webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

380

บทที่ 380 ข้อมูล

ในคืนวันนั้นหลังจากที่เจียงเซ่อจัดการเรื่องของตัวเองเรียบร้อยแล้ว โม่อานฉีก็ขับรถไปจอดรออยู่ที่โรงจอดรถ เธอเพิ่งจะผ่านการบำรุงดูแลผิวพรรณร่างกายมา ผิวกายของเธอจึงมีแต่กลิ่นหอมติดเต็มไปหมด เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าครามตัวใหญ่ ตรงชายเสื้อผูกมัดกันเอาไว้ ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์รัดรูป ทำให้ได้เห็นเรียวขาที่ยาวสวยของเธอ ผิวของเธอดูขาวราวกับหยกมันแพะ โม่อานฉีเห็นแล้วก็อิจฉาไม่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปหนีบเข้าที่เอวของเธอ ก่อนจะเปรียบเทียบขึ้นมา

“เอวเธอนี่เล็กจริงๆ เลย ก่อนหน้านี้หลิวลี่จื้อวัดให้ด้วยนี่ มันเล็กแค่ห้าสิบแปดเซนเองใช่ไหม?” ห้าสิบแปดเซนนี่มันก็แค่หนึ่งฉื่อเจ็ด*เท่านั้นเอง ขนาดเท่านี้ก็ถือว่าเอวเล็กบางมากแล้ว โดยเฉพาะกับเธอที่ออกกำลังกายทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ผอมแห้งอะไร พอใส่กางเกงยีนส์รัดรูปแบบนี้แล้ว บวกกับสะโพกและขายาวๆ ของเธอ ก็ยิ่งทำให้เอวเธอดูเล็กลงไปอีก

ตอนที่โม่อานฉีพูด ก็อดไม่ได้ที่จะเอามือมาลูบเอวตัวเองบ้าง เอวของหล่อนถ้ามองในมุมมองของคนทั่วไปก็คงไม่ได้ดูแย่อะไร แต่ยังไงก็ยังเทียบไม่ได้กับเรือนร่างและใบหน้าของเจียงเซ่อที่ได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดีแน่ๆ

ในทุกๆ วันเจียงเซ่อจะต้องใช้เวลาไปกับการเข้าไปบำรุงผิวพรรณประมาณเกือบสามชั่วโมง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาที่จะต้องไปเรียนเต้นรำและทำอย่างอื่นอีก เวลาวันๆ หนึ่งของโม่อานฉีก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว กลับไปถึงบ้านสิ่งที่อยากจะทำเป็นอย่างแรกก็คือทิ้งตัวนอน และขี้เกียจที่จะขยับตัวทำอะไรแล้ว

ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกนิดหน่อย โม่อานฉีก็เปิดประตูให้เธอ แล้วชี้ๆ ไปที่เบาะหลัง

“ตอนที่เธอเข้าไปทำ SPA ฉันก็ไปส่งคุณเซี่ยที่บริษัทมา” หล่อนหยิบน้ำแร่ที่อยู่ในรถขึ้นมาแล้วเปิดฝายื่นให้เจียงเซ่อ “ทางผู้กำกับจางได้ติดต่อมาหาทางประธานลัวเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ได้ส่งข้อมูลหนังในครั้งนี้มาให้ด้วย คุณเซี่ยฝากมาบอกว่าให้เธอรีบๆ อ่านมันให้จบแล้วฟีดแบคกลับไปด้วย”

เจียงเซ่อมองดูซองเอกสารหนาๆ ที่ตั้งอยู่บนรถนั่น บนนั้นไม่มีตัวหนังสืออะไรเขียนเอาไว้ พอเปิดปากซองดูแล้ว ข้างในก็มือเอกสารข้อมูลที่ถูกแบ่งเนื้อหามาเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลโดยรวมของตัวละครต่างๆ และเนื้อเรื่องความสัมพันธ์ได้ถูกทีมงานจัดแจงมาอย่างดีแล้ว และแบ่งแยกหัวข้อเอาไว้อย่างแตกต่างกันออกไป

ตัวบทหนังถูกเย็บเข้าเล่มมาอย่างดีแล้ว บนหน้าปกของมันมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ว่า ‘PROOF OF LIFE’

วินาทีที่ได้เห็นชื่อเรื่อง ใจของเจียงเซ่อถึงได้ค่อยๆ สงบลงจริงๆ

อย่างไรเสียก็เดินมาจนถึงจุดนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรหนังเรื่องนี้เธอก็จะต้องรับเล่นเอาไว้ เธอยกน้ำขึ้นดื่มจดหมดไปครึ่งขวด หมุนปิดฝาแล้วนำไปตั้งไว้ที่เบาะหลัง จากนั้นก็หยิบบทหนังที่มีชื่อเรื่องว่า ‘PROOF OF LIFE’ ขึ้นมาดู

เนื้อเรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นจากอาชญากรคนหนึ่งที่กำลังจะลักพาตัวลูกสาวของคนที่ชื่อถังเหว่ยหัวไป แค่ได้อ่านการเปิดเรื่อง ทั้งตัวของเจียงเซ่อมันก็เย็นไปหมด คิ้วขมวดเข้ากันอย่างไม่รู้ตัว

เธอน่าจะสงสัยและคิดว่ามันมีอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนที่อยู่ในสำนักงานของจางจิ้งอาน และจางจิ้งอานก็ขอให้เธอลองแสดงเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังถูกลักพาตัว เธอเองก็น่าจะตื่นตัวและรู้ตั้งแต่ตอนนั้น

แต่เป็นเพราะว่าเอาแต่คิดว่าอยากจะร่วมงานกับจางจิ้งอาน ทำให้เธอมองข้ามและลืมที่จะสนใจเรื่องนี้ไป หรือไม่ก็คงเป็นเพราะว่าในใจลึกๆ ของเธอเองก็กำลังคาดหวังว่าจะได้โอกาสนี้มา จึงไม่ได้มีกะจิตกะใจจะไปคิดพิจารณาถึงเรื่องเหล่านี้อีก

ได้อ่านไปแค่ตัวเริ่มเรื่อง เธอก็ไม่อยากจะเปิดอ่านมันต่อแล้ว โอกาสแบบนี้มันหาได้ยากจริงๆ หรือว่าจะต้องมายอมแพ้ตรงนี้งั้นหรือ?

ตอนนี้ในใจของเธอกำลังสับสนเป็นอย่างมาก และไม่ทันได้สนใจสิ่งรอบๆ ข้าง

“เซ่อเซ่อ เซ่อเซ่อ......”

เสียงเรียกของโม่อานฉีปลุกเธอให้ได้สติขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้น โม่อานฉียังคงหันหน้ามามองเธอเป็นระยะๆ

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

รถได้เคลื่อนตัวออกมาจากโรงจอดรถแล้ว แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องเข้ามา บนทางเท้าทั้งสองด้านของถนนมีเหล่าผู้คนที่เพิ่งเลิกงานเดินขวักไขว่กันไปมา เธอยังเอาแต่คิดว่าตัวเองควรที่จะรับเล่นหนังเรื่องนี้ดีหรือไม่

“เปล่าค่ะ”

สีหน้าของเจียงเซ่อซีดเผือด ปอยผมบริเวณหน้าผากเริ่มชื้นเหงื่อไปหมด หลังจากที่ออกมาจากการทำสปาเธอก็ไม่ได้มีการแต่งหน้าเพิ่มอะไร และตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในสำนักงานของจางจิ้งอานแล้ว สีหน้าที่ซีดเซียวของเจียงเซ่อจึงทำให้โม่อานฉีรู้สึกกังวลไม่น้อย

“สีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีเลยนะ หรือว่ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลดีไหม?”

“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ” เจียงเซ่อพิงศีรษะลงบนกระจกรถ แล้ววางบทหนังที่เปิดค้างเอาไว้บนหน้าตัก เธอทำเหมือนว่าตัวเองเพิ่งได้เจอกับเรื่องน่ากลัวอะไรบางอย่างเข้า จนต้องปิดบทหนังที่เปิดไว้อยู่ลงทันที

“แค่รู้สึกหนาวนิดหน่อยน่ะค่ะ ช่วยปรับระดับแอร์หน่อยได้ไหมคะ?”

“เอาสิ”

โม่อานฉียื่นมือไปปรับอุณหภูมิของแอร์ให้สูงขึ้น และลมที่ออกมาจากเครื่องประอากาศก็ไม่ได้เย็นเหมือนตอนแรกอีก แต่เจียงเซ่อก็ยังรู้สึกว่ามันช่างหนาวเย็นอยู่ดี

เธออยากจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง อยากจะโทรไปหาเผยอี้แต่ว่าโม่อานฉียังอยู่ตรงนี้ มีหลายคำพูดที่ไม่สะดวกพอที่จะพูดออกไป

“เดี๋ยวหลังจากนี้ยังต้องไปเรียนเปียโนอีกวิชาหนึ่งนะ” โม่อานฉีมองเธอผ่านกระจกหลัง และคอยสังเกตสีหน้าของเธอด้วย “แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยสบาย หรือว่าวันนี้จะขอลาหยุดก่อนดีไหม”

และเจียงเซ่อก็ปฏิเสธข้อเสนอของหล่อนไป ที่จริงตอนนี้เธอควรที่จะมีสิ่งอื่นมาคอยดึงความสนใจเอาไว้ ถ้าได้ไปเรียนก็คงจะทำให้เธอไม่ต้องไปคอยนึกถึงเรื่องพวกนั้นได้ แบบนั้นน่าจะดีที่สุดแล้ว

หลังจากกลับถึงบ้านในคืนนั้น เวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบจะสามทุ่มแล้ว แต่เธอก็ยังลังเลว่าจะโทรหาเผยอี้ดีไหม

เท่าที่เธอจำได้ น้อยครั้งมากที่เธอจะเกิดความลังเลใจขนาดนี้ เวลาที่เริ่มจะคิดอะไรไม่ออก ก็น้อยครั้งที่จะต้องการหาคนมาคอยแนะนำ

เอาจริงๆ คือเผยอี้เองก็ยังเด็ก ในเวลานี้คนที่เหมาะสมที่สุดก็ควรที่จะเป็นเฝิงจงเหลียง เพราะอย่างไรเสียในตอนนั้นก็เป็นคุณปู่ของเธอที่ช่วยเธอจากพวกโจรเรียกค่าไถ่ เขาอายุมากแล้ว ได้เคยผ่านเรื่องราวอะไรมากมาย และเจียงเซ่อก็มั่นใจอย่างมาก ว่าเขาจะสามารถแนะนำอะไรดีๆ ให้กับเธอได้

แต่คุณปู่ไม่รู้เสียหน่อยว่าเธอคือใคร เขาที่ยังไม่สามารถจำเธอได้แบบนี้ ก็มีบางคำพูดที่ไม่สามารถพูดคุยกับเขาได้

เธอวิ่งอยู่ในบ้านมาประมาณหนึ่งชั่วโมงได้แล้ว กว่าจะออกกำลังกายเสร็จเหงื่อก็ท่วมตัวไปหมด หลังจากอาบน้ำขึ้นไปนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะโทรหาเผยอี้

“เซ่อเซ่อ?”

การที่เธอโทรมาหาเขาก่อนมันทำให้เผยอี้ตื่นเต้นดีใจมากจริงๆ เมื่อตอนบ่ายทั้งสองคนเพิ่งจะได้คุยกันไปหยกๆ เผยอี้จึงคิดไม่ถึงว่าตอนนี้เธอจะโทรมาหาเขาอีกรอบ

“ทำอะไรอยู่เหรอ?” ตอนที่เขาพูดกรอกสายกลับมาก็มีเสียง ‘กุกๆ กักๆ’ ดังแทรกเข้ามาด้วย เหมือนว่ากำลังเก็บของอยู่

“ผมกำลังเก็บสัมภาระน่ะครับ พรุ่งนี้ก็ได้กลับไปแล้ว” พอเข้าพูดจบ ก็หยุดสิ่งที่ทำไปด้วย “ทำไมจู่ๆ ถึงโทรหาผมล่ะ คิดถึงผมล่ะสิ?”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนพูดแบบนี้ แน่นอนว่าเธอจะไม่มีทางตอบอะไรกลับมา หรือไม่ก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปเลยด้วยซ้ำ

แต่วันนี้พอเขาถามออกไป เจียงเซ่อก็ตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

“อื้อ”

และนั่นก็ทำให้เผยอี้รู้สึกเซอไพรส์ไม่น้อย ในขณะเดียวกันก็แอบสงสัยด้วย “เป็นอะไรหรือเปล่าเซ่อเซ่อ?”

“อาอี้ นายจำได้ไหม เมื่อตอนบ่ายที่เราคุยกัน เรื่องหนังของจางจิ้งอานน่ะ?”

เผยอี้ที่พอได้ยินเธอถามขึ้นมาแบบนั้น ก็เดาว่าน่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ “หรือว่าเขาเปลี่ยนใจงั้นหรือ?”

“เปล่า” เจียงเซ่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ พูดขึ้น “อาอี้ หนังเรื่องนี้ มันเกี่ยวกับการลักพาตัว”

และเผยอี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่าลึกๆ ในของของเธอกำลังเป็นอย่างไร

เรื่องที่เคยโดยลักพาตัวไปเมื่อครั้งนั้น สำหรับเจียงเซ่อแล้ว มันก็เหมือนเป็นความทรงจำที่น่าหวาดกลัวและยากที่จะลืมเลือน อยากจะหนีแต่ก็หนีไม่พ้น แล้วจะกล้าไปแตะหรือนึกถึงมันได้อย่างไรกัน

หนังแนวนี้ ระยะเวลาที่เธอจะต้องถ่ายทำ มันก็ง่ายพอที่จะทำให้เธอต้องหวนนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีตแล้ว ทำให้เธอต้องเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งฝันร้ายอีกครั้ง

*หนึ่งฉื่อเจ็ด ปกติแล้วหนึ่งฉื่อจะเท่ากับ 33.3 ซม. หนึ่งฉื่อเจ็ด เท่ากับ 33.3*1.7 เท่ากับ 56.61ซม.