webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

378

บทที่ 378 สายที่ไม่ได้รับ 1

แน่นอนว่าเจียงเซ่อไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว การที่ได้ถ่ายหนังของจางจิ้งอาน โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เธอไม่ได้มีงานอะไรอยู่ในมืออยู่แล้ว ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้มีความคิดจะรับเล่นหนังอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ก็แค่เลื่อนมันออกไปก่อนก็เท่านั้นเอง

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเจรจาและทำความเข้าใจตรงกันแล้ว จางจิ้งอานก็รู้สึกประทับใจกับการนัดเจอพูดคุยกันในครั้งนี้ไม่น้อย เขาพูดคุยกับเจียงเซ่ออีกนิดหน่อย สุดท้ายก็ได้หลินซืออี๋เตือนขึ้นมา ว่าหลังจากนี้ตัวเขาเองยังมีนัดอีก เขายกข้อมือขึ้นดูเวลา ถึงได้รู้ว่าเลยเวลาครึ่งชั่วโมงที่เอาไว้เจรจากับเจียงเซ่อไปนานแล้ว

พอออกมาจากสำนักงานของจางจิ้งอาน แสงแดดข้างนอกแรงจนต้องหยีตาขมวดคิ้ว แต่ดูเหมือนว่าโม่อานฉีจะอารมณ์ดีไม่น้อยเลย เธอถือทั้งกระเป๋าใบเล็กใบน้อยเอาไว้ มือข้างหนึ่งก็ออกแรงเปิดประตูรถให้กับเจียงเซ่อและเซี่ยเชาฉวิน

“ได้ยินน้ำเสียงของผู้กำกับจางแบบนี้แล้ว ดูท่าว่าเซ่อเซ่อคงจะได้รับเล่นบทนี้อย่างไม่มีปัญหาแล้วล่ะนะ”

ตอนที่ให้ลองแสดง โม่อานฉีเองก็แอบลอบมองใบหน้าของจางจิ้งอานอยู่หลายครั้งหลายครา ดูท่าทางเขาจะพอใจกับการแสดงของเจียงเซ่อไม่น้อยเลย อีกทั้งยังพูดถึงเรื่องที่จะเซ็นสัญญากันด้วย โม่อานฉีนึกภาพออกเลยด้วยซ้ำ ถ้าเจียงเซ่อถ่ายหนังของจางจิ้งอานเสร็จแล้วละก็ ต่อไปชื่อเสียงของเธอก็จะก้าวขึ้นไปอีกก้าวดีทีเดียวเชียวล่ะ

ถ้าหากว่าการเซ็นสัญญานั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ตัดเวลาหนึ่งร้อยวันที่จางจิ้งอานจะให้เจียงเซ่อไปเข้ารับการฝึกอบรมแล้ว วันเปิดกล้องถ่ายทำก็น่าจะราวๆ ต้นเดือนตุลาได้

ถ้าพูดถึงขั้นตอนการเริ่มถ่ายทำแล้ว เจียงเซ่อที่เป็นถึงนางเอกของเรื่อง กว่าจะปิดกล้องได้ ก็คงจะเป็นต้นปีหน้าแล้ว

“รอขั้นตอนการตัดต่อใส่เสียงให้เสร็จสมบูรณ์ บางทีอาจจะได้เข้าชิงในงานหนังภาพยนตร์หัวเซี่ยก็ได้นะ เผลอๆ อาจจะได้รางวัลในงานด้วยซ้ำไป”

โม่อานฉีอารมณ์ดีมาก พอพูดถึงตรงนี้ ก็นึกถึงหนังเรื่อง ‘Evil’ ขึ้นมา “นี่เซ่อเซ่อ พอถ่ายหนังของผู้กำกับจางเสร็จแล้ว หนังเรื่อง ‘Evil’ ของผู้กำกับจ้าวก็ถูกส่งเข้าชิงในงานหนังภาพยนตร์ที่ฝรั่งเศสพอดีเลยนะ ถ้าตอนนั้นได้ถูกเรียกชื่อขึ้นมา ก็คงจะดีกว่านี้แน่ๆ”

ถ้าได้รางวัลที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติขึ้นมา สำหรับเจียงเซ่อแล้ว นั่นถึงจะเป็นการได้รางวัลมาจริงๆ

ถ้าหากว่าเธอได้รางวัลการยอมรับจากนานาชาติมาเป็นเครื่องยืนยัน อย่างนั้นการที่เสียโอกาสจากหนังเรื่อง ‘The Lost City’ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียดายอะไรแล้ว ถ้าหากเธอได้มีหน้ามีตาในวงการต่างประเทศบ้าง ในอนาคตก็คงจะมีผู้กำกับมากหน้าหลายตามาขอร่วมงานกับเธอแน่นอน

ที่สำคัญก็คือ ค่าตัวของเธอก็จะพุ่งขึ้นสูงกว่าตอนนี้ไปหลายระดับแน่ๆ ต่อไปก็คงไม่แพ้หลิวเย่ แต่ก็บอกไม่ได้แน่ชัดว่าจะได้ถึงไหน

เจียงเซ่อไม่ได้พูดอะไร เซี่ยเชาฉวินมองโม่อานฉี หล่อนอ้อมไปเปิดประตูอีกด้านหนึ่ง แล้วโยนของในมือลงบนเบาะเก้าอี้นั่ง ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็กลับไปนั่งที่นั่งคนขับอย่างเดิม

ตามฐานะของเจียงเซ่อที่ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อไปในอนาคตงานก็คงจะเยอะกว่านี้ และเธอก็อาจจะต้องมีผู้ช่วยอีกคนเข้ามาแบ่งเบาภาระ

โม่อานฉีเองก็จบมาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่เบื้องต้นดูเหมือนว่าหล่อนทำงานจุกจิกเบ็ดเตล็ดจนน่าเสียดายความสามารถไปหน่อยแล้ว

พอคิดได้แบบนั้น เซี่ยเชาฉวินก็เอ่ยถามขึ้นมา

“ฉันว่าฉันเคยพูดเรื่องนี้กับเธอไปแล้ว ว่าให้เธอลองหาผู้ช่วยอีกสักคนหนึ่ง เธอได้คิดถึงมันบ้างหรือยัง?”

ในอนาคตเจียงเซ่อจะต้องมีงานมากขึ้น สิ่งต่างๆ ที่จะต้องจัดการคงประเดประดังเข้ามาไม่หยุด หน้าที่และความสามารถของโม่อานฉีที่นอกจากการคอยจัดการเรื่องต่างๆ ของเจียงเซ่อแล้ว อย่างพวกเรื่องการดูแลรักษาตัวของเจียงเซ่อ ก็ควรที่จะหาคนที่เหมาะสมคนใหม่ได้แล้ว

เซี่ยเชาฉวินเคยได้พูดเรื่องพวกนี้กับเจียงเซ่อแล้วจริงๆ แต่ช่วงนี้เจียงเซ่อเองก็ยุ่งมากจริงๆ คงไม่มีเวลาที่จะไปจัดการเรื่องพวกนี้เองหรอก

หน้าที่ที่โม่อานฉีต้องจัดการก็เยอะและหนักพอแล้ว นอกจากหล่อนจะต้องคอยติดต่อกับทางบริษัทต่างๆ ให้กับเจียงเซ่อ ไปเจรจาขอหยิบยืมสินค้าจากแบรนด์ใหญ่ต่างๆ คอยจัดตารางงานตารางชีวิตให้กับเธอแล้ว หล่อนก็ยังต้องคอยจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จุกจิกหยุมหยิมทั่วไปของเจียงเซ่ออีก ออกมาจากบ้านทีหนึ่งก็ต้องแบกกระเป๋าทั้งใบเล็กใบใหญ่ ดำรงตำแหน่งเป็นทั้งพี่เลี้ยง คนขับรถและบอดี้การ์ด โม่อานฉีเองก็เคยพูดเล่นๆ เอาไว้แบบนั้น

พอได้ยินเซี่ยเชาฉวินพูดขึ้นมาแบบนั้น โม่อานฉีที่นั่งอยู่เบาะหน้าก็มองเจียงเซ่อผ่านกระจกมองหลัง หล่อนยิ้มและรอคำตอบจากเจียงเซ่อ

เซี่ยเชาฉวินต้องการให้เจียงเซ่อหาผู้ช่วยคนใหม่มาเพิ่ม แต่หน้าที่ที่จะได้รับนั้นไม่เหมือนกับที่หล่อนทำ หน้าที่ที่จะได้รับก็คือการดูแลรับผิดชอบชีวิตประจำวันและการเป็นอยู่ของเจียงเซ่อ คอยถือน้ำกางร่มและถือกระเป๋าตามเจียงเซ่อไปตามกองถ่ายหนัง

ก่อนหน้านี้ เซี่ยเชาฉวินเองก็เคยได้พูดคุยเรื่องนี้กับโม่อานฉีแล้ว หล่อนเองก็ไม่ได้กังวลที่จะต้องสูญเสียหน้าที่ที่จะได้ดูแลเจียงเซ่อไป

เจียงเซ่อเอ่ยถามขึ้น

“พี่เชาฉวินคะ เรื่องพวกนี้ เวลาที่ดาราคนอื่นๆ เขาจะหาผู้ช่วยเพิ่ม เขาจะเลือกคนจากไหนกันหรือคะ?”

ดาราทั่วไปที่จะหาผู้ช่วย ก็ล้วนเลือกจากกลุ่มแฟนคลับที่สนิทกัน เพราะว่าแฟนคลับนั้นรักและประคบประหงมดารามาก และพวกเขาจะคอยดูแลดาราอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อีกทั้งจะคอยปกป้องดาราในทุกๆด้านอีกด้วย

“แต่ว่าฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้เธอทำแบบนั้นหรอกนะ”

เพราะส่วนมากแฟนคลับไม่เคยมีประสบการในการเป็นผู้ช่วยมาก่อน ก็แค่มีความรักต่อตัวดารามากก็เท่านั้นเอง อีกทั้งบางทีก็ดูจะอ่อนไหวง่ายเกินไป ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้มั่นคงได้

“ถ้าหากว่าเธอยังไม่มีใครที่คิดว่าเหมาะสม เดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เองก็แล้วกัน”

แบบนี้คงจะดีที่สุดแล้ว เจียงเซ่อพยักหน้า พอเซี่ยเชาฉวินพูดจบ ก็ถามขึ้นมาอีก

“งานเลี้ยงครบรอบสามสิบปีของ Steinway ข้อมูลที่ฉันส่งให้เธอดูได้อ่านมันไปบ้างหรือยัง?”

เพราะว่าหลังจากที่นัดพูดคุยกับจางจิ้งอานไปแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่เจียงเซ่อจะต้องใช้เวลาหลังจากนี้ในการอ่านบทหนังและทำความเข้าใจกับตัวละครต่างๆ แต่งานเลี้ยงครบรอบสามสิบปีของ Steinway เองก็ใกล้เข้ามาทุกที ถ้าหากว่าตอนนี้เจียงเซ่อยังไม่ได้เริ่มท่องจำข้อมูลละก็ มีหวังว่าอาจจะไม่ทันการ

เจียงเซ่อพยักหน้าเบาๆ

“ตั้งแต่ที่ให้ข้อมูลมาเมื่อวันนั้นก็เริ่มท่องจำไปแล้วค่ะ น่าจะเหลืออีกประมาณหนึ่งในสาม”

ไม่ว่าเธอจะจัดการเรื่องอะไรก็ทำให้เซี่ยเชาฉวินวางใจได้มาโดยตลอด เมื่อเซี่ยเชาฉวินพูดเรื่องสำคัญไปหมดแล้วหล่อนก็ไม่พูดอะไรอีก โม่อานฉีที่นั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วก็ดึงเข็มขัดนิรภัยมารัด ก่อนจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอื้อมไปหยิบกระเป๋าของเจียงเซ่อขึ้นมา

ในกระเป๋ามีมือถือของเจียงเซ่อวางอยู่ในนั้น ก่อนหน้านี้ที่กำลังเจรจาพูดคุยกับจางจิ้งอาน เพื่อป้องกันไม่ให้วอกแวก จึงปิดเสียงมือถือเอาไว้

พอเจียงเซ่อได้กระเป๋ากลับมาแล้ว ก็หยิบมือถือขึ้นมาดู ก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับหลายสายเลยทีเดียว

นอกจากจะมีสายจากเผยอี้ที่ไม่ได้รับห้าสายแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งสายจากไต้เจีย

เจียงเซ่อที่พอเห็นชื่อของไต้เจียโชว์ขึ้นมา ก็ชะงักไปทันที

ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่เธอไปเรือนจำหญิงเพื่อที่จะถ่ายหนังเรื่อง ‘Evil’ จนได้เจอกับไต้เจีย แถมยังขอความช่วยเหลือจากเนี่ยต้านให้เขาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กับเธอ ช่วยหาพยานหลักฐานและทนายความให้กับไต้เจีย และหลังจากที่ปลดปล่อยเธอได้แล้ว หลังจากที่ปิดกล้องเรื่อง ‘Evil’ ไป เจียงเซ่อก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปทางเรือนจำหญิงอีกเลย

พอเห็นว่าไต้เจียโทรมาหาแบบนี้แล้ว เธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนนิ้วไปแตะที่ชื่อของเผยอี้ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะโทรกลับหาเบอร์ของไต้เจียก่อน

“ไต้เจีย?”

เสียงรอสายดังได้สองครั้ง ปลายสายก็รับอย่างรวดเร็ว พอเจียงเซ่อเรียกชื่อไต้เจียออกไป ปลายสายก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงเบาๆ ของไต้เจียตอบ ‘อืม’ กลับมาเบาๆ

“ฉันเอง ฉันได้ออกมาแล้วนะ”

ตอนที่หล่อนพูดคำนั้นออกมา มันเต็มไปด้วยความรู้สึกปลงอย่างบอกไม่ถูก

ทั้งๆ ที่ไต้เจียเองก็ยังอายุน้อย แต่เจียงเซ่อกลับได้ยินเสียงของหล่อนที่ฟังดูหน่วงและเซื่องซึมเหลือเกิน

“เจียงเซ่อ ฉันออกมาแล้วนะ ก่อนหน้านี้ต้องขอบคุณเธอมากๆ ขอบคุณที่ช่วยหาทนายให้ ขอบคุณที่ช่วยหาพยานหลักฐานให้กับฉัน”

น้ำเสียงของหล่อนดูสั่นเครือ ช่วงเวลาที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ หล่อนเก็บกดมันเอาไว้มาตลอด รู้สึกอยู่เสมอว่าเหมือนตายทั้งเป็นแต่ก็ไม่อยากจะยินยอมรับมัน