บทที่ 414 ทางตัน
เฝิงจงเหลียงดึงเอกสารปึกใหญ่ออกมาดู เสี่ยวหลิวทำงานได้ละเอียดรอบคอบมาก เพราะแบ่งข้อมูลเป็นหมวดย่อย โดยแบ่งเป็นสภาพแวดล้อมครอบครัวของเจียงเซ่อ การเติบโตที่ผ่านมาและข้อมูลสมาชิกในครอบครัว โดยแต่ละหมวดแบ่งด้วยโพสอิท
ในจำนวนนั้น มีอยู่ชุดหนึ่งที่มีกระดาษสีเหลืองแปะอยู่เป็นข้อมูลพ่อแม่ของเจียงเซ่อ น่าจะเป็นเรื่องที่เสี่ยวหลิวอยากจะพูดกับเฝิงจงเหลียงก่อนหน้านี้
ทว่าเฝิงจงเหลียงดูผ่านตาแล้วก็โยนทิ้งไป แล้วหันกลับมาหยิบเอาสารอีกชุดที่เป็นที่ชีวิตที่ผ่านมาของเจียงเซ่อมาดูแทน
ในตอนนี้ เขาไม่ต้องการให้มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน และก็อยากจะอ่านข้อมูลเหล่านี้คนเดียวตามลำพังให้จบ
เขาสั่งให้เสี่ยวหลิวออกไป มีเพียงถ้วยชากับกาน้ำร้อนวางอยู่บนบนโต๊ะ เฝิงจงเหลียงจึงกางประวัติของเจียงเซ่อต่อหน้าช้าๆ
โรงพยาบาลที่เธอเกิดที่ตี้ตูไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ช่วงที่เธอเกิดแม่ของเธอก็ยังโสดไม่ได้แต่งงาน
ตอนเด็กๆ เธอมีใบหน้าที่โดดเด่นมาก เพื่อนบ้านข้างเคียงต่างพากันชมว่าเธอน่ารักยิ่งกว่าดาราเด็กเสียอีก การชื่นชมในวัยเด็กเหล่านี้ ทำให้เธอตั้งใจแน่วแน่ว่าหลังจากนี้เธอจะต้องเข้าสู่วงการบันเทิง
เด็กคนอื่นเข้าเรียนอนุบาลตอนอายุสามขวบ แต่เธอในวัยเด็กกลับไม่เหมือนกับเด็กทั่วไป เธอเข้าเรียนช้ามาก
ก่อนที่เจียงเซ่อจะอายุได้สองขวบเธอก็ต้องร่อนเร่ตามโจวฮุ่ยไป ผู้หญิงคนหนึ่ง สวยแต่อ่อนแอแถมมีลูกติด คิดอยากจะสร้างครอบครัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ภายใต้สถานการณ์ที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากนั้น ทางเลือกสุดท้ายของโจวฮุ่ยก็คือพาเจียงเซ่อผู้เป็นลูกสาวแต่งเข้าตระกูลของพ่อเลี้ยงอย่างตู้ชางฉวินหลังจากนั้น
ตู้ชางฉวินยอมรับโจวฮุ่ย แต่กลับไม่ยอมรับลูกสาวที่โจวฮุ่ยพามา หลังจากแต่งงานเขามักจะแสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักกับเจียงเซ่อ หลังจากที่เธออายุได้เจ็ดขวบตู้ชางฉวินถึงส่งเสียให้เด็กเข้าโรงเรียน ตามคำขอของกลุ่มกรรมการชุมชน
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมครอบครัวแบบนี้ หล่อหลอมจิตใจที่น้อยเนื้อต่ำใจของเจียงเซ่อให้กลายเป็นคนอวดดีอย่างที่สุด และตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมต้นผลการเรียนของเธอแย่มาก ทำให้เธอต้องเรียนซ้ำชั้น
แต่สิ่งที่ตรงข้ามกับคะแนนของเธอก็คือใบหน้าของเธอที่นับวันยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ เธอพูดคุยกับเพื่อนร่วมห้องอยู่บ่อยครั้ง ไม่ได้คุยเรื่องผลการเรียน ไม่ได้คุยเรื่องการบ้านหรือแบบฝึกหัด แต่เป็นเรื่องดาราในวงการบันเทิงหลายๆ คน และพูดทำนองว่าอยากจะแต่งงานกับคนรวยอยู่บ่อยๆ
ข้อมูลที่เสี่ยวหลิวสืบมาได้ จากการสอบถามเพื่อนร่วมห้อง และเพื่อนบ้านสมัยก่อนหลายๆ คน น่าจะเป็นข้อมูลที่ได้รับการยืนยันชัดเจนแล้ว ชื่อของบุคคลที่เคยพูดถึงล้วนถูกระบุไว้หมดแล้ว พลันเฝิงจงเหลียงคิดถึงใบหน้าที่งดงามเกลี้ยงเกลาของเจียงเซ่อ ยากที่จะมองเธอเป็นคนๆ เดียวกันกับเจียงเซ่อในข้อมูลได้
รูปในข้อมูลเป็นรูปที่เจียงเซ่อโพสต์ท่าในวัยเด็ก เห็นได้ชัดว่าเธอสวมเครื่องประดับถูกๆ และดูเหมือนว่าสิ่งที่ตนคิด จะเริ่มปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว
พอมองท่าทางของเด็กคนนี้ชัดๆ เขากลับนึกถึงท่าทางที่เธอแสดงออกมาที่ดูสุขุมเกินกว่าวัยของเธอ
ขณะเฝิงจงเหลียงยกชาขึ้นจิบ น้ำชาก็เย็นและมีรสฝาดแล้ว เขาจึงยกกาต้มน้ำไฟฟ้ารินน้ำใส่กาน้ำชา และอ่านเอกสารต่อ
เจียงเซ่อเปลี่ยนไปตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตอนนั้นโรงเรียนเกือบจะไล่เธออกแล้ว เพราะผลการเรียนของเธอแย่มาก แต่ไม่ใช่เพราะเธอไม่สนใจด้านการเรียน แต่เป็นเพราะเธอเอาแต่คิดว่าจะร่ำรวยมีเงินมีทองได้อย่างไรต่างหาก
คุณครูในตอนนั้นประเมินเธอว่า เธอเป็นคนที่ไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมี และมักจะต่อต้านกับสิ่งที่เป็นอยู่ หยิ่งยโสและอวดดี เธอคิดว่าตัวเองดูดีมากกว่าใครๆ และไม่มีใครดูดีเหมือนเช่นเธอ ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนเธอก็ไม่ยอมไปทำงานพิเศษที่ได้เงินเดือนเพียงน้อยนิด
เธอใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงใหญ่ แต่งงานกับคนรวย ทั้งๆ ที่เป็นคนที่เติบโตมาโดยไม่ให้เกียรติตัวเอง แต่กลับอยากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนอื่น
เธอไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์กับเพื่อนในชั้นเท่าไหร่นัก เพื่อนคนเดียวที่สนิทกับเธอก็คือเด็กสาวแซ่หู้ที่ชื่นชอบเรื่องในวงการบันเทิงเหมือนกัน
ทั้งสองมักพูดคุยเรื่องข่าวในวงการบันเทิงด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ในข้อมูลของเสี่ยวหลิวก็ยืนยันว่าเป็นหู้เป๋าเป่า เธอเปลี่ยนไปตอนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 6
ณ ตอนนั้น เธอเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ราวกับเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน เธอไม่ได้ตื่นเต้นไปกับการพูดคุยเรื่องดาราอีก และแทนที่ผลการเรียนของเธอจะแย่ลง ผลการเรียนของเธอกลับดีขึ้นผิดหูผิดตา
คนในชั้นเรียนไม่ได้ติดใจเรื่องที่แปลกประหลาดนี้ แต่ตามที่เพื่อนบ้านพูดมา เธอเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ได้ทะเลาะกับน้องๆ ที่เป็นลูกต่างพ่ออีก นั่นกลับทำให้เธอน่าเอ็นดูมากขึ้น ทำให้ตอนนั้นความสัมพันธ์ของเธอกับบ้านตระกูลตู้คลายความตึงเครียดลงได้มาก
เธอน่าจะไม่สนใจเรื่องการเรียนมากนัก ปณิธานเดิมของเจียงเซ่อควรจะเป็นหลังจากจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะรีบเข้าวงการบันเทิง แต่ทว่าหลังจากจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 เธอก็ไม่เคยทำตามแผนเดิมที่วางไว้มาค่อนชีวิต ตรงกันข้ามเธอกลับหันมาตั้งใจเรียนหนังสือ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงเลยก็คือเธอสอบได้ที่หนึ่ง และในปีนั้นเอง เป็นเพราะมีข้อจำกัดเรื่องค่าเล่าเรียน จึงทำให้เธอต้องถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตกับกองถ่ายหนัง
ภาพยนตร์เรื่องปฏิบัติการผู้พิทักษ์ เป็นเรื่องที่เด็กสาวแสนสวยได้รับคำชมเชยและการยอมรับจากจางจิ้งอานเป็นครั้งแรก รวมทั้งรายได้ของภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอก็จดเอาไว้อย่างละเอียด
กว่าจะมาถึงจุดนี้เธอคงลำบากมามาก ถึงแม้เธอจะเป็นคนสวยมาก แต่ด้วยนิสัยเป็นคนเงียบๆ ตอนที่ถ่ายหนัง จะให้เธอตกน้ำ ให้เธอนอนราบกับพื้น เธอไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ พอหมดวันเธอก็ได้ค่าตอบแทนมา 370 หยวน
พอเฝิงจงเหลียงอ่านถึงตรงนี้ ก็รู้สึกว่าผิดปกติ
เฝิงจงเหลียงหยิบรูปถ่ายของเจียงเซ่อที่เสี่ยวหลิวถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาเปรียบเทียบกับรูปหลังจากนั้นของเธอ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะไม่ใช่คนๆ เดียวกันอย่างนั้น
คนหนึ่งปากเก่ง อวดดีแต่พอถึงเหตุการณ์คับขันจริงๆ ก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้า อีกคนเงียบสุขุม ถึงแม้เธอจะมีใบหน้าพิมพ์เดียวกัน แต่บุคลิกกับต่างกันราวฟ้ากับดิน
หลังจากที่เธอกลายมาเป็นสมาชิกกองถ่ายของกู้เจียเอ่อร์ กองถ่ายก็ต้องการแอร์โฮสเตสที่พูดภาษาฝรั่งเศสได้หนึ่งคน เจียงเซ่อในอดีตผลการเรียนแย่มาก แม้แต่ภาษาอังกฤษยังพูดตะกุกตะกักเลย แต่ในข้อมูลกลับบันทึกว่าตอนที่เธอทำการเทสต์หน้ากล้องเธอพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่องแคล่ว ทำให้ผู้กำกับที่คัดเลือกนักแสดงในตอนนั้นมอบบทบาทนี้ให้เธออย่างง่ายดาย และเธอก็แก้ปัญหาค่าเล่าเรียนได้ในที่สุด
หลังจากที่เธอถ่ายภาพยนตร์เรื่องฝันที่เป็นจริงเสร็จ คนในกองก็แนะนำให้เธอไปแคสติ้งภาพยนตร์เรื่อง
‘99 Love Letter’ ของจ้าวร่าง ตอนนั้นดูแค่ภาพด้านหลังของคนเล่นเปียโนตามที่จ้าวร่างตีแคล็ปบอร์ด เขาตกลงให้เธอเล่นบทนี้ทันที
เป็นไปไม่ได้!
เฝิงจงเหลียงในตอนนี้ยากที่จะใจเย็นอยู่ได้ น้ำชาที่อยู่ในแก้วเริ่มจะเย็นชืดแล้ว แต่เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิด เขาดื่มมันแก้วแล้วแก้วเล่า แต่กลับไม่อาจเก็บความสงสัยที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจไว้ได้
เรื่องจริงๆ มันเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนไปได้มากมายขนาดนี้?
จากเด็กผู้หญิงที่ชอบนินทาว่าร้าย กลับกลายเป็นคนที่สุขุมกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาในชีวิต
หลังจากที่เธอหาเงินได้ เธอก็ได้ย้ายออกจากบ้านตระกูลตู้ และเข้าเรียนที่สถานศึกษาที่ดีที่สุดในหัวเซี่ย จนได้รู้จักกับเผยอี้ เมื่อได้เซ็นสัญญากับบริษัทต้นสังกัดซื่อจี้หยินเหอ และได้รับการตามใจและความชื่นชอบจากเซี่ยเชาฉวิน รวมไปถึงแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคนในบ้านตระกูลตู้อย่างใจเย็น
การประเมินของเพื่อนในห้องที่มีต่อเธอส่วนใหญ่ถือว่าดี อาจารย์ในมหาลัยอันดับหนึ่งต่างก็ประทับใจในความขยันหมั่นเพียรของเธอ ตอนอยู่ในวงการบันเทิงเธอต้องลากับทางมหาลัยอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ทำให้ผลการเรียนของเธอก็ตก เธอยังคงรักษาผลคะแนนสอบให้อยู่ในเกณฑ์ดีอยู่เสมอ
คนที่อยู่หอพักในเมื่อก่อนบอกว่าเธอเป็นคนพูดน้อย แต่ขยันใฝ่เรียน หลังจากที่มีชื่อเสียง เธอก็มักจะใช้เวลาว่างอ่านหนังสืออยู่ที่หอพัก
พอดูข้อมูลของเธอแล้ว เฝิงจงเหลียงไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเชื่อมโยงเธอกับเจียงเซ่อในอดีตได้อย่างไร