวที่กัดฟันกรอดยังคงลังเลอยู่ชั่วครู่ ถึงจะโทรหาเจียงเซ่อตามที่เขาสั่ง
เมื่อก่อนตอนเขาต่อโทรศัพท์ไปหาเจียงเซ่อให้เฝิงจงเหลียงนั้น เขาจะดีใจมาก แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก
ทุกวินาทีที่รอสายโทรศัพท์ให้ต่อติด สำหรับทั้งสองคนแล้วเหมือนเป็นวินาทีที่แสนทรมานอย่างนั้น ขณะที่ฟังเสียงรอสายอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเจียงเซ่อที่อยู่อีกด้านก็รับสายพลางพูดว่า
“คุณปู่?”
เมื่อได้ยินเสียงหวานเล็กๆ ของเธอ เกราะป้องกันนั้นก็พังทลายลงด้วยเสียงเล็กของเธอทันที เฝิงจงเหลียงพลันขอบตาร้อนผ่าว เขานึกถึงคำพูดที่เสี่ยวหลิวพูดก่อนหน้านี้ และเชื่อมั่นว่าเธอไม่มีทางจะทำร้ายตนได้
“เด็กบ้านี่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห “ไปอยู่ที่ไหนมาตั้งหลายวัน ทำไมถึงไม่โทรมาหาฉันเลย ฉันจะเป็นตายร้ายดีเธอก็คงไม่สนใจสินะ”
เขารู้ตัวดีว่าตนเองนั้นไร้เหตุผลแค่ไหน แต่ในตอนนี้เขากลับไม่สามารถควบคุมอารมณ์อันพลุ่งพล่านนั้นได้เลย
เจียงเซ่อจับน้ำเสียงในคำพูดเขาออก เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี พลางถามอย่างร้อนใจว่า
“คุณปู่เป็นอะไรคะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ความดันสูงไหม หรือว่าเจ็บหัวใจ เรียกหมอรึยังคะ กินยาตรงเวลารึเปล่า”
ขณะที่เธอซักถามไม่หยุด เฝิงจงเหลียงที่จับโทรศัพท์ไว้แน่น พลันน้ำตาก็ไหลออกมาจากขอบตาของเขา
เขาฟังน้ำเสียงที่ร้อนรนเจือวิตกกังวลของเจียงเซ่อออกอย่างชัดเจน นั่นจึงทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้เธอเสแสร้งแกล้งทำ แต่ห่วงใยตนจริงๆ การรับรู้เรื่องนี้ทำให้เขาเม้มปากตามสัญชาตญาณ และเผยให้เห็นรอยยิ้มออกมาอย่างโล่งอก เขาพยายามกะพริบตาอยู่พักหนึ่ง พลางพูดว่า
“ตอนนี้ล่ะเพิ่งจะมารู้จักร้อนรน ก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมาล่ะ”