webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

377

บทที่ 377 บทบาท

เจียงเซ่อไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าจางจิ้งอานและคนอื่นๆ กำลังมองเธออยู่แน่ๆ

ณ ตอนนี้ สติสัมปชัญญะและสัญชาตญาณของเธอกำลังฉุดยื้อกันไปมา

ในสติ เธอรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังแคสติ้งตัวละครหนังอยู่ เรื่องในอดีตมันได้ผ่านไปนานแล้ว และตอนนี้ไม่มีใครที่จะมาทำร้ายเธอได้อีก แต่สัญชาตญาณกลับยังจดจำความเจ็บปวดเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

ในสถานการณ์แบบนี้ ทางการแพทย์เขาเรียกว่า PTSD หรือเรียกง่ายๆ ว่าความเครียดหลังจากเหตุการณ์สะเทือนใจ ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก เธอต้องไปรักษาบำบัดกับจิตแพทย์อยู่เป็นประจำ พอโตขึ้นมาแล้วก็ได้อ่านหนังสือมากมายที่เกี่ยวกับทางด้านนี้

เธอคิดว่าตัวเองได้ลืมเลือนเรื่องราวและความหวาดกลัวที่ตัวเองมีไปแล้วเสียอีก นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว เจียงเซ่อก็คิดว่าการที่ตัวเองจะมาถูกมัดเอาไว้ มันจะต้องผ่านไปและไม่เกิดขึ้นอีก

แต่เมื่อได้กลับมาสัมผัสกับสถานการณ์ที่คลับคล้ายกันในตอนนี้แล้ว เธอก็เพิ่งจะได้รู้ว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นยังคงหลงเหลืออยู่

แต่ว่าเธอไม่ควรที่จะกลัวมันแล้ว ตอนนี้เธอไม่ได้อ่อนแอเหมือนกับตอนเด็กๆ อีกแล้ว เธอค่อยๆ กำมือตัวเองแน่น พยายามเก็บกดความกลัวที่อยู่ในใจของตัวเองลง และค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

ครึ่งหน้าของเธอมีผ้าพันคอปิดเอาไว้ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ปรากฏเด่นชัดออกมา

หัวคิ้วคู่นั้นขมวดเข้าหากัน ดวงตาของเธอเหมือนกับเม็ดอัลมอนด์ที่กลิ้งไปกลิ้งมา ขนตาเรียงตัวเบียดกันแน่น เงาของมันสะท้อนเด่นชัดอยู่ในแววตา มันดูสวยหยาดเยิ้ม แต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอ่อนแอ

ตอนนี้เธอเป็นเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งที่กำลังตกใจกลัว ดวงตาคู่นั้นของเธอมันได้พูดออกมาหมดแล้ว และมันก็มากพอที่จะทำให้เกิดความรู้สึกสงสาร

ในใจของเจียงเซ่อเวลาที่ได้เล่นละคร ทุกอย่างมันปรากฏออกมาผ่านสายตาที่สุกใสคู่นั้นเสมอ ถ้าหากจะบอกว่าการที่เขาให้ลองแสดงคือการสอบล่ะก็ อย่างนั้นคำตอบที่เธอให้มา จางจิ้งอานก็จะให้คะแนนเต็มกับเธอ

มันเหมือนว่าเธอไม่ได้แสดงละครให้ดูอยู่ แต่เหมือนกับว่าเธอกำลังให้อะไรบางอย่างกับจางจิ้งอานแทน เหมือนว่าเขาได้อยู่ตรงหน้าเด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกมัดไว้และกำลังร้องไห้อ้อนวอน

นี่มันน่าหลงใหลเกินไปแล้ว!

จางจิ้งอานพยายามเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ในใจ นี่แหละคือความรู้สึกที่เขาต้องการ

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นเจียงเซ่อแสดงในเรื่อง ‘เกี่ยวกับฉันที่รักเธอ’ สายตาแบบนั้นกับสถานการณ์ในฉากหนัง มันก็สามารถทำให้เขาเอาไปจิตนาการต่อยอดได้อย่างมากมายแล้ว

เอาจริงๆ ตอนที่บอกให้เธอลองแสดงให้ดูในตอนแรก ในใจของจางจิ้งอานเองก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อยเลย มันมีบางอย่าง ที่เขาคิดว่าถึงจะออกมาดีแต่ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะยังต้องดูว่าเจียงเซ่อจะสามารถทำตามในสิ่งที่เขาต้องการได้หรือไม่ด้วย

แต่การแสดงของเธอกลับออกมาดีกว่าที่จางจิ้งอานคาดเอาไว้เสียอีก ในตอนที่เขาบอกให้เธอลองแสดง เธอก็ไม่ได้เกิดความตื่นเต้น และไม่ได้รู้สึกประหม่ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบเลย ไม่มีอะไรที่จะสามารถรบกวนเธอได้ และวินาทีนั้นแววตาของเธอก็เปลี่ยนไปในทันที

กระจกที่อยู่ในห้องประชุม พนักงานที่อยู่ข้างนอก เหมือนว่าเธอจะไม่สนใจและมองข้ามมันไปหมดทุกอย่าง

ในห้องประชุมแห่งนี้ นักแสดงที่เคยได้มาลองแคสติ้ง ณ ตรงนี้ก็ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว เพราะแม้แต่เถาเฉินก็เคยได้ทำมันไปแล้ว

เป็นถึงดาราสาวของซื่อจี้หยินเหอเหมือนกัน จางจิ้งอานก็อดไม่ได้ที่จะเอาการแสดงออกของทั้งสองคนมาลองเปรียบเทียบกันในหัว ทั้งสองคนต่างก็เป็นคนที่มีศักยภาพดีเด่นของซื่อจี้หยินเหอ คนหนึ่งเป็นถึงนางเอกอันดับหนึ่งของซื่อจี้หยินเหอ ส่วนอีกคนเป็นดาราสาวที่เพิ่งจะเข้าวงการมาได้ไม่นาน แต่ก็มีความมุมานะพยายามสูงทีเดียว

และเช่นเดียวกับพวกเธอทั้งสองคนมีผู้จัดการมือทองอย่างเซี่ยเชาฉวินเป็นผู้จัดการส่วนตัว และพวกเธอก็มีรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นสุดๆ

ตอนที่ทั้งสองคนนี้อยู่ต่อหน้าเขา การแสดงออกนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความทะเยอทะยานของเถาเฉินมันเด่นชัดอยู่ในแววตาคู่นั้นของหล่อน มีความมั่นใจและเจ้าเล่ห์สูง และรู้ว่าสิ่งที่ตัวเขานั้นต้องการคืออะไร

ในตอนที่ให้ลองแสดง สิ่งที่จางจิ้งอานขอให้แสดงคือสิ่งเดียวกัน เถาเฉินนั้นมีฝีมือการแสดงที่โดดเด่น และหล่อนสามารถควบคุมและทำการแสดงได้อย่างไร้ปัญหา แทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรให้มากมาย หล่อนก็สามารถแสดงเป็นคนที่กำลังถูกมัดออกมาได้อย่างสมจริงสมจังแล้ว ยังไงในหลายปีที่ผ่านมานี้ เถาเฉินก็ไม่ได้เดินสายบริสุทธิ์มาตลอดอยู่แล้ว

เมื่อลองเปรียบเทียบกันแล้ว เจียงเซ่อเองก็มีความทะเยอทะยาน และเช่นเดียวกันเธอเองก็มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ว่าสายตาของเธอนั้นไม่เหมือนกับเถาเฉิน ในด้านฝีมือการแสดงของเธอ เมื่อลองเทียบกับเถาเฉินแล้วก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเธอยังมีบางจุดที่ยังไม่เพียงพอ

แต่ทว่าในบทบาทนี้ เธอสามารถแสดงความหวาดกลัวบางอย่างออกมาได้

เธอไม่ได้แค่แสดงว่ากำลังถูกมัดอยู่ แต่เธอได้แสดงเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกทำร้ายมาด้วย ที่สำคัญก็คือ เธอสามารถโน้มน้าวให้ทุกคนรู้สึกไปกับเธอได้

ตรงหน้าเจียงเซ่อไม่ได้มีอะไรเลยสักอย่าง แต่ความหวาดกลัวที่สื่อผ่านออกมาจากสายตาของเธอนั้น มันเหมือนสามารถทำให้จางจิ้งอานจิตนาการได้เลยว่า ‘เธอ’ กำลังอยู่ต่อหน้าอาชญากรหลายคนจนทำให้เธอต้องสั่นกลัวขนาดนั้น เธอสร้างสถานการณ์และฉากของตัวเองขึ้นมา เมื่อเทียบกับเถาเฉินแล้ว ถือว่าลึกซึ้งกว่ามาก

การแสดงที่โดดเด่นของเถาเฉิน สำหรับท่าทางและอารมณ์ที่หล่อนสื่อออกมานั้น มันสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหล่อนได้ แต่เมื่อพอมีอะไรมาปิดหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง จนเหลือแค่เพียงดวงตาคู่หนึ่งแล้ว จางจิ้งอานก็คิดว่าเจียงเซ่อเหมาะที่จะเป็นนางเอกในหนังของเขามากกว่า

เขาปรบมือขึ้น เซี่ยเชาฉวินเองก็หันหน้าไปมองเจียงเซ่อ โม่อานฉีและหลินซืออี๋เองก็เข้าไปพยุงเธอขึ้นมา เจียงเซ่อพยายามฝืนยิ้ม แม้แต่จะดึงผ้าที่ปิดหน้าออกก็ลืมไปเลยด้วยซ้ำ

“ผู้กำกับจาง ฉันผ่านแล้วหรือคะ?”

เธอลองแกล้งทำเป็นพูดเล่นๆ ออกไป แต่ตอนที่เธอพูด ความกังวลและความหวาดหวั่นยังคงติดอยู่ในห้วงอารมณ์ มือของเธอมันเย็นราวกับน้ำแข็ง เย็นจนเข้ากระดูก

โม่อานฉีดูเหมือนจะดีใจแทนเธอไม่น้อย แต่คิดว่าเจียงเซ่อกำลังตื่นเต้นกับการแคสติ้ง จึงไม่ได้คิดถึงอะไรอย่างอื่นอีก

“การแสดงของเธอไม่เลวเลยนะ”

จางจิ้งอานพยักหน้า เพราะว่าการแสดงของเจียงเซ่อในก่อนหน้านี้ ทำให้ท่าทางของเขาดูอ่อนลง

พอมีคำยืนยันจากจางจิ้งอาน ก้าวแรกของการที่จะได้ร่วมมือกันก็ถือว่าสำเร็จแล้ว ต่อไปไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็คงจะราบรื่นขึ้นเยอะ

พูดถึงเรื่องค่าตอบแทนของการร่วมงานกันนั้น เซี่ยเชาฉวินจะเป็นคนช่วยเธอจัดการเรื่องนั้นเอง เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะมาคุยกันในวันนี้

ตอนนี้ก็แค่ยืนยันไปก่อนว่าเจียงเซ่อจะได้เป็นนางเอก และจางจิ้งอานก็ได้บอกเงื่อนไขของตัวเองออกมา

“เบื้องต้นภาพลักษณ์และการแสดงของเธอถือว่าดีแล้ว เดี๋ยวรอให้เรื่องทุกอย่างถูกกำหนดเรียบร้อยแล้วจะให้คุณหลินส่งบทหนังตัวสคริปต์และคาแรคเตอร์ของตัวละครต่างๆ ไปให้นะ เธอเองก็พิจารณาดูดีๆ ล่ะ” เขานั่งตัวตรง ผู้กำกับใหญ่ที่เข้าสู่การพูดคุยเป็นการเป็นงานดูจริงจังขึ้นมาก “ถ้าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะรับเล่นหนังเรื่องนี้ หลังจากที่พวกเราตกลงว่าจะร่วมมือกันเรียบร้อยแล้ว ฉันจะขอเวลาจากเธอสักสามเดือน”

พูดคุยกันมาถึงขึ้นนี้แล้ว ยังไงเขาก็ต้องเผยข้อมูลรายละเอียดของหนังออกมาอีกสักหน่อยอยู่แล้ว

“นางเอกของฉันในหนังเรื่องนี้ กำหนดไว้ว่าเป็นหญิงงามชาวเทียนจินที่มีชื่อเสียง” ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียง จะต้องไม่ใช่แค่หญิงสาวที่ร่ำรวยทั่วๆ ไปแน่ๆ “แต่ว่าในเรื่องของบุคลิกลักษณะและท่าทางนั้นมันมีอยู่ในตัวเธอทั้งหมด”

จางจิ้งอานยกน้ำดื่มอึกหนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ

“ความยาวของหนังนั้นถือว่านานพอควร ดังนั้นมีรายละเอียดหลายๆ อย่างที่จะมาเสียเวลาอธิบายไม่ได้ สิ่งที่เธอจะต้องแสดงหลังจากนี้ จะต้องนำไปให้กับคนดูได้สัมผัส ต้องทำให้คนดูเข้าถึงอากัปกิริยาของเธอ ต้องทำให้พวกเขารู้สึกอินกับฐานะและชาติตระกูลของเธอให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเงื่อนไขของฉันคือหลังจากที่เธอเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว เธอจะต้องเข้ารับการอบรมประมาณหนึ่งร้อยวัน”

เขากางนิ้วขึ้นมา แล้วนับให้เจียงเซ่อฟัง

“ในการฝึกอบรมในครั้งนี้ มีทั้งเรื่องประเพณีมารยาท และท่าทางการวางตัวต่างๆ” พอจางจิ้งอานพูดมาถึงตรงนี้ ก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้ามองเจียงเซ่ออย่างพิจารณา ตอนนี้เธอเอาผ้าพันคอออกแล้ว ไม่มีอะไรมาปกปิดใบหน้าของเธออีก ผิวหน้าของเธอเรียบเนียนราวกับกระเบื้อง รอยแดงที่เกิดขึ้นเพราะเช็ดเครื่องสำอางในก่อนหน้านี้จางหายไปแล้ว เขามองดูแล้วพยักหน้า

“นอกจากนี้ ฉันจะให้นักโภชนาการมาควบคุมเรื่องอาหารการกินของเธอให้เหมาะสม เพื่อที่เวลาเธอเข้ากล้อง จะได้ดูโดดเด่นที่สุด แบบนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

เขาเอ่ยเงื่อนไขมามากมายขนาดนี้ มันทำให้เจียงเซ่อได้เข้าใจว่าทำไมเถาเฉินถึงไม่สามารถร่วมงานกับจางจิ้งอานได้สำเร็จ

ที่ชัดเจนที่สุดคือการฝึกอบรมหนึ่งร้อยวัน มันเป็นสิ่งที่เถาเฉินไม่มีทางทำได้แน่นอน แต่ก็เป็นอย่างที่เซี่ยเชาฉวินว่า เธอสามารถทำมันได้