webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

391

บทที่ 391 หญิงสาวปริศนา

เจียงเซ่อยิ้มและขอตัวจากเฝิงหนาน แขกหลายคนที่มีกำไลรับเชิญอยู่บนข้อมือพากันเดินเข้ามาในห้องจัดงาน เฝิงหนานยังยืนอยู่ข้างนอก ยังคงรู้สึกเหมือนมีสายตาหลายคู่จ้องมองมาที่ตัวเอง

คนที่มางานในคืนนี้ล้วนแล้วเป็นคนที่มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาทางสังคม ล้วนแล้วมีความเยือกเย็นและได้รับการอบรมบ่มเพาะมาอย่างดี ไม่มีใครสักคนที่กำลังมองฉีกหน้าหล่อนสักคน และไม่มีใครซุบซิบนินทาลับหลังว่าเธอโดนเผยอี้เย็นชาใส่ด้วยซ้ำ

แต่เฝิงหนานเองนั่นแหละที่รู้สึกเหมือนกำลังโดนคนนินทาจนร้อนอกร้อนใจไปหมด ทุกคนพากันเดินเข้างานไปอย่างไม่สนใจอะไร แต่หล่อนกลับรู้สึกเหมือนทั้งตัวมันแข็งไปหมด

ตอนนี้คนในงานยังไม่เยอะเท่าไหร่ เซี่ยเชาฉวินดูๆ เวลาแล้ว จึงปล่อยให้เจียงเซ่อและเผยอี้มีเวลาส่วนตัว

เจียงเซ่อสวมรองเท้าส้นสูง ยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงช่วงเวลาของการหาคอนเนคชั่น หล่อนจึงเดินหาโซฟาตามมุมนั่งรอไปก่อน

ในงานเลี้ยงมีเปียโนของ Steinway หลังหนึ่งตั้งเอาไว้ และมันก็ตั้งอยู่ตรงใจกลางของงานเลยด้วย

เผยอี้ลูบๆ มือเธอ แล้วเอ่ยถามขึ้น

“หนาวไหมครับ?”

วันนี้เธอสวมเดรสแขนกุด และกระโปรงก็ยาวแค่พอดีกับเข่าเท่านั้นเอง อวดเรียวขาสวยคู่นั้นให้ใครๆ ได้เห็น เจียงเซ่อส่ายหน้า จากนั้นก็พิงศีรษะลงบนไหล่ของเขา และพูดคุยกับเขาไปด้วย

พูดคุยกันได้นิดหน่อย คนก็เริ่มเข้ามาในงานกันมากขึ้น แต่เผยอี้ก็ยังลูบมือของเจียงเซ่อเล่นในมือของตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นก่อนที่จะมาเกิดใหม่หรือหลังจากที่มาเกิดใหม่ เธอก็ยังคงดูแลมือของตัวเองเป็นอย่างดีเสมอ เรียวแต่ไม่ได้ดูผอมแห้งเกินไป เล็บก็ดูเล็กน่ารัก สีของมันขาวนวล และเหมือนจะค่อยๆ ไล่ระดับลงมาเหมือนหน่อไม้นุ่มๆ และมือของเธอก็นุ่มเหมือนกับไม่มีกระดูก พอได้ลูบไปมาอยู่ในมือของเขาแบบนี้แล้ว กลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ลอยมาแตะจมูกด้วยซ้ำ

พอเขาเห็นมือของเจียงเซ่อแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มหัวเราะออกมา

“เซ่อเซ่อ พี่จำได้ไหมว่าตอนเด็กๆ ผมชอบชวนพี่เล่นอะไร?”

เธอเลิกคิ้วขึ้น แล้วเงยหน้ามองเขา

“จำได้สิ”

เขาซนจะตาย ตอนเด็กๆ ก็ดื้อไม่มีใครเกิน แถมเขายังเป็นถึงหลายชายคนโตของตระกูลเผย เป็นหลายชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณนายเผย คนในบ้านโอ๋เขาจะตายไป

ตอนนั้นเฝิงหนานตามเฝิงจงเหลียงไปเยี่ยมเยียนที่บ้านตระกูลเผย แล้วเขาก็ซนจนไปทำหยกแกะสลักชิ้นโปรดของคุณพ่อแตกเข้า กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว หลังจากนั้นเผยจิ้นฮว๋ายก็โมโหเสียยกใหญ่ แต่ก็ได้ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ห้ามเอาไว้ ไม่ให้ตีเขาเด็ดขาด แต่ลงโทษโดยการให้เขายืนหันหน้าเข้าหากำแพงนิ่งๆ แบบทหารแทน โดนทีหนึ่งก็ยืนไปกว่าสองชั่วโมงแล้ว ต้องยืนมองกำแพงอยู่แบบนั้น นอกจากดื่มน้ำและพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ ก็ห้ามไม่ให้นั่งและเดินไปไหนเด็ดขาด ต้องเงยหน้าเอาไว้ตลอดเวลา

การทำโทษแบบนี้มันทำให้เผยอี้คิดมาตั้งแต่เด็กๆ ว่ามันเป็นการดูดชีวิตกันชัดๆ เขาร้องไห้จนหน้าแดงไปหมด มองดูแล้วก็น่าสงสารไม่น้อย

คนในบ้านต่างก็โดนเผยจิ้นฮว๋ายสั่งเอาไว้ และไม่มีใครกล้าเดินไปคุยกับเขาเลยสักคน

ตอนนั้นเขาน่าจะผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ เพราะใบหน้าของเขามีคราบและเปรอะเปื้อนไปหมด คุณปู่เผยที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกสงสารเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกตลกดีด้วย พอเฝิงจงเหลียงถามถึงเผยอี้ขึ้นมา เขาก็บ่นถึงเรื่องที่เผยอี้ทำเอาไว้ให้ฟัง ชายอาวุโสพากันหัวเราะขำขัน แต่ใบหน้าของเด็กน้อยกลับบึ้งตึง

ตอนนั้นเขาไม่ได้ดูดีดูสง่าเหมือนตอนนี้เสียหน่อย ใบหน้าของเขายังเป็นแค่เด็กน้อยจิ้มลิ้ม เหมือนกับแม่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน ดวงตาใสแป๋วของเขาดำขลับราวกับหินเฮยเย่า สวยจนน่ามอง

เธอที่เห็นว่าเขาโดนหัวเราะแบบนั้นแล้ว ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจไม่น้อย

ตอนที่เฝิงหนานไปถึง เขาก็ยืนถูกยินทำโทษไปแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง ร้องก็แล้วโวยวายก็แล้วแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร พออยากจะพิงกำแพงเพราะรู้สึกเหนื่อย ก็โดนเผยจิ้นฮว๋ายดุเข้าอีก

ตอนนั้นเธอเองก็ก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง โตกว่าเขาแค่ไม่ถึงห้าปีดี ประสบการณ์ปลอบใจเด็กมีเสียที่ไหน เขาถูกโอ๋และดูแลอย่างดีมาตั้งแต่เด็กจนโต จะมีของดีๆ อะไรกันที่เขาไม่เคยเห็น ตอนที่เธอเอาของไปปลอบใจเขา เขาก็ใช่ว่าจะรู้สึกแปลกใจอะไร

สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเล่นเป็นเพื่อนเขา เล่นสิ่งที่ง่ายที่สุดอย่างการเป่ายิ้งฉุบ

ถ้าเล่นแบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาและไม่เป็นการฝืนคำสั่งของเผยจิ้นฮว๋ายด้วย และจะได้ไม่ต้องให้เขาได้แต่ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงมุมแบบนี้

ถ้าเป็นเรื่องตบตีอะไรเขาไม่กลัวหรอก สิ่งที่เขวกลัวคือความเงียบและการไม่มีใครสนใจมากกว่า

ทั้งสองคนเล่นออกหิน กรรไกร และผ้าด้วยกัน และทุกครั้งเขาก็ชนะตลอดเลยด้วย ความหงุดหงิดที่มีจึงค่อยๆ กลายเป็นความสนุก

มันเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นแหละ ที่ทำให้เขาชอบเฝิงหนานที่สุด ชอบเธอมากๆ และเอาแต่คิดมาตลอดว่าอยากจะให้เธอมาอยู่ที่บ้านของเขา ไม่อยากให้เขากลับบ้านตระกูลเฝิงเลย

เธอเป็นเพียงคนเดียว ที่ยินยอมที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขาตรงมุมๆ นั้น การเล่นเกมง่ายๆ ทำให้วัยเด็กของทั้งสองคนเข้าใกล้กันมากขึ้น ไม่มีการไม่พอใจใส่กัน ไม่มีการบ่นโทษใส่กัน และทำให้เขารู้สึกมีความสุขได้ทุกครั้ง

ตอนที่เฝิงหนานจะพาเธอกลับบ้าน เขาก็ร้องไห้งอแงเสียยกใหญ่ ชี้นิ้วใส่เฝิงจงเหลียงแล้วด่าว่าเป็น ‘คนนิสัยไม่ดี’ ทำเอาคุณปู่เผยเกือบจะโมโหขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ จะสั่งให้คนพาเขากลับห้องตัวเองไป

“ทุกครั้งที่เล่นกับพี่ ผมก็จะชนะตลอดเลย” พอเผยอี้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เหมือนจะติดน้ำเสียงภูมิใจออกมาด้วย “เพราะพี่ชอบออกแต่ผ้าตลอด” และไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

เขาก้มหน้าลง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเบาลงเล็กน้อย และเต็มไปด้วยความสนิทสนม

เจียงเซ่อเงยหน้ามองเขา และมันก็พอดีที่สายตาของทั้งคู่ประสานกัน ความรู้สึกในแววตาของเขาทำเอาอยากจะละลายหายไปให้ได้ แพขนตาที่เรียงตัวกันสร้างเงาทึบให้กับดวงตา

เธอเห็นรอยยิ้มที่อยู่ตรงมุมปากของเขา จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไปดันปลายคางของเขาออก แต่เขาก็ทำเป็นวางคางลงบนมือของเธออย่างออดอ้อน จากนั้นก็แอบจุ๊บลงไปทีหนึ่ง

“นั่นเพราะว่านายเองก็เอาแต่ออกกรรไกรต่างหาก”

แค่จากจุดนี้ ก็สามารถมองเห็นนิสัยของเผยอี้ได้แล้ว ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะตามใครได้ง่ายๆ และชอบที่จะเป็นผู้นำเสียมากกว่า เวลาเล่นกันเขาก็มักจะออกแต่กรรไกรตลอด เล่นครั้งที่สองครั้งที่สาม เจียงเซ่อก็พอที่จะเดานิสัยของเขาได้แล้ว พอพอที่จะรู้นิสัยของเขาแล้วก็สามารถทำให้เขารู้สนุกและได้ใจได้อย่างง่ายๆ

เขาที่คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินแบบนั้น ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง และสายตาก็เริ่มอ่อนโยนมากขึ้น พอกำลังจะพูดอะไร หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นว่ากำลังมีคนเดินมาทางพวกเขา เธอยังไม่ทันจะได้หันไปมอง คนๆ นั้นก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสองคนแล้ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา

“พี่อี้”

รอยยิ้มบนหน้าของเผยอี้ค่อยๆ จางลง เจียงเซ่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าเป็นเผยหรุ่ยที่อยู่ในชุดเดรสสีเหลืองอ่อนสดใสพร้อมกับเด็กสาวอีกคนมายืนอยู่ตรงด้วย

ก่อนที่เจียงเซ่อจะมาเกิดใหม่ สำหรับเธอก็ถือว่าคุ้นเคยและสนิทกับคนในตระกูลเผยอยู่ไม่น้อย สำหรับเผยหรุ่ยนั้นก็ไม่ถึงกับดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร

แต่พอเกิดใหม่แบบนี้แล้ว คนของตระกูลเผยจึงไม่ใช่บุคคลที่เธอคิดจะเดินเข้าไปหาก็เข้าไปได้เลยอีกต่อไป และครั้งหนึ่งเผยอี้เองก็เคยพาหล่อนกลับไปที่บ้านตระกูลเผยในช่วงปีใหม่ ทั้งสองคนจึงไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่

ตอนที่หล่อนเห็นว่าเจียงเซ่อก็อยู่ด้วยก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก หล่อนยิ้มและกล่าวทักทาย

“สวัสดีค่ะคุณเจียง”

คำทักทายของหล่อนฟังดูมีมารยาทและไม่ได้สนิทสนมอะไร เทียบกับเผยหรุ่ยที่เธอจำได้ในอดีตแล้ว ตอนนี้หล่อนดูสุขุมและเรียบร้อยกว่ามาก และดูโตขึ้นเยอะแล้วด้วย

หล่อนสวมชุดเดรสสีเหลืองอ่อน เผยความเป็นเด็กสาวที่ยังอายุน้อยออกมาได้อย่างดี สีชุดขับผิวของหล่อนให้ดูผ่องขึ้น เรือนผมสีดำของหล่อนถูกมัดเป็นหางม้าหลวมๆ ไปด้านหลัง แต่งหน้าอ่อนๆ มีความเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม แต่ก็ไม่ได้สูญเสียความสง่าและบุคลิกที่งดงามออกไป

เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากหล่อนนัก ผมของหล่อนถูกรวบขึ้นเป็นหางม้าเหมือนกัน สีผิวสีน้ำผึ้งดูแข็งแรงไม่น้อย สูงราวๆ ร้อยเจ็ดสิบ ในงานแบบนี้ หล่อนกลับไม่ได้สวมชุดราตรี แต่สวมเป็นเสื้อ T เชิ้ตสีขาวคู่กับกางเกงวอร์มแทน ดูเหมือนกับว่ากำลังจะออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งเสียมากกว่า

หล่อนยืนขมวดคิ้วมองเผยอี้ แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกอดอก ท่าทางเหมือนกำลังไม่พอใจ