webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

390

บทที่ 390 คุณสมบัติ

คนกลุ่มหนึ่งที่มีทั้งสูทสีดำ สีเขียวและสีเข้มต่างๆ เหมือนเขาเป็นคนเดียวที่สวมชุดสูทสีขาวมา ราวกับเจ้าชายผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์ หลังจากที่เฝิงหนานเห็นเขา ฝีเท้าของหล่อนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา

“เสี่ยวอี้”

หล่อนเอ่ยเรียกขึ้นด้วยรอยยิ้ม ส่วนอวี๋จือหลินที่ถึงแม้ว่าสายตาจะมองไปทางอื่นแล้ว ไม่ได้จ้องไปที่เจียงเซ่อตรงๆ อีก แต่หล่อนก็ยังคอยเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดเวลา

เหล่าสื่อข่าวทั้งหลายต่างกำลังพากันคาดเดาว่าแฟนหนุ่มของเจียงเซ่อเป็นใครมาจากไหน มีคนคาดเดาว่าเขาเป็นทายาทของตระกูลที่สูงส่ง แต่จะเป็นใครนั้น ก็น้อยคนที่จะหาข้อมูลมาได้

แต่พอเฝิงหนานเรียกเผยอี้ขึ้นมาในตอนนี้ มันทำให้อวี๋จือหลินนึกถึงฐานะของเฝิงหนานขึ้นมาทันที

ตระกูลเฝิงเป็นตระกูลนักธุรกิจของฮ่องกง ถ้าหากว่าเป็นนักธุรกิจละก็ งั้นแฟนหนุ่มของเจียงเซ่อก็คงจะไม่ต่างอะไรจากนั้นเหมือนกัน แต่ว่าคุณปู่ของหล่อนก็เป็นหนึ่งในกองทัพต่อต้านทหารญี่ปุ่นด้วย บางทีหล่อนอาจจะอาศัยโอกาสนี้ ในการเข้าไปทักทายแฟนหนุ่มของเจียงเซ่อได้อย่างยิ้มแย้มขนาดนั้นล่ะมั้ง

แต่ดูจากสถานการณ์ตรงหน้านี้แล้ว อวี๋จือหลินก็คิดว่าตระกูลของเผยอี้เองก็คงจะต้องเกี่ยวข้องกับทหารด้วยแน่ๆ

ตอนนี้ทุกคนในงานต่างก็พากันสงสัยใคร่รู้ นาทีที่เผยอี้เห็นว่าเฝิงหนานเองก็มางานนี้ ก็หันหน้าหนีทันที แทบจะเก็บความความรังเกียจที่อยู่ในใจเอาไว้ไม่ไหว

ถ้าอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเขาก็ยังพอที่จะทำให้เฝิงหนานลำบากใจได้ แต่ตอนนี้อยู่ในที่ที่สาธารระ และหล่อนก็ยังเป็น ‘หลานสาว’ ของเฝิงจงเหลียงอยู่ เป็นคนของตระกูลเฝิง

และอย่างไรเสียเธอก็ยังอยู่ในฐานะของ ‘เฝิงหนาน’ ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าหล่อนไม่ใช่ ‘เฝิงหนาน’ จริงๆ แต่ยังไงเผยอี้ก็ยังต้องให้เกียรติหล่อนเอาไว้ก่อน จึงก้มหัวทักมายกลับอย่างมีมารยาท

เขาไม่ได้ทำเป็นไม่สนใจหรือเดินหนีไปไหน และนั่นก็ทำให้เฝิงหนานรู้สึกโล่งใจไม่น้อย ที่จริงตอนที่หล่อนเดินมา ก็คิดอยู่เหมือนกันว่ายังไงเผยอี้ก็ต้องไว้หน้าเฝิงจงเหลียงอยู่บ้าง คนไม่มีทางทำให้หล่อนขายหน้ากลางที่สาธารณะแบบนี้แน่ๆ

ปีก่อนที่ขึ้นเรือปาร์ตี้ของพวกเนี่ยต้าน เฝิงหนานก็ได้ยินมาจากเฝิงซือหยินแล้วว่าตัวเองเคยสนิทกับเผยอี้มากแค่ไหน หล่อนจึงเริ่มที่จะใส่ใจ หลังจากนั้นก็ยังได้ยินมาอีกว่า แน่ใจเลยว่าเผยอี้จะต้องมีใจให้กับเฝิงหนานคนเก่าแน่ๆ

แต่ทว่าท่าทีของเขาหลังจากนั้นมันดูเปลี่ยนไปมาก แม้กระทั่งปีก่อนที่หล่อนตั้งใจที่จะไปเจอกับพวกเนี่ยต้านเพื่อสร้างคอนเนคชั่น แต่เขาก็ยังฉีกหน้าเธอต่อหน้าทุกคนให้ได้อับอาย

เฝิงหนานจึงเริ่มคิดตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งหมดนี้จะต้องเป็นเพราะเจียงเซ่อแน่ๆ

เจียงเซ่อในตอนนี้กับเจียงเซ่อในโลกก่อนที่หล่อนรู้จักเหมือนกับเป็นคนละคน ถึงแม้ว่าหล่อนจะเกลียดแค้น ‘เจียงเซ่อ’ ในโลกก่อนมาก และถึงแม้จะได้มาเกิดใหม่แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ความเกลียดมันยังติดอยู่ในใจเสมอ

หล่อนก็ต้องอดยอมรับไม่ได้ ว่าเจียงเซ่อที่อยู่ตรงหน้าหล่อนนี้ มันดูแตกต่างกับเจียงเซ่อที่หล่อนจำได้มาก

หล่อนเคยสงสัยว่า เจียงเซ่อเองก็คงจะมาเกิดใหม่เหมือนกับตัวหล่อนเอง แต่ทั้งบุคลิก นิสัยและท่าทางกลับดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคนที่เข้าใจได้ยาก และเดาทางไม่ถูกเลยสักนิด เฝิงหนานไม่มีทางเชื่อว่านิสัยของคนอย่าง ‘เจียงเซ่อ’ จะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เพียงเพราะแค่ได้มาเกิดใหม่ หล่อนรู้สึกสงสัยตัวตนของเจียงเซ่อที่อยู่ตรงหน้า ว่าอาจจะไม่ใช่ ‘เจียงเซ่อ’ คนเดิมอีกต่อไป

แต่ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร เฝิงหนานก็คงไม่มีทางเกิดความรู้สึกใหม่ๆ กับเธอได้ เช่นเดียวกับความเกลียดชังที่มีต่อเจียงเซ่อในจิตใจ

คนที่เผยอี้ชื่นชอบจริงๆ ก็คือตัวหล่อน แต่กลับต้องมาเปลี่ยนไปเพียงเพราะเธอคนเดียว และหลังจากนั้นอาจจะมีการใส่ไฟกัน ถึงได้ทำให้เผยอี้เย็นชาและไม่ใส่ใจกันแบบนี้

เฝิงจงเหลียงเป็นถึงปู่ของหล่อน แต่กลับมีท่าทางที่สนิทสนมกับหล่อนมากในงานเลี้ยงการกุศลของ ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ ก่อนหน้านี้ ทำให้เธอกลายเป็นจุดเด่นและเป็นที่สนใจ แต่ตัวหล่อนที่เป็นถึงหลานสาวคนสนิทกลับไม่แยแส ทำให้หล่อนเป็นเหมือนตัวตลก ให้พวกสื่อข่าวมันรู้ว่าความสัมพันธ์ของปู่หลานนั้นไม่ได้แน่นแฟ้นเหมือนเดิมแล้ว

ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อได้มองหน้าฆาตกรใจหยาบที่ตัวเองเกลียดแสนเกลียด ทุกครั้งที่คิดขึ้นมา ในใจของเฝิงหนานมันก็รู้สึกคับแค้นและโมโหไปหมด

“ได้ยินมาจากคุณปู่ว่า นายไปเรียนต่อที่กว่างโจวอย่างนั้นหรือ? กลับมาตี้ตูตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ?” หล่อนยกมือขึ้นเอาผมทัดใบหู เหมือนจะอวดว่าที่ตรงข้อมือของตัวเองมีกำไลของผู้ที่ถูกเชิญมาในงาน Steinway อยู่ด้วย หล่อนยิ้มคิกคัก

“ถ้าก่อนหน้านี้รู้ว่านายจะมางานเลี้ยงเหมือนกัน คุณปู่คงจะต้องฝากมาทักทายนายแน่ๆ นายพาเจียงเซ่อมางานนี้ด้วยงั้นหรือ?”

หล่อนพูดออกมายาวเหยียด ระหว่างพูดก็มองไปที่ข้อมือของเจียงเซ่อที่มีเพียงแต่สร้อยข้อมือเงินเส้นเล็กๆ เท่านั้น และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกำไลของแขกที่ได้ถูกเชิญมางานนี้ แววตาของเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

เผยอี้ไม่ได้อยากจะเสวนากับหล่อนสักเท่าไหร่ พอได้ยินหล่อนพูดถึงเฝิงจงเหลียงขึ้นมา ใบหน้าที่ฝืนปั้นมานานก็เริ่มที่จะเมื่อยจนไม่อยากจะปั้นอีกต่อไปแล้ว

ยังดีที่หล่อนเอ่ยถึงเฝิงจงเหลียงขึ้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเฝิงจงเหลียง คนที่อยู่ในระดับเดียวกันจริงๆ ไม่มีทางที่เรื่องนี้จะเป็นความลับ หล่อนก็ทำได้แค่หลอกคนนอกทั่วไปเท่านั้นแหละ

เฝิงจงเหลียงในตอนนี้แม้แต่จะเสวนากับหล่อนก็ยังไม่อยากจะทำเลยด้วยซ้ำ หรือแม้แต่คนในตระกูลเฝิงเองก็คงอยากที่หล่อนจะสามารถเข้าถึงได้ ยังมีหน้ามาบอกว่า ‘ฝากตัวเองมาทักทาย’ งั้นหรือ น่าไม่อาย!

เจียงเซ่อเปิดกระเป๋าที่อยู่ในมือออก ต่อหน้าเฝิงหนาน เธอหยิบกำไลวงหนึ่งออกมา แล้วค่อยๆ สวมลงบนข้อมือของตนเอง จากนั้นก็ยิ้มตอบเฝิงหนาน

“อาอี้มาร่วมงานเป็นเพื่อนฉันน่ะค่ะ”

ทันทีที่เธอหยิบกำไลข้อมือออกมา มันก็ลบความคิดก่อนหน้านี้ที่ว่าเผยอี้พาเธอเข้ามาในงานนี้ได้อย่างทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของเฝิงหนานค่อยๆ ฝืดลง และเผลอพูดออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เธอก็ถูกรับเชิญมาในงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วยอย่างนั้นหรอ?”

คำพูดของเฝิงหนานดึงดูดสายตาแขกคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ไม่น้อย แม้แต่นักข่าวทั้งคนที่มาจากสำนักข่าวหัวเซี่ยจือซวิ้นเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ ว่าเจียงเซ่อจะได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงครบรอบของ Steinway ด้วย

เธอเป็นคนในวงการบันเทิง อีกทั้งยังเป็นนักแสดงหลักอีกด้วย และไม่ได้ดูมีความเกี่ยวข้องอะไรเลยกับงานเลี้ยงครบรอบ Steinway แบบนี้ แต่ที่ข้อมือของเธอกลับมีกำไลที่ทาง Steinway แจกให้กับแขกที่ได้รับเชิญอยู่ด้วย และมันก็แน่นอนแล้วว่าเธอไม่ได้อาศัยให้เผยอี้พาเข้ามาในงาน

“ใช่ค่ะ”

เจียงเซ่อสวมกำไลลงบนข้อมือของตนเอง จากนั้นก็คล้องแขนเผยอี้เหมือนเดิม เหมือนต้องการให้เฝิงหนานได้เห็น

“ครั้งก่อนที่ฉันถ่ายหนังเรื่อง ‘99 Love Letter’ ได้รู้จักกับคุณกัวผู้ช่วยส่วนตัวของคุณ Chapman ที่เป็นคนดูแล Steinway เพราะงั้นพอมีงานครบรอบสามสิบปีของทาง Steinway คุณ Chapman เขาก็เลยส่งบัตรเชิญมางานนี้ให้ฉันค่ะ”

คราวนี้เจียงเซ่อยิ้มคิกคัก แต่คำพูดเหล่านั้นกลับทำให้เฝิงหนานต้องกัดฟันแน่น ตอนที่ตัวเองได้นับบัตรเชิญมางานนี้ก็รู้สึกดีอยู่หรอก แต่พอตอนนี้ได้มาเห็นว่าเจียงเซ่อเองก็โดนเชิญมาเหมือนกัน มันก็เหมือนว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันหายไปหมด

Chapman คือคนที่มีหน้าที่ดูแลแบรนด์ Steinway ในหัวเซี่ย เขาจำเจียงเซ่อได้ แถมยังมีการส่งการ์ดเชิญมางานให้กับเธออีก ก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเขากับเธอรู้จักกันในระดับหนึ่ง

เมื่อลองเทียบกันแล้ว เฝิงหนานที่ถึงแม้จะได้รับบัตรเชิญเหมือนกัน แต่ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน Chapman ก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำ และการที่เธอสามารถมาเข้าร่วมงานในครั้งนี้ได้ นั่นก็เพราะว่ามีฐานะของวิสาหกิจจงหนานเท่านั้นเอง

ใครกันที่สำคัญ ใครกันที่มีผลประโยชน์มากกว่า แค่ดูจากตรงนี้ก็น่าจะรู้แล้ว

อวี๋จือหลินที่ได้ยินแบบนั้นก็ลิ้นจุกปาก ความสำคัญของเจียงเซ่อ นี่ถือว่ามีมากกว่าใครๆ ในแวดวงดาราสาวแล้ว ถึงขั้นได้นับบัตรเชิญจาก Chapman ที่เป็นถึงนักธุรกิจที่ได้รับความนิยม นี่มันหมายถึงว่า เจียงเซ่อมีจะโอกาสได้ร่วมงานกับทาง Steinway และทำลายความคิดที่ว่าแต่ไหนแต่ไรมา Steinway ไม่จำเป็นต้องมีพรีเซนเตอร์อย่างนั้นไม่ใช่หรือ?

สิ่งที่คนอื่นพอจะคิดถึงได้ เฝิงหนานเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ในโลกก่อนหน้านี้ Steinway นั้นไม่เคยมีพรีเซนเตอร์เลยสักคน

พอคิดถึงตรงนี้ขึ้นมาได้ เฝิงหนานก็รู้สึกเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่พอหล่อนลองคิดๆ ดูอีกทีแล้ว ตั้งแต่ที่เกิดใหม่มา เรื่องหลายๆ เรื่องก็ไม่เคยเป็นเหมือนกับในอดีตที่หล่อนจำได้เลยสักนิดเดียว

สีหน้าของเฝิงหนานเริ่มไม่ค่อยดี สายตาหลายคู่กำลังจ้องมองมา หล่อนรู้สึกได้เลยว่าการพยายามปั้นหน้ายิ้มต่อไปมันยากแค่ไหน

“มีอะไรงั้นหรือ?”

เซี่ยเชาฉวินที่กลับมาจากการไปเข้าห้องน้ำเดินออกมาก็เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจียงเซ่อก็คือเฝิงหนาน หล่อนมองเจียงเซ่อแวบหนึ่ง เจียงเซ่อจึงตอบกลับไป

“พอดีเจอคุณเฝิงน่ะค่ะ เลยได้ทักทายกันนิดหน่อย”

เธอควงแขนเผยอี้เอาไว้ จากนั้นก็ยกอีกแขนขึ้นคล้องเซี่ยเชาฉวิน เซี่ยเชาฉวินเองก็ก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อทักทายเฝิงหนาน และหันหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว

เผยอี้ที่ไม่ได้อยากจะเห็นหน้าเฝิงหนานสักเท่าไหร่ ก็ทำเป็นยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วเอ่ยขึ้น

“ไปกันเถอะครับ”