webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

385

บทที่ 385 ไปรับ

ทั้งตัวดาราและแบรนด์สินค้าใหญ่ๆ ต่างก็ต้องมีการศึกษากันและกัน การรู้จักกันในแต่ละขั้นนั้นสื่อถึงความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันออกไปด้วย

อย่างเจียงเซ่อที่เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของกังหัว นอกจากมีการเซ็นสัญญาและได้รับค่าจ้างแล้ว ก็ยังมีการถ่ายแบบและถ่านโฆษณา และยังมีสินค้าบางตัวที่สามารถนำไปใช้ได้เลย

แต่ถ้าดาราและตัวสินค้าเป็นแค่ร่วมงานกันเฉยๆ ถึงแม้ว่าจะได้เซ็นสัญญา แต่ตัวสินค้าที่นำไปใช้ได้ มีการตกลงซึ่งกันและกัน มีตัวสัญญา แต่จะไม่มีค่าตอบแทน

การผูกไมตรีเป็นพันธมิตรที่ดีกับทางแบรนด์สินค้านั้น ไม่มีค่าตอบแทนและไม่มีสินค้าใดๆ ให้ แต่ถ้าเจียงเซ่อได้เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับ Givenchy ละก็ กิจกรรมต่อไปในอนาคต ก็ยังสามารถหยิบยืมสินค้าตัวใหม่ของ Givenchy ได้

เจียงเซ่อเองก็เข้าวงการมาสามสี่ปีแล้ว ยอดบัตรหนังก็ดี ชื่อเสียงก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหนังที่เธอแสดงในแต่ละเรื่องก็ได้กระแสตอบรับดีๆ และโดดเด่นทั้งนั้น แต่ยังขาดการเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าแนวหน้าก็เท่านั้น

ถ้าหลังจากหนังเรื่อง ‘Evil’ ที่เธอแสดงกับหลิวเย่ออกฉายแล้ว นั่นก็ยังสามารถช่วยเพิ่มฐานะของเธอได้อีกมาก แต่จ้าวร่างนั้นตัดสินใจที่จะเอาเรื่อง ‘Evil’ เข้าชิงรางวัลในงานหนังภาพยนตร์ที่ประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นหนังจะไม่เข้าฉายในตอนนี้ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องพยายามด้วยตัวเองไปก่อน

ถ้าได้เซ็นสัญญากับทาง Givenchy จริงๆ มันก็จะส่งผลดีต่อการที่จะเข้าถึงแบรนด์สินค้าอื่นๆ ของต่างประเทศในอนาคตได้ และมันก็ง่ายที่จะทำให้เธอเป็นที่สะดุดตาของเหล่าแบรนด์เนมหรูหราต่างๆ

อย่างไรก็ตามเจียงเซ่อเองก็เข้าวงการมากว่าสามสี่ปีแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังเป็นดาราสาวที่ไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าอะไรมากมาย แต่สิ่งที่ควรจะรู้และเข้าใจก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง

ดาราสาวหลายๆ คนต่างก็พากันแย่งชิงที่จะเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ที่มีชื่อเสียง อย่างน้อยก็ไม่พ้นพวกเครื่องสำอาง เสื้อผ้า นาฬิกาข้อมือและเครื่องประดับ

แบรนด์เครื่องสำอางที่มีชื่อเสียงมักจะถูกเหล่าดาราสาวๆ เลือกมากที่สุด โอกาสที่จะได้ร่วมงานกันก็มีความเป็นไปได้มากกว่าด้วย แต่ถ้าเป็นพวกเสื้อผ้าก็จะยากไม่น้อย

ก็เหมือนกับ Givenchy ที่เป็นถึงแบรนด์เนมของฝรั่งเศส การที่เซี่ยเชาฉวินสามารถทำให้เจียงเซ่อได้เซ็นสัญญากับทางนั้นได้ เจียงเซ่อก็พอจะรู้แล้วว่าหล่อนนั้นต้องพยายามไปมากแค่ไหน

“แล้วเมื่อคืนอ่านบทหนัง ‘PROOF FO LIFE’ จบไปแล้ว รู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”

คุณหวงยกอาหารเช้าที่ปรุงเสร็จแล้วมาเสิร์ฟ ทั้งสองคนทานไปด้วย และคุยเรื่องงานไปด้วย

ถ้าพูดตามที่ใจคิด เจียงเซ่อต้องยอมรับเลยว่าบทหนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ เป็นบทหนังที่ดีเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะตัวละครเฉิงเจี้ยนกั๋วในเรื่องที่ได้หลิวเย่มาร่วมงานแล้วด้วย

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้ร่วมงานกัน นิสัยและการแสดงของหลิวเย่ เจียงเซ่อเองก็พอจะมองออกและเข้าใจแล้ว เธอนึกถึงคำแนะนำของเผยอี้ขึ้นมา แล้วพยักหน้า

“ก็ดีนะคะ ฉันว่าฉันจะรับเล่นมันค่ะ”

พอเธอพูดจบ เซี่ยเชาฉวินที่กำลังจะยกกาแฟขึ้นดื่มก็ชะงักไป เจียงเซ่อจึงเงยหน้าขึ้น

“มีอะไรงั้นหรือคะ?”

เซี่ยเชาฉวินยิ้มเล็กๆ แล้วยกกาแฟขึ้นดื่ม

“ฉันแค่นึกว่าเธอจะปฏิเสธน่ะ”

“ทำไมล่ะคะ?” เจียงเซ่อที่ได้ยินหล่อนพูดแบบนั้น ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ทั้งสองคนก็ไม่ได้โง่ ต่างก็รู้ว่าการที่ได้เล่นหนังของจางจิ้งอานนั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ของเจียงเซ่อ แล้วโอกาสดีๆ แบบนี้ก็ไม่รู้ว่ารอจนอีกเมื่อถึงจะวนมาอีก “ทำไมถึงคิดว่าฉันจะปฏิเสธมันล่ะคะ?”

ที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะว่าเกิดข้อผิดพลาดจากเถาเฉิน บทหนังเรื่อง ‘PROOF OF LIFE’ ก็คงไม่ตกมาถึงมือเธอ กับฐานะของเธอนั้น การที่อยากจะได้ร่วมงานกับจางจิ้งอาน อย่างน้อยก็ยังต้องสร้างผลงานที่มีชื่อเสียงอีกมาก ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้คอนเนคชั่นหรือไม่ก็เงินจำนวนมหาศาล ก็เหมือนกับเฝิงหนานครั้งที่แล้ว เอาเงินไปลงทุนให้กับกองถ่ายหนัง แต่บทที่ได้รับเล่นก็ยังเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้นเอง

“เมื่อวานตอนที่แคสติ้ง ท่าทางของเธอดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”

เซี่ยเชาฉวินเพิ่งจะรู้จักเธอแค่ระยะเวลาสั้นๆ แค่ปีสองปีเอง แต่ตอนไหนที่เธอกำลังแสดง ตอนไหนที่เธอกำลังรู้สึกอยู่จริงๆ หล่อนเองก็พอจะมองออกอยู่บ้าง

ตอนนั้นหน้าของเธอซีดเผือด ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ถ้าหากว่านั่นคือการแสดง ก็ขอบอกได้เลยว่าสมจริงสมจังมาก”

พอหล่อนพูดถึงตรงนี้ เจียงเซ่อที่กำลังกินข้าวอยู่ก็ชะงักไปในทันที ส่วนเซี่ยเชาฉวินเองก็รู้จักที่จะวางตัวจึงไม่ได้ถามอะไรต่ออีก

แต่ถึงอย่างไรสำหรับหล่อนแล้ว ไม่ว่าขั้นตอนมันจะเป็นอย่างไรเธอไม่สน เพราะสุดท้ายแล้วที่เจียงเซ่อยินยอมที่จะรับเล่นหนังของจางจิ้งอาน มันก็เป็นผลลัพธ์ที่หล่อนต้องการอยู่แล้ว

หล่อนจึงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “อย่างนั้นถ้าเธอตกลงที่จะรับเล่นหนังเรื่องนี้แล้ว หลังจากวันงานครบรอบ Steinway เธอก็จะต้องเข้ารับการอบรมที่จางจิ้งอานได้จัดเตรียมไว้ให้ทันที เดี๋ยวฉันจะบอกกับเธออีกทีก็แล้วกัน” จากนั้นหล่อนก็ถามถึงเรื่องที่เจียงเซ่อไปเรียนเต้นบัลเล่ต์และเปียโน และตรงจุดนี้เจียงเซ่อก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว

เปียโนเธอเองก็เล่นมันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่หลังจากที่มาเกิดใหม่ก็เริ่มที่จะไม่ชินไปบ้างเพราะห่างหายจากมันมาหลายปี

แต่อย่างน้อยเธอก็ยังจำตัวโน้ตและเทคนิคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี พอได้ให้เวลากับมันแค่ไม่กี่เดือน พอเริ่มจับอารมณ์ได้หลังๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

ส่วนการเต้นบัลเล่ต์ก็เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ได้เรียนพื้นฐานมาแล้ว ตอนเริ่มใหม่ก็ยากลำบากอยู่ไม่น้อย แต่ก็พอจะจับทางได้บ้างแล้ว ส่วนเรื่องข้อมูลต่างๆ ในงานเลี้ยงครบรอบของ Steinway นั้น เธอเองก็ท่องจำมันทั้งหมดแล้ว พอนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เจียงเซ่อก็เงยหน้าถามเซี่ยเชาฉวิน

“พี่เชาฉวินคะ วันนี้ฉันขอลาหยุดหนึ่งวันนะคะ”

เซี่ยเชาฉวินไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็เหลือบตามองเธอเป็นนัยๆ และรอดูว่าเธอตจะตอบว่าอะไร

“พอดีเมื่อคืนแฟนของฉันโทรมาน่ะค่ะ วันนี้เขาได้ลาหยุดกลับมาตี้ตู” เซี่ยเชาฉวินก็พยักหน้าตกลง

เที่ยวบินของเผยอี้จะมาถึงตอนหนึ่งทุ่มกว่า เจียงเซ่อได้ไปถึงที่สนามบินก่อนแล้วครึ่งชั่วโมง พอแค่เขาเดินออกมาเจียงเซ่อก็สังเกตเห็นเขาแล้ว

ท่ามกลางฝูงคน เผยอี้ตัวสูงใหญ่จนทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆ คน เขาสวมแว่นดำ ทำให้ปกปิดใบหน้าที่งดงามได้รูปเอาไว้ได้ครึ่งหนึ่ง เรือนผมถูกตัดจนสั้นเกรียน สีผิวดูแทนขึ้นแต่ก็ยังดูดี กล้ามเนื้อลอนดูเข้ากันได้ดีกับเสื้อ T เชิ้ตแขนสั้นสีเขียวทหารพอดีตัวจนบางทีก็แอบแนบเนื้อ

ขาของขาวยาวสูง มือข้างหนึ่งลากกระเป๋าเดินทาง อีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกง ท่าทางดูดีน้อยเสียที่ไหน ตอนที่เดินออกมาก็ยังมีสาวๆ คนเดินตามหลังเขาต้อยๆ บางคนก็ยกมือถือขึ้นมาแอบถ่ายรูปด้วยซ้ำ ดูท่าว่าคงคิดว่าเขาน่าจะเป็นดาราของค่ายไหนสักค่ายแน่ๆ

เจียงเซ่อไม่ได้ลงจากรถ มองผ่านกระจกไป เธอก็ยังเห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเผยอี้ดูหงุดหงิด สาวๆ หลายคนยังเอาแต่เดินตามหลังเขา แถมมีบางคนถึงขั้นเดินมาอยู่ข้างหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ ทำให้เขาออกจากประตูลำบาก

แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะหยุดเดิน เอาแต่จ้ำอ้าวไปข้างหน้าไม่หยุดเลยด้วย สาวๆ หลายคนที่คิดอยากจะรั้งเขาเอาไว้เพื่อถามว่าเป็นดาราของค่ายไหนกัน พอเจอเขาทำแบบนั้นใส่ก็พากันตกใจ แล้วรีบหลบทางให้เขาทันที แต่ก็ยังพึมพำไล่หลังมา

“หล่อจังเลยอ่ะ”

เจียงเซ่อที่เห็นแบบนั้น ก็คิดจะลงจากรถ แต่สายตาของเผยอี้ก็หันมามองพอดี พอเห็นว่ามันเป็นรถที่คุ้นตา เขาก็เดินเข้าไปหาอย่างไม่ลังเลทันที

วันนี้เจียงเซ่อขับรถส่วนตัวมารับเขาเองคนเดียว โม่อานฉีไม่ได้มาด้วย พอเขาเดินมาถึงข้างๆ ตัวรถ ก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดประตูรถในทันที แต่เลือกที่จะเคาะๆ กระจกก่อน เจียงเซ่อเองก็ปลดเบลท์ออก แล้วเปิดประตูลงจากรถทันที

ข้างนอกคนก็ไม่ใช่น้อยๆ ทันทีที่เจียงเซ่อลงจากรถ สาวๆ ที่เดินตามหลังเผยอี้มาก็สังเกตเห็นเธอได้ในทันทีเช่นกัน

รูปร่างของเธอสูงยาวเข่าดี แต่พอยืนคู่กับเผยอี้แบบนั้นแล้ว กลับดูตัวเล็กเป็นลูกนกไปโดยปริยาย เธอสูงเท่าไหล่เขาพอดี เหมือนว่ากำลังถูกเขากอดจนจมอกเลย ภาพท่าทางสนิทสนมใกล้ชิดของทั้งสองคนถูกกลุ่มสาวๆ ที่ตามเผยอี้มาถ่ายเอาไว้แล้ว หญิงสาวคนหนึ่งชะงักไป และจำได้ว่าผู้หญิงที่อยู่ในรูปก็คือเจียงเซ่อ หล่อนอ้าปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง

“เจียงเซ่อนี่!”

และเหมือนว่าคำพูดของหล่อนจะเป็นที่ดึงดูดไม่น้อย อีกหลายคนที่ตามเผยอี้มาเหมือนกันจึงพากันกรีดร้องขึ้นมาบ้าง จนเสียงเหล่านั้นกลายเป็นที่สนใจของผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่อยู่ในสนามบิน ทันทีที่ได้ยินชื่อ ‘เจียงเซ่อ’ ขึ้นมา คนไม่น้อยก็พากันหันหน้ามามอง