webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

409

บทที่ 409 แรกปรากฏ

เฝิงจงเหลียงนั่งครู่หนึ่ง ก็เลิกผ้าห่มออก เรียกเสี่ยวหลิวมาประคองตัวเองลุกขึ้น

   เสี่ยวหลิวพยายามห้ามเขา แต่เขากลับยืนกรานจะลุกขึ้นให้ได้ ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นของเขาเสี่ยวหลิวจึงต้องประคองเขาอย่างช่วยไม่ได้

   โต๊ะที่เขาใช้รับประทานอาหารเย็นกับเจียงเซ่อเมื่อคืนวานถูกคนรับใช้เก็บกวาดไปเรียบร้อยแล้ว ร่องรอยด้านบนถูกเช็ดจนสะอาดเกลี้ยงเกลา เขาใช้มือข้างที่ไม่ได้ติดสายน้ำเกลือลากเก้าอี้ เสี่ยวหลิวมองท่าทางที่เดินงกๆ เงิ่นๆ ของเขา ก็พูดอย่างติดจะเป็นห่วงว่า

   “ระวังด้วยนะครับ”

   เสี่ยวหลิวช่วยเขาลากเก้าอี้ออกมา เฝิงจงเหลียงนั่งลงแล้วมองไปตำแหน่งที่เจียงเซ่อนั่งเมื่อวาน เขาจำท่าทางตอนที่เจียงเซ่อเขียนตัวอักษรเมื่อวานได้ เขาพยายามจะคิดว่า จริงๆ แล้วเธอไม่ได้จะเขียนคำว่า ‘โข่ว’ หรอก แต่อาจจะวาดเป็นวงกลมต่างหาก

   เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินจะรับไหวจริงๆ เลยอดไม่ได้ที่เขาจะเดาไปส่งเดช

   เขาลองวาดอยู่หลายรอบแล้ว แต่น่าเสียดายยิ่งวาดในหัวสมองยิ่งสับสน

   เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาดื่มเหล้าไป จนวันนี้เขาแทบจำเรื่องราวมากมายไม่ได้เลย

   เขาเรียกเสี่ยวหลิวอีกครั้ง “เธอไปนั่งตำแหน่งที่ฉันนั่งเมื่อวานซิ”

   เสี่ยวหลิวไม่เข้าใจรายละเอียดสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาก็ได้แต่ไปนั่งตามที่เขาสั่ง เขาวาดอีกหลายต่อหลายครั้ง แล้วถามเสี่ยวหลิวว่า

   “มองเห็นไหมว่าฉันเขียนตัวอักษรยังไง?”

   เสี่ยวหลิวพยักหน้า ถึงจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง ”มองเห็นครับ”

   “เมื่อคืนวานคุณหนูเขียนอย่างนี้ไหม?”

   ที่จริงแล้วสัญชาตญาณของเขาบอกว่าเจียงเซ่อก็คือหลานสาวของตนแล้ว เขากลับยังไม่รู้ตัว

   เสี่ยวหลิวถูกเขาถามมาแบบนี้ เขากลับไม่กล้าตอบ

   เฝิงจงเหลียงทำหน้าแปลกๆ คำถามก็แปลกๆ พิกล เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า

   “คุณท่าน เมื่อคืนวานผมยืนตั้งไกล ได้ยินแค่ท่านคุยกับคุณหนูเจียง แล้วจู่ๆ ก็ตำหนิเธอ”

   “ทำไมฉันถึงตำหนิล่ะ?”เฝิงจงเหลียงถามขึ้นขณะที่มือคลำอยู่ที่โต๊ะ เสี่ยวหลิวคิดอยู่สักพัก เขาจำคำพูดก่อนหน้านี้ได้ไม่แม่นนัก แต่ยังพอจะจำสาระสำคัญได้ “เขียนผิดแล้วๆ บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่า ลำดับขีดของ คำว่า ‘โข่ว’ ไม่ใช่แบบนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต สอนเท่าไหร่ก็แก้ไม่หาย”

   พอเขาพูดจบ ก็พูดถึงวิธีการเขียนคำว่า ‘โข่ว’ ซึ่งถือเป็นสิ่งยืนยันการคาดเดาภายในใจของเฝิงจงเหลียง

  ในตอนนี้เองในดวงตาของเฝิงจงเหลียงก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

  เมื่อมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นมากเกินไป ก็ไม่อาจจะมองมันเป็นแค่เรื่องบังเอิญได้อีก เรื่องที่แปลกประหลาดแบบนี้ ควรจะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเฝิงจงเหลียง แต่ว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าบางทีหลานสาวคนเดิมกลับมาอยู่ข้างกายตัวเองแล้ว

   แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เกินจะรับไหวจริงๆ เป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต เป็นเรื่องใหญ่หลวง ที่เขาไม่สามารถทึกทักเอาเองแบบนี้ได้ จำเป็นต้องหาหลักฐานมาให้ได้มากกว่านี้ เพื่อนำมาพิสูจน์การคาดเดาภายในใจของตัวเอง

   เฝิงจงเหลียงใช้มือยันโต๊ะเอาไว้ หลังมือยังคงเสียบสายน้ำเกลืออยู่ เขาแสดงสีหน้าสับสน สายตาดูเศร้า แต่ก็เจือไปด้วยความปิติยินดี พลันหยดน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา

  “ถ้าท่านอยากจะทราบเรื่องเมื่อคืนวาน ไม่สู้โทรหาคุณหนูเจียง เรียกเธอมาถามดีไหมครับ”

เสี่ยวหลิวไม่แน่ใจความคิดของเฝิงจงเหลียง จึงลังเลที่จะแนะนำออกไป

  “ตอนนี้ยังไม่ต้อง” เฝิงจงเหลียงส่ายหัว เรื่องนี้ไม่สามารถรีบร้อนดำเนินการอย่างสะเพร่าได้ “สภาพฉันตอนนี้ เรียกเธอมาก็เป็นห่วงเสียเปล่าๆ”

   พูดประโยคนี้จบ เขายังคงวุ่นวายใจอยู่ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ ก็ถามออกมาว่าบวเหเพวศซศฐ. สสล2-62

  “กี่โมงแล้ว?”

   เสี่ยวหลิวยกนาฬิกาขึ้นดู หลังจากที่เฝิงจงเหลียงตื่นมา และต้องประสบกับเรื่องหลายๆ อย่างจนถึงตอนนี้ก็เจ็ดโมงครึ่งเข้าไปแล้ว เขาประสบเรื่องราวมากมายขนาดนี้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง สีหน้าของเขาจึงซีดขาวเป็นอย่างมาก เสี่ยวหลิวกำลังจะแนะนำให้เขานอนพักสักครู่ตามที่หมอกำชับไว้ แต่เฝิงจงเหลียงกลับเรียกเสี่ยวหลิวให้มาประคองเขาลุกขึ้นยืน ไปนั่งตรงที่วางโทรศัพท์ เขาลังเลอยู่พักหนึ่งถึงจะโทรศัพท์หาเจียงเซ่อ

   การใช้ชีวิตของเฝิงหนานถูกปลูกฝังให้อยู่ในกฏระเบียบมานาน เธอจะตื่นประมาณเจ็ดโมงเช้า ตอนนี้ในด้านความคิด สติปัญญาเฝิงจงเหลียงรู้สึกว่าการคาดเดาของตัวเองนั้นมันน่าเหลือเชื่อมากไปแล้ว เขาใช้ชีวิตมาจนอายุปูนนี้แล้ว เจอเรื่องมาก็ตั้งมากมาย ผ่านความยากลำบากต่างๆ นาๆ ทั้งความเป็นความตาย แต่ตอนนี้เขากลับยากที่จะควบคุมการคาดเดาแบบนี้ของตนไว้ได้

โทรศัพท์ถูกรับอย่างรวดเร็ว เสียงของเจียงเซ่อทะลุผ่านออกมาตามสายพร้อมเสียงเรียกว่า

  “คุณปู่”

  เฝิงจงเหลียงอดนึกถึงตอนที่ตัวเองพบเธอครั้งแรกไม่ได้ ตอนที่เธอเรียกเขาแบบนี้เขาไม่ชอบเลยจริงๆ

  เขาไม่ชอบที่จะสนิทสนมกับคนอื่นส่งเดช ตอนนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเสียงเรียก ‘ปู่’ ของเธอ

  หลังเหตุการณ์นั้นก็ค่อยได้สนิทกัน และยังปฏิบัติกับเธอเหมือนหลานสาว ฟังเธอพูดจนชินเลยไม่ได้เอะใจอะไร

  แต่ไม่รู้ว่าเพราะตอนนี้ในใจของเขารู้สึกสงสัยอยู่รึเปล่า ตอนที่ได้ฟังเธอเรียกแบบนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกได้ถึงความลึกซึ้งที่มากกว่านั้น

  เขาหายใจลึกๆ อยู่หลายครั้ง เสี่ยวหลิวกลัวว่าเขากดดันมากๆ แล้วจะอาการทรุด จึงรีบไปหยิบยามาให้เขาทาน

เฝิงจงเหลียงเม้มปากเน้น เมื่อฟังเธอถามด้วยความห่วงใย

  “เมื่อคืนวานคุณปู่ดื่มจนเมาเลย วันนี้ดีขึ้นรึยังคะ?”

  “ดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นมากแล้ว” ลำคอเขาตีบตัน เพียงแค่ฟังเจียงเซ่อพูด ก็ยิ่งรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว

   ตอนนี้เขาคาดหวังเป็นอย่างมาก ว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดาจะเป็นเรื่องจริง ว่าเธอคือหลานสาวที่ฉลาดและรู้ใจของเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอถึงเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งได้

  เจียงเซ่อถามถึงร่างกายเขา กลัวว่าหลังจากดื่มเหล้าจะปวดหัว เขาก็ปฏิเสธออกไปว่า

  “ไม่เป็นไรหรอก ร่างกายปู่แข็งแรงดี เหล้าแค่นั้นทำอะไรปู่ได้ที่ไหนกัน นอนหลับจนถึงเจ็ดโมงถึงจะลุกขึ้นมานี่ละ ”เขากลัวเจียงเซ่อจะเป็นห่วง จึงหาข้อแก้ตัวมาอ้าง

  “ได้ยินอาหลิวของหนูบอกว่า เมื่อคืนวานปู่ดื่มเหล้าแล้วเกิดโมโหอาละวาดขึ้นมา เพราะงั้นเลยโทรศัพท์มาถามหนู หนูก็อย่าใส่ใจเลยนะ”

เจียงเซ่อก็หัวเราะขึ้น “หนูจะโกรธคุณปู่ได้ยังไงคะ หนูรู้ว่าคุณปู่ไม่ได้เจตนา คุณปู่ต้องพักผ่อนมากๆ นะคะ เหล้าก็ดื่มน้อยลงหน่อย อากาศอบอ้าว เรื่องสวนดอกไม้ก็ให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นจัดการเถอะนะคะ”

  ถ้าเป็นแต่ก่อนคนอื่นมาพูดแบบนี้เฝิงจงเหลียงล้วนไม่ฟังทั้งสิ้น แต่ตอนนี้กลับรับคำอย่างรวดเร็ว

  เสี่ยวหลิวมองอย่างมึนงงอยู่ข้างๆ ก่อนหน้านี้เฝิงจงเหลียงยังมีท่าทีดุดันน่ากลัวอยู่เลย ได้ยินว่าหลังจากอาละวาดใส่เจียงเซ่อเมื่อคืนวาน ถึงกับความดันขึ้น จนต้องรีบเรียกหมอประจำตระกูลเลย

จริงๆ เสี่ยวหลิวเดาว่าเขาต้องโกรธเจียงเซ่อ แต่มาดูตอนนี้ เขาพูดคุยกับเจียงเซ่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดูสนิทสนม บรรยากาศไม่ดีก่อนหน้านี้จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาทำตัวราวกับผู้น้อยที่เชื่อฟังคำของผู้อาวุโสอย่างไรอย่างนั้น ไหนเลยจะยังมีท่าทางโมโหเหลืออยู่อีก?

   เขายังกลัวว่าเจียงเซ่อจะเป็นห่วง เลยไม่ได้พูดถึงสถานการณ์อันตรายก่อนหน้านี้ของตัวเองออกมาสักคำ

  “ช่วงหกเดือนนี้ หนูอาจจะไม่ได้ไปหาคุณปู่ชั่วคราวนะคะ” เจียงเซ่อพูดแบบนี้ ทำให้เฝิงจงเหลียงกระวนกระวายใจนิดหน่อย เธออธิบายว่า

   “หนูได้เซ็นสัญญากับกองถ่ายของผู้กำกับจางจิ้งอาน จึงต้องเรียนการแสดงเพิ่มเติมประมาณสองร้อยวันน่ะค่ะ”

  สีหน้าของเฝิงจงเหลียงฉายแววสิ้นหวัง เขานึกถึงเรื่องที่เจียงเซ่อพูดกระเง้ากระงอดว่า ไม่พอใจนิดหน่อยที่เซี่ยเชาฉวินจัดคิวงานของเธอแน่นมากเมื่อก่อนหน้านี้

“เชาฉวินนี่ยังไงกันนะ? อาชีพนักแสดงยุ่งขนาดนี้เลยเหรอ?”

   “นี่เป็นไอเดียของหนูเองค่ะ” ฟังจากคำพูดที่หดหู่ของเฝิงจงเหลียง เจียงเซ่อลังเลอยู่ชั่วครู่ จึงเผยจุดประสงค์ให้เขารู้ “หนังครั้งนี้ เกี่ยวกับความหลังบางอย่างกับปมในใจของตัวหนูเอง หนูเลยอยากจะกำจัดมันออกไปให้สิ้นซากมันจะได้ไม่สามารถมามีอิทธิพลกับหนูได้อีกค่ะ ”

   น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลทว่าดูหนักแน่นเหลือเกิน เห็นได้ชัดถึงจิตใจที่ตั้งมั่นแน่วแน่มานานแล้ว

   เฝิงจงเหลียงรู้สึกว่าเจียงเซ่อที่เป็นแบบนี้เหมือนมีเงาของเฝิงหนานอยู่

  เขาขบกราม กล้ามเนื้อบนใบหน้าเกร็งแน่น เขาหลับตาลงในที่สุดก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วพูดว่า

“งั้นหนูเจียดเวลามาออกไอเดียให้ปู่สักครั้งนะ ก้อนหินก้อนนั้นที่หนูมอบให้ปู่ ปู่จะเอาไปแกะเป็นตราประทับ ”

   เมื่อคืนวานเขาดื่มจนเมาเลยอาจจะเข้าใจผิดไป เขาอยากจะให้เจียงเซ่อมาเขียนชื่อของเขาด้วยตัวเองต่อหน้าเขาอีกสักครั้ง เขาอยากจะดู ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาคิดฟุ้งซ่านไปเอง หรือว่าจะมีเรื่องแปลกประหลาดอย่างนี้อยู่บนโลกนี้จริงๆ

   เธอรับปาก เฝิงจงเหลียงจึงวางสายลง ใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มก็จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขานึกถึงคำพูดของเจียงเซ่อก่อนหน้านี้ จึงสั่งเสี่ยวหลิว

  “ไปสืบมาหน่อยซิว่าหนังที่จางจิ้งอานถ่ายทำ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องแนวไหน”

   เขารู้สึกตงิดๆ ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก ความจริงของเรื่องทั้งหมดคล้ายกับโดนกั้นด้วยหมอกบางๆ ชั้นหนึ่งที่ค่อยๆ เปิดเผยโฉมออกมาให้เห็น

  เฝิงจงเหลียงคิดวกวนไปมาถึงช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปของเฝิงหนาน เมื่อเสี่ยวหลิวได้รับคำสั่งของเขาแล้ว กำลังหันตัวที่จะไป เขาก็เรียกให้หยุดก่อน

   “กลับมาก่อน”

   เขากวักมือ “เธอช่วยหาข้อมูลของเจียงเซ่อให้ฉันด้วยนะ”

“ท่านต้องการทราบข้อมูลของคุณหนูเจียงเซ่อก่อนหรือว่าหนังของจางจิ้งอานก่อนครับ?” เสี่ยวหลิวไม่รู้ความคิดของเฝิงจงเหลียง จึงถามออกไปด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง

เขานิ่งไปสักครู่ แล้วพูดขึ้นว่า

  “ข้อมูลก่อน หนังอันดับต่อมา”

   พูดจบ ใบหน้าของเขาก็ฉายแววซับซ้อน ราวกับว่าตั้งตารอ และยังแฝงความหวาดหวั่นไม่น้อย ดวงตาแฝงไว้ด้วยความกังวลราวกับจะมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น

   เสี่ยวหลิวไม่เคยเห็นเฝิงจงเหลียงเป็นแบบนี้มาก่อน กำลังคิดจะเปิดปากถาม ทว่าหลังจากเฝิงจงเหลียงพูดจบ เขาก็ก้มหัวลงพิงพนักโซฟา หลับตาลง ราวกับมีเรื่องหนักใจ

   เจียงเซ่อไม่รู้เลยว่าเฝิงจงเหลียงให้คนสืบเรื่องตัวเองแล้ว หลังจากที่เธอคุยโทรศัพท์กับเฝิงจงเหลียงเสร็จ ก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของคุณปู่มีบางอย่างไม่ถูกต้องนิดหน่อย หลังจากนั้นเลยโทรศัพท์หาเสี่ยวหลิวเพื่อถามเรื่องอาการของเฝิงจงเหลียง

   ช่วงรุ่งเช้า เฝิงจงเหลียงยังคงความดันสูงเพราะเรื่องของเจียงเซ่อ ส่วนเสี่ยวหลิวเริ่มสืบข่าวของเจียงเซ่อตามคำสั่งของเฝิงจงเหลียง หลังจากรับโทรศัพท์เจียงเซ่อ เพราะท่าทีคลุมเครือของเฝิงจงเหลียงก่อนหน้านี้ เสี่ยวหลิวเลยปกปิดเรื่องนี้เอาไว้

  เรื่องใดที่เฝิงจงเหลียงไม่ได้พูดทางโทรศัพท์เมื่อตอนเช้า เสี่ยวหลิวก็ไม่ได้พูดถึง บอกแค่ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแค่นั้น

  เมื่อถามอะไรจากเสี่ยวหลิวไม่ได้เลย ช่วงบ่ายเจียงเซ่อเองก็ยังมีธุระต้องไปทำอีก ก็คงได้แต่ต้องพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว 

การพูดคุยกับจางจิ้งอานราบรื่นไปด้วยดี หลังจากที่เจียงเซ่อยืนยันจะรับบทในภาพยนตร์ เรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ก็ต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ก่อน เธออาศัยเวลาหลายวันนี้ อ่านบทละครอีกสองรอบ

จางจิ้งอานพอใจกับท่าทางของเธอ ตอนที่เธอเทสหน้ากล้องวันนั้น เธอก็ได้แสดงให้เห็นประจักษ์กันทั่วทุกคนแล้ว ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย บทนี้ก็คงจะเป็นของเธอแน่แล้ว จะเหลือก็แค่ปัญหาเรื่องค่าตอบแทนเท่านั้น  หลังจากที่เธอรับถ่ายเรื่อง Evil และได้ร่วมงานกับหลิวเย่ ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง Evil จะยังไม่ได้ฉาย แต่ค่าตัวของเจียงเซ่อก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ ค่าตอบแทนในภาพยนตร์เรื่องนี้แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับนักแสดงหญิงเบอร์หนึ่งอย่างเถาเฉิน แต่ก็ไม่มีมีทางต่ำไปกว่าเรื่อง Evil อย่างแน่นอน

  เมื่อพูดถืงเรื่องค่าตัวเจียงเซ่อไม่สนใจทั้งสิ้น เธอยกให้เซี่ยเชาฉวินเป็นคนไปจัดการแทน เหตุผลส่วนใหญ่ที่เธอรับภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนมาจากการเชียร์ของเผยอี้ และเพื่อจะเอาชนะปัญหาส่วนตัวของเธอเองก็เท่านั้น

  คืนวันที่สองของงานเลี้ยงที่ คุณนาย Federer เป็นคนจัดงาน โดยจัดที่คฤหาสน์แถวชานเมืองตอนใต้ของตี้ตู ที่นี่เป็นที่ดินส่วนตัวของคุณนาย Federer ตอนที่เจียงเซ่อมาถึง งานเลี้ยงยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ

 สนามหญ้ามีรถยนต์จอดอยู่ไม่น้อย ตอนที่เธอจับกระโปรงชุดราตรีออกมาจากรถนั้น รถยนต์ Rolls-Royce สีดำก็มาจอดเทียบบนสนามหญ้า เซี่ยเชาฉวินช่วยจัดกระโปรงให้เธอ พลันประตูของรถที่เพิ่งมาจอดได้ไม่นานก็ถูกเปิดออกโดยคนขับรถที่มาเปิดประตูด้านหลังให้

ตอนคุณ Bueler ที่ใส่ชุดสูทสีดำสนิทจูงมือเฝิงหนานมาปรากฏตัวต่อหน้าเจียงเซ่อนั้น เธอก็ได้เห็นชุดที่สวมอยู่บนเรือนร่างของเฝิงหนาน ชุดราตรีที่หล่อนสวมอยู่นั้นเป็นชุดกระโปรงที่มีเสื้อคลุมสีน้ำเงินไพลินที่เจียงเซ่อเห็นที่ร้าน Givenchy ตัวนั้นนั่นเอง!