webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

413

บทที่ 413 ทำลาย

เสี่ยวหลิวมองไปที่เอกสารที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ ด้วยสีหน้าหนักอึ้ง อยากจะพูดแต่ก็พลันเกิดความลังเลขึ้นมา

เอกสารเหล่านี้มีประวัติตั้งแต่เล็กจนโตของเจียงเซ่อ ที่สามารถสืบได้เขาล้วนสืบมาจนหมดแล้ว

ป้าหวังยกกาน้ำชาที่พึ่งชงเสร็จมา ไอร้อนผสมกับกลิ่นหอมของชาที่ลอยออกจากปากกาน้ำชาเหล็กหล่อหมุนเป็นเกลียววนขึ้นไป เฝิงจงเหลียงนั่งลูบซองกระดาษสีน้ำตาลปึกหนาด้วยสีหน้าซับซ้อนอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ได้ขยับไปไหน

“นายท่านครับ......”

เสี่ยวหลิวที่ลังเลกำลังจะเอ่ยปากพูด พลันใบหน้าของเจียงเซ่อก็แวบเข้ามาในหัว เธอเป็นคนที่น่าเริงสดใส อบอุ่น และยังดีต่อเฝิงจงเหลียงอย่างนี้ เขาจึงไม่ใจแข็งพอที่จะเอ่ยถ้อยคำก่อนหน้านี้ เขาเลยรินน้ำชาให้เฝิงจงเหลียงแทน

ชานี้เป็นชาที่เจียงเซ่อนำมาฝาก มีกลิ่นที่หอมโชยมาแตะจมูก ถูกปากของเฝิงจงเหลียงเป็นอย่างมาก เธอนำมาให้หนึ่งกล่อง ตอนนี้เขาก็ดื่มไปเกินครึ่งแล้ว

เสี่ยวหลิวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เรื่องบางเรื่องที่ควรจะพูด ก็ยังต้องพูดอยู่ดี

“ระหว่างที่ตรวจสอบครั้งนี้นั้น พบสองจุดที่น่าสนใจครับ หนึ่งคือแซ่ที่คุณหนูเจียงใช้ตามพ่อแท้ๆ ก็คือแซ่เจียงครับ ”

ตอนที่เขาพูดถึงคนแซ่ ‘เจียง’คนนี้ ก็เงยหน้าขึ้นเพื่อดูปฏิกิริยาของเฝิงจงเหลียง แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับคนแซ่นี้

“โจวฮุ่ยแม่ของเธอยังไม่ได้แต่งงานก็คลอดเธอออกมา คุณหนูเจียงเกิดได้หนึ่งปี โจวฮุ่ยก็เลิกกับแฟนหนุ่มอย่างไม่มีสาเหตุ หลังจากนั้น เธอก็พาคุณหนูเจียงที่ยังเล็กแต่งงานใหม่เข้าบ้านตระกูลตู้”

“ข้อสองคือ นิสัยของเธอเปลี่ยนไปเมื่อราวๆ สี่ปีก่อน”

ตอนที่เสี่ยวหลิวพูดถึง‘เมื่อสี่ปีก่อน’ที่นิสัยของเจียงเซ่อเปลี่ยนไป เฝิงจงเหลียงก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ บ่งบอกว่าให้เขาพูดต่อไป

“สภาพแวดล้อมในครอบครัวของบ้านตระกูลตู้ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ คุณหนูเจียงรู้สึกแย่กับสภาพแวดล้อมในบ้านไม่น้อย หลังจากตรวจสอบในครั้งนี้ ผมให้คนไปสืบข่าวกับเพื่อนบ้านตระกูลตู้เมื่อหลายวันก่อน ทุกคนต่างก็พูดว่า พ่อเลี้ยงของเธอเคยพูดกับคนอื่นว่า มีความคิดอยากให้เธอเข้าไปทำงานที่โรงงาน”

พูดถึงตรงนี้ เสี่ยวหลิวก็ขมวดคิ้วขึ้นพลางเอ่ย

“แต่สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือพ่อแท้ๆ ของเธอ...... ”

ตอนที่ตรวจสอบครั้งนี้นั้น เรื่องพ่อแท้ๆ ของเจียงเซ่อมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องนัก แต่ตอนนี้เฝิงจงเหลียงกลับไม่มีเวลามาสนใจเรื่องมากมายพวกนั้นอีกแล้ว

หลังจากที่เฝิงจงเหลียงได้ยินว่า‘เมื่อสี่ปีก่อน’ที่นิสัยของเจียงเซ่อเปลี่ยนไปมาก ก็เริ่มนั่งไม่ติดที่แล้ว

เขาโบกมือบ่งบอกถึงให้เสี่ยวหลิวพูดต่อ เขาวางถ้วยน้ำชาที่ยังดื่มไม่หมดลงและลุกขึ้นยืนเอามือไพล่หลังเดินวนไปวนมา

ที่เขายังจำเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนได้แม่นยำ ก็เป็นเพราะปีนั้นเกิดเรื่องขึ้นมากมาย

ในปีนั้น เฝิงหนานได้พบกับจ้าวจวินฮั่นของเจียงหัวกรุ๊ป และทำให้เผยอี้เกิดหึงหวงขึ้นมา ทั้งสองคนทะเลาะกันแล้วก็แยกกันไป เผยอี้เองก็เดินทางไปประเทศฝรั่งเศส

วิสาหกิจจงหนานร่วมมือกับเจียงหัวกรุ๊ปในปีนั้นด้วยเช่นกัน แต่กลับเห็นเจียงเซ่อไปไหนมาไหนด้วยกันกับจ้าวจวินฮั่น

และก็ในปีเดียวกัน เฝิงหนานแอบเอาของจำนวนมากไปขายหลับหลังเขาเพื่อให้ได้เข้าวงการบันเทิง จนได้แสดงเป็นสาวชาวญี่ปุ่นในภาพยนตร์เรื่องปฏิบัติการผู้พิทักษ์ของจางจิ้งอาน ซึ่งนั่นเกือบจะทำให้คนตระกูลเฝิงทั้งหมดต้องขายหน้าไม่มีเหลือ!

หลังจากนั้นท่าทีของเผยอี้ที่มีต่อเธอก็เปลี่ยนไปมาก ระหว่างเผยอี้กับเฝิงหนานจึงไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก เขาได้คบกับแฟนสาวอีกคนแทน

เฝิงจงเหลียงรู้สึกอึดอัดอยู่ในอก เขาคิดถึงจางจิ้งอานพลันก็นึกถึงคำพูดที่เจียงเซ่อเคยพูด หนังเรื่องใหม่ของเธอจางจิ้งอานก็เป็นคนถ่ายทำ ยิ่งทำให้เขาโมโหเข้าไปใหญ่

“พ่อแท้ๆ ของเธอแซ่เจียง ตอนตรวจสอบ เนื่องจากความสัมพันธ์ที่เนิ่นนาน......”เสี่ยวหลิวรู้สึกว่าเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดก็ควรพูด แต่ขณะที่กำลังจะพูด ก็หันไปเห็นเฝิงจงเหลียงกำลังกุมหน้าอกอยู่ สีหน้าไม่สู้ดีนัก ยิ่งไม่กล้าเอ่ยปากออกเสียงขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ที่เขาความดันสูง จนเกือบจะเป็นลมล้มพับไป ดีที่หมอจ้าวมาทันเวลา หมอจ้าวเคยเตือนแล้วว่า เขาไม่ควรมีอารมณ์แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ อีก

ตอนนี้จิตใจของเฝิงจงเหลียงสงบลงแล้ว เขามองไปที่เอกสารที่อยู่บนโต๊ะ พลันเขารู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นกล่องแพนโดร่า ที่เมื่อเปิดออก ชีวิตของเขานับตั้งแต่นี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ราวกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน และกลับไปเป็นเหมือนก่อนไม่ได้อีกแล้ว

เปิดหรือไม่เปิดดีล่ะ?

ตอนนี้เขาก็เข้ากันได้ดีกับเจียงเซ่อ ถึงเธอจะไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ของตน แต่เป็นยิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ เสียอีก ตอนที่ไม่ได้ทำงาน เธอมักเจียดเวลามาเยี่ยมเขา อยู่พูดคุย คุยเล่นเป็นเพื่อนเขา ทำสิ่งต่างๆ เป็นเพื่อนเขาทุกเดือน

ตอนที่เขาตัดเล็มดอกไม้ต้นไม้ เธอก็คอยเก็บกวาดอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ ตอนที่เขารดน้ำต้นไม้ เธอก็เตรียมดินสำหรับเพาะปลูก

เธอจัดเตรียมของขวัญที่เขาชอบเพื่อเอาใจเขา ชาที่เขาดื่มล้วนเป็นสิ่งที่เธอจัดเตรียมไว้ทั้งสิ้น

ในของเฝิงจงเหลียง รู้สึกว่าเธอไม่ต่างจากเฝิงหนานเลย ไม่สิ ทำได้ดียิ่งกว่าเฝิงหนานทำมากนัก

เมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวหลิว เฝิงจงเหลียงก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าต้องเป็นเพราะตรวจเจออะไรแน่ๆ เขาถึงได้มีท่าทางลังเลแบบนี้ สิ่งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับตัวเขา และยังเป็นผลเสียต่อเจียงเซ่อด้วย เขาถึงดูอิดออดอย่างนี้

ถ้าเปิดกล่องแล้ว ระหว่างปู่หลานก็คงจะกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว การเปิดโปงสิ่งเหล่านี้น่ะ มันคุ้มค่าแล้วเหรอ?

เฝิงจงเหลียงมีนิสัยที่กล้าหาญเด็ดขาดมาทั้งชีวิต ตอนที่เข้าร่วมสงครามกองทัพปฏิวัติครั้งแรก คอยเอาใจผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าที่ไหนต้องการเขา เขาก็ไม่ลังเลที่จะไปที่นั่นเลยสักนิด

หลังจากได้รับชัยชนะจากการปฏิวัติ เขาก็ตัดสินใจที่จะเกษียณ และพาครอบครัวเดินทางไปฮ่องกงในปีนั้น จนก่อตั้งวิสาหกิจจงหนานขึ้นมาได้ แต่ไหนไรมาเขาไม่เคยต้องพบเจอกับคำว่าลังเลใจคำนี้เลย

แต่ตอนนี้เขากลับไม่กล้าพอที่จะเปิดซองเอกสารนี้ออกมา

“เมื่อคนเราแก่ตัวลง ความกล้าก็ลดลงตามไปด้วย” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พลันมือก็เริ่มสั่น เสี่ยวหลิวมองเห็นสีหน้าที่กระวนกระวายได้อย่างชัดเจน

การทำเป็นไขสือไม่รู้อะไรเลย แล้วทำทุกอย่างให้เป็นเหมือนเดิม เป็นวิธีที่ดีสุดแล้วงั้นเหรอ?

ความสัมพันธ์ปู่หลานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดนั้นช่างเปราะบางจริงๆ เฝิงจงเหลียงไม่กล้าจินตนาการต่อเลยว่าหากเขาพบอะไรบางอย่างในเอกสารขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ได้สุดท้ายจะดำเนินไปจนถึงตรงไหน

เขาหันไปมองที่โต๊ะ พลางคิดที่จะยื่นมือไปหยิบซองเอกสารนั้น ขณะที่กำลังจะยื่นมือออกไปนั้น พลันกลับชักมือกลับมา เป็นอย่างนี้อยู่หลายหน ความคิดในหัวของเขาขัดแย้งกันไม่หยุด

“นายท่าน ไม่ดูเหรอครับ”

เสี่ยวหลิวเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว จึงอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ เฝิงจงเหลียงถอนหายใจยาวพลางพูดขึ้น

“พูดตามตรงเลยนะ” ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวหลิวรับใช้อยู่ข้างกายเขามานานหลายปี และติดตามเขามาตั้งแต่ยังหนุ่ม เฝิงจงเหลียงคงจะไม่ยอมบอกความในใจของตนให้เขาฟังตอนนี้ง่ายๆ เป็นแน่

“ตอนนี้ฉันสับสนมาก ฉันคิดมาดีแล้ว หลายปีมานี้ ที่บ้านเองก็มีก็มีทรัพย์สมบัติสะสมไว้ไม่น้อย หนูเจียงเซ่อคนนี้ฉันชอบมากจริงๆ เธอก็เหมือนกับหลานสาวคนหนึ่งของฉัน ทำให้ชีวิตในบั้นปลายของฉันมีความสุขขึ้นมาก ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคตหลังจากฉันอายุสักร้อยปี ของที่เป็นของฉัน ฉันก็เตรียมจะมอบมันให้กับเธอนั่นล่ะ”

เขามีทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่ เสี่ยวหลิวล้วนรู้ดี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเขาพูดความในใจ เขาพลันเบิกตากว้างในทันที

แม้เฝิงจงเหลียงจะแบ่งทรัพย์สินให้เพียงแค่บางส่วนเล็กๆ นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เจียงเซ่อมีชีวิตสุขสบายไปตลอดชีวิตแล้ว นับประสาอะไรกับความนัยในคำพูดของเขาที่พูดว่าจะไม่เพียงแบ่งทรัพย์สินให้เธอแค่นิดหน่อยเท่านั้น แต่ถึงขั้นจะเก็บทรัพย์สินส่วนใหญ่เอาไว้ให้เธอเลยด้วย

เฝิงจงเหลียงถือหุ้นของวิสาหกิจจงหนานมากที่สุด หลายปีมานี้ผลกำไรของวิสาหกิจจงหนานนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตระกูลของเฝิงจงเหลียงแต่เดิมก็ร่ำรวยอยู่แล้ว ใครต่อใครคงจะคิดไม่ถึงว่าเฝิงจงเหลียงจะยกทรัพย์สมบัติให้คนนอก ลูกหลานคนสกุลเฝิงหลายต่อหลายคนต่างก็จับตามอง ถามไถ่อย่างเปิดเผยและอย่างลับๆ แม้แต่ลูกสาวของเฝิงจงเหลียงที่แต่งงานออกไปแล้วก็ยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ด้วยเช่นกัน เกรงว่าหากมีคนรู้ คงจะสร้างความปั่นป่วนโกลาหลแก่ครอบครัวอีกครั้งเป็นแน่

“ฉันกลัวว่าเรื่องพวกนี้เมื่อเปิดเผยขึ้นมาแล้ว ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” เขาก็อายุปูนนี้แล้ว ร่างกายก็ไม่ได้แข็งแรงแล้ว กลัวความสะเทือนใจ และไม่ได้มีความอยากรู้อยากเห็นมากมายแบบพวกวัยรุ่นแล้วด้วย

ระหว่างที่คิดถึงเรื่องที่เมาค้างในตอนนั้น จนรีบร้อนให้เสี่ยวหลิวไปสืบข่าว ความจริงเฝิงจงเหลียงก็เคยนึกเสียใจถึงเรื่องหลังจากนั้นอยู่บ้าง

แต่เมื่อเดินหน้าแล้วก็จะไม่ถอยหลังกลับ เขาคิดถึงเรื่องที่เจียงเซ่อเรีกเขาว่า‘คุณปู่’คิดถึงมือที่คอยพยุงตน คิดถึงเธอที่คอยพูดคุยเป็นเป็นเพื่อนตน คิดถึงแอปเปิลที่เธอปอกให้ตน และยังตัวอักษร‘โข่ว’ตัวนั้นที่เธอเขียน ท้ายที่สุดเขาก็ดึงสายรัดซองเอกสารที่ถืออยู่ออก พลางพูดว่า

“มีบางอย่างที่ฉันดูเองจะดีที่สุด”

เขาบอกเสี่ยวหลิวแบบนี้ เสี่ยวหลิวจึงได้แต่ก้มหน้าลง