webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

379

บทที่ 379 สายที่ไม่ได้รับ (2)

“ฉันคิดว่า ในชีวิตนี้ทั้งชีวิต จะต้องอยู่แต่ในห้องขังนั้นไปตลอดแล้วเสียอีก จะต้องเจอหน้ากับนักโทษต่างๆ ในทุกๆ วัน ต้องใช้ชีวิตเหมือนกับเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง” ตื่นกี่โมง ได้กินข้าวกี่โมง ทำงานกี่โมง ก็ล้วนแล้วมีนาฬิกาคอยกำกับเอาไว้อยู่เสมอ หล่อนคิดว่าตัวเองจะต้องใช้ชีวิตแบบนั้นไปจนชินชาแล้วเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจียงเซ่อมาช่วยหาทนายความมาให้ และช่วยหล่อนจัดการเรื่องคดีความ อีกทั้งยังช่วยสะสางทางด้านบริษัทจวี้เฟิงบันเทิงให้อีกด้วย และสุดท้ายหล่อนก็ได้อยู่ในเรือนจำอีกแค่ไม่กี่ปี ก็ได้ออกมาแล้ว

“ที่โทรมาหา ก็แค่อยากจะบอกกับเธอเสียหน่อย”

น้ำเสียงของหล่อนมันเบามากจริงๆ และจังหวะการพูดของหล่อนก็ดูไม่ค่อยลื่นไหลเท่าไหร่ เห็นได้ชัดว่าเพราะหล่อนต้องอยู่ในเรือนจำมานาน และหล่อนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับใครอยู่แล้ว

เจียงเซ่อนึกถึงสภาพห้องขังภายในเรือนจำที่ไม่แม้แต่แสงของพระอาทิตย์ส่องเข้าไปถึง นึกถึงภาพที่ตัวเองได้เข้าไปเจอไต้เจียในปีนั้น และนึกถึงตอนที่ตัวเองได้เจอหล่อนในครั้งแรกในโรงเรียนสอนการแสดงตี้ตู ตอนนั้นหล่อนช่างสดใสและมีรอยยิ้มที่สวยงามน่ามอง เสียงถอนหายใจที่กำลังจะถูกพ่นออกไปติดอยู่ที่ปลายลิ้น และโดนกลืนเข้าไปแทบจะทันที

“เธอเป็นอิสระแล้ว”

“นั่นสินะ” เจียงเซ่อไม่ได้ถอนหายใจออกไป แต่กลายเป็นไต้เจียเองที่ถอนหายใจออกมา

“ฉันเป็นอิสระแล้ว”

ประโยคนั้นที่หล่อนพูดออกมาจากปากช่างมีความหมายที่ลึกซึ้ง เพราะงั้นน้ำเสียงของหล่อนจึงฟังดูเร็วขึ้น “ฉันได้บัตรประชาชนของตัวเองคืนมาแล้ว ได้มือถือของตัวคืนด้วย ได้ทุกอย่างที่ฉันเคยปล่อยวางกลับคืนมา เจียงเซ่อ ขอบคุณนะ”

“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกนะ ฉันเคยบอกไปแล้วนี่ ถ้าไม่มีคำแนะนำของเธอในตอนนั้น พวกเราทั้งสองคนก็คงไม่ได้มาเป็นเพื่อนกันเหมือนในทุกวันนี้ และแน่นอนว่าคงไม่เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น” เจียงเซ่อพูดจบ ไต้เจียก็หัวเราะขึ้นมา

“พวกเรายังเป็นเพื่อนกันได้หรือ?”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” เจียงเซ่อที่ได้ยินหล่อนถามแบบนั้น ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย หล่อนจึงพูดขึ้น

“ก็คงมีแค่เธอที่ยังเห็นว่าฉันเป็นเพื่อนอยู่ คนอื่นๆ ต่างก็พากันหลบหน้าไม่กล้ามาคบกับฉันแล้ว”

พอเจียงเซ่อนึกถึงผลกระทบที่หล่อนต้องเจอในตอนนี้ ก็ขมวดคิ้ว

“แล้วเธอคิดที่จะทำอะไรต่อล่ะ?”

“ตอนที่ฉันอยู่ในนั้นก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง อย่างน้อยก็น่าจะประทังชีวิตไปได้ล่ะนะ” ไต้เจียเองก็พอจะรู้อยู่แล้ว เส้นทางของวงการนี้คงอยากที่หล่อนจะเข้าไปได้อีก ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเนี่ยต้านเป็นคนลงมีจัดการให้ ช่วยหล่อนหาทนายความ และช่วยลดโทษให้หล่อน จนหล่อนได้ออกมาจากเรือนจำภายในไม่กี่ปี

แต่เรือนจำหญิงแห่งนั้น หลายๆ คนที่เคยได้เหยียบเข้าไปแล้ว ก็ไม่คิดที่จะไปอีกเป็นครั้งที่สอง

เจียงเซ่อนึกถึงตอนที่ตัวเองได้เห็นใบหน้าที่เหมือนคนได้วิญญาณของไต้เจียที่อยู่มรเรือนจำ หล่อนเพิ่งจะเข้าไปในนั้นได้ไม่ถึงครึ่งปี แต่กลับดูแก่ลงไปมาก

ทั้งๆ ที่จริงแล้วหล่อนเองก็เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถแท้ๆ แต่หล่อนกลับต้องเสียโอกาสในการใช้ชีวิตช่วงที่สดใสที่สุดไป ไต้เจียที่ต้องอยู่ในเรือนจำมานานแบบนี้ รูปร่างหน้าตาที่สวยงามของหล่อนก็คงจะถูกทำลายไปไม่น้อย

ในสถานการณ์แบบนี้ มันยากที่จะหางานที่มีหน้ามีตาได้ แต่ถ้าทำอย่างที่หล่อนพูด ว่าอาศัยความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากในเรือนจำเอา อย่างนั้นก็พอจะมองออกแล้ว ว่าอนาคตของหล่อนจะต้องเป็นอย่างไร

ทั้งสองพูดคุยกันอีกนิดหน่อย หลังจากวางสายไปแล้ว สายตาของโม่อานฉีที่นั่งอยู่หน้าก็เต็มไปด้วยความสงสัย เจียงเซ่อจึงอธิบายไปอย่างง่ายๆ

“เด็กผู้หญิงที่ฉันบังเอิญไปเจอเข้าในเรือนจำหญิงน่ะ เป็นนักเรียนของโรงเรียนสอนการแสดง ฉันเคยติดหนี้เธอเอาไว้ แต่หลังจากที่เธอเซ็นสัญญากับจวี้เฟิงบันเทิงก็เกิดเรื่องขึ้น”

เรื่องนี้เซี่ยเชาฉวินเองก็รู้ พอเจียงเซ่อพูดขึ้นมาแบบนั้น เซี่ยเชาฉวินก็ตอบรับ และดูเหมือนว่าจะไม่ได้สงสัยอะไรในตัวไต้เจียนัก

“พี่เชาฉวินคะ ถ้าพี่บอกว่าฉันยังขาดผู้ช่วยส่วนตัวอีกคน ถ้าเป็นเธอล่ะ มันจะมีผลกระทบอะไรหรือเปล่า?”

เซี่ยเชาฉวินจ้องเธอครู่หนึ่ง “ใช้อารมณ์ตัดสินใจ”

ก็ไม่ได้บอกว่า ‘ได้’ แต่ก็ไม่ได้พูดเหมือนกันว่าไม่ได้ เจียงเซ่อเองก็พอจะรู้นิสัยของหล่อนดี

หลังจากที่โทรหาไต้เจียเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกเธอก็กะว่าจะโทรกลับหาเผยอี้ต่อ แต่ยังไม่ทันที่จะได้กดเบอร์โทรออก สายจากเผยอี้ก็โทรเข้ามาแล้ว น้ำเสียงของเขาดูร้อนใจไม่น้อย

“เป็นอะไรหรือเปล่าเซ่อเซ่อ?”

ตลอดบ่ายที่ผ่านมา เขาติดต่อไปหาเธอตั้งหลายสาย แต่เจียงเซ่อก็ไม่ได้รับ เขาเริ่มคิดว่าเจียงเซ่ออาจจะทำงานอยู่ แต่ผ่านไปตั้งชั่วโมงแล้วลองโทรไปอีกที ก็พบว่าเธอติดอีกสายอยู่ แถมยังคุยกันอยู่ตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง

“โทรหาพี่ทีไรพี่ก็ติดอีกสายอยู่ ทำเอาผมร้อนใจไปหมดแล้ว”

เจียงเซ่ออดไม่ได้ที่จะขำออกมา ก่อนจะอธิบายออกไป

“วันนี้ช่วงบ่ายฉันมีนัดกับจางจิ้งอานน่ะ ต้องคุยกันเรื่องงาน อาอี้” น้ำเสียงของเธอตอนที่เรียกชื่อเผยอี้นั้นติดจะออดอ้อนอยู่เล็กน้อย น้ำเสียงของเธอหวานราวกับน้ำผึ้ง แถมยังลากหางเสียงยาวๆ หวานจนทำเอาเคลิ้มเลยทีเดียว

โม่อานฉีถึงกับต้องมองผ่านกระจกมองหลัง และพบว่าดวงตาคู่นั้นของเธอเคลือบน้ำสุกใส สีแดงที่ค่อยๆ ถูกแต่งแต้มลงบนแก้มทั้งสองข้างของเธอนั้นยิ่งทำให้เธอดูงดงามเข้าไปอีก เวลาที่เธอพูดคุยกับเผยอี้ มักจะไม่เหมือนกับตอนที่เธอคุยกับคนอื่น และตอนนี้เธอก็กำลังเอนหลังไปพิงเบาะนั่งอย่างไม่รู้ตัว เหมือนกับว่ากำลังปล่อยร่างกายตัวเองลง ดูกลายเป็นคนที่ผ่อนคลายสุดๆ ไปเลย

“มีโอกาสที่จางจิ้งอานจะเซ็นสัญญากับฉันในหนังเรื่องใหม่ของเขาล่ะ” ตอนนี้เธอกำลังเริ่มแบ่งบันเรื่องราวของตัวเองให้กับเผยอี้แล้ว และเผยอี้เองก็เริ่มตื่นเต้นดีใจขึ้นมา

“นายจำได้ไหม? ตอนที่เพิ่งจะเซ็นสัญญากับซื่อจี้หยินเหอน่ะ ตอนนั้นพวกเราเจอกันที่ร้านกาแฟข้างๆบริษัท นายเคยบอกว่า จางจิ้งอานกำลังเตรียมตัวกับหนังเรื่องใหม่อยู่ และตอนนั้นเถาเฉินก็ได้ถูกกำหนดให้เป็นนางเอก”

แน่นอนว่าเขาจำได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเธอ เขาจำมันได้ขึ้นใจทั้งนั้น และสามารถตอบกลับได้อย่างรวดเร็ว

“อ้อ ตอนที่บอกให้ลองสืบข้อมูลของจวี้เฟิงบันเทิงด้วยใช่ไหม?”

“อื้อ!” พอได้คำตอบจากเผยอี้แบบนั้น เจียงเซ่อเองก็ดูจะร่าเริงขึ้นมาด้วย พอเธอกำลังจะพูดอะไร สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าโม่อานฉีกำลังมองมาเหมือนกับกำลังได้ดูละครที่แสนสนุกฉากหนึ่งผ่านกระจกหลัง พอรู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังใช้น้ำเสียงแบบไหนคุยกับเผยอี้ ก็เริ่มรู้สึกเกรงใจขึ้นมา เธอชะงักไปครู่หนึ่งจึงรีบนั่งตัวตรง “เอาไว้เซ็นสัญญาเสร็จแล้ว จะค่อยเล่าให้ฟังใหม่นะ”

เธอกะว่ากลับไปถึงบ้านแล้วค่อยโทรหาเขาอีกที แต่ก็ถามไถ่ออกไปว่าทำไมถึงได้โทรเข้ามาหาเธอเยอะแยะขนาดนี้

“นายโทรมาหาฉันตั้งหลายสาย มีอะไรหรือเปล่า?”

“เซ่อเซ่อ ทางกังหัวติดต่อมาหาผมแล้วนะ พวกเขาบอกว่าเจอแบบเพชรที่เหมาะจะทำแหวนของเราแล้ว”

น้ำเสียงของเผยอี้สูงขึ้นเล็กน้อย ดูท่าว่าคงจะดีใจกับข่าวคราวนี้ไม่น้อย

“พวกเขาบอกว่าน่าจะส่งข้อมูลเครื่องเพชรมาที่ตี้ตูได้ภายในอาทิตย์หน้า ผมเองก็ทำเรื่องลาหยุดเรียบร้อยแล้ว ประมาณพรุ่งนี้ผมก็จะกลับไปหาพี่แล้วนะ”

พอเขาพูดถึงเรื่องแหวนขึ้นมา เจียงเซ่อก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่ตัวเองตอบตกลงคำขอแต่งงานของเขาไป เธอยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่ตกลงมาขึ้นไปทัดหูเอาไว้ ฟันขาวกัดลงบนริมฝีปากนิ่ม

ตอนที่ตอบตกลงว่าจะแต่งงานกับเผยอี้ ตอนนั้นถือว่าเป็นอะไรที่กะทันหันมาก แต่พอตอนนี้สงบลงแล้ว เจียงเซ่อก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือรู้สึกว่าตัดสินใจผิดอะไร และกลับรู้สึกว่าตัวเองก็กำลังรอคอยอยู่ด้วยซ้ำไป

ตัวเขาเองก็ดูเหมือนว่าจะมองเรื่องนี้ไปไกลเสียยิ่งกว่าเจียงเซ่อเสียอีก เขาพูดถึงเรื่องรูปแบบของแหวนขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะคุยผ่านโทรศัพท์ ถึงจะฟังไม่ค่อยถนัดนัก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เจียงเซ่อต้องเสียอารมณ์เลยแม้แต่น้อย

“หลังจากที่กลับไปเลือกแบบเรียบร้อยแล้ว เราก็เร่งๆ พวกเขาหน่อย เซ่อเซ่อ รอจนเราได้แหวนมาแล้ว ผมจะสวมมันลงบนนิ้วของพี่เอง”

เธอหัวเราะเบาๆ แล้วตอบกลับไป

“เอาสิ”

พูดคุยกับเผยอี้อยู่อีกครู่หนึ่ง หลังจากที่เจียงเซ่อวางสายไปแล้วโม่อานฉีก็พาเธอมาส่งที่ย่านใจกลางศูนย์รักษาความงาม หลังจากนั้นก็รีบไปส่งเซี่ยเชาฉวินที่บริษัท

เรื่องที่เจียงเซ่อไปเจอจางจิ้งอานในวันนี้ เซี่ยเชาฉวินจะต้องนำมันไปรายงานให้เรียบร้อย