webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

375

บทที่ 375 ผ่าน

ถ้าจะให้ลองเปรียบเทียบดูแล้ว คนที่เป็นผู้กำกับมือใหม่ หรือจะเป็นผู้กำกับที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมาย ถ้าถ่ายหนังที่ออกมาแย่ครั้งหนึ่ง คนดูก็อาจจะยังพอเห็นใจอยู่บ้าง เพราะว่ายังไม่ได้มีความหวังอะไรกับผู้กำกับหน้าใหม่นัก ถ้าถ่ายทำหนังออกมาได้ไม่ดี หลายๆ คนก็จะคิดว่าเป็นหน้าใหม่ทำได้ถึงขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่ใช่ง่ายๆ แล้ว

ในทางกลับกัน จางจิ้งอานนั้นถ่ายทำหนังที่มียอดขายที่ดีมาโดยตลอด คำชื่นชมก็มากมาย คนดูก็จะคิดว่ามันก็ต้องเป็นแบบนั้นไปตลอดแน่นอน

เขาเป็นถึงผู้กำกับใหญ่ของนานาชาติ สร้างชื่อเสียงมาหลายปี มีหนังที่มียอดขายมหาศาลเป็นเครื่องการันตีหลายเรื่อง แค่เขามีพล็อตเรื่องขึ้นมา ไม่ว่าจะผู้ชมคนดูหรือสื่อนักข่าว ก็ต้องให้ความสนใจแก่เขา และแน่นอนว่าต้องคาดหวังกับเขาเอาไว้สูงด้วย

ถ้าหากว่าเขาถ่ายหนังออกมาได้ไม่ดี ทำให้คนดูผิดหวัง และพากันคิดว่าเขานั้นหมดไฟแล้ว

และเพราะว่ามันเป็นแบบนั้น ทำให้จางจิ้งอานต้องให้ความสำคัญกับหนังเรื่องต่อๆ ไปของเขาเป็นอย่างมาก ถึงได้สามารถก้าวมาอยู่ในจุดนี้ได้

เจียงเซ่อนึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ตัวเธอและเผยอี้เพิ่งจะได้รู้จักกันในปีนั้น “ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เซ็นสัญญากับทางซื่อจี้หยินเหอ แต่เคยได้ยินแฟนของฉันพูดว่าคุณกำลังเตรียมการกับหนังเรื่องใหม่”

นับๆ เวลาดูแล้ว มันก็ผ่านมาได้สามปีกว่าแล้ว หนังเรื่องหนึ่ง ต้องเตรียมตัวนานขนาดนี้ และเพิ่งจะได้ฤกษ์มาเริ่มเปิดกล้อง ก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังนั้นมีคนที่ต้องทุ่มเทให้กับงานนี้ไปแล้วกี่คน

เพราะว่าเถาเฉินไปรับเล่นหนังเรื่อง ‘The Lost City’ และเพราะเวลามันติดกันเกินไป ไม่สามารถไปฝึกซ้อมกับกองถ่ายล่วงหน้าสามเดือนตามที่จางจิ้งอานกำหนดไว้ได้ จึงโดนจางจิ้งอานเตะออกจากกองถ่ายไป ถ้ามองจากมุมนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าจางจิ้งอานกำลังเจอข้อผิดพลาดในหนังของตัวเอง

เขาจะไม่ยอมให้เกิดจุดด่างพร้อยเด็ดขาด เขายอมไม่ได้ที่จะเห็นหนังตัวเองมีจุดที่ไม่สวยงาม และที่สำคัญก็คือ เขารับไม่ได้ที่เถาเฉินเมินเฉยต่อหนังของเขาขนาดนี้

พอเจียงเซ่อคิดถึงตรงจุดนี้แล้ว ก็ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดู “ดังนั้นในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าหากว่าตัวฉันไม่ได้มีความสนใจต่อหนังเรื่องนี้จริงๆ ฉันก็คงไม่สามารถรับเล่นหนังเรื่องนี้ได้ เพราะมันจะดูเป็นการไม่ให้เกียรติคุณ และทีมงานทุกคนเอาเสียเลย”

พอเธอพูดจบ จางจิ้งอานก็หรี่ตา แล้วถามออกไป

“งั้นถ้าเธอต้องเสียโอกาสนี้ไป และคนที่ได้โอกาสนี้เกิดโด่งดังขึ้นมาล่ะ?” เขาเว้นระยะไปช่วงหนึ่ง “ถึงตอนนั้นแล้วเธอจะไม่รู้สึกเสียใจใช่ไหม?”

เจียงเซ่อพยักหน้า

“สถานการณ์แบบนั้นก็คงยากที่จะไม่สนใจเลย อย่างไรเสียฉันก็เป็นแค่คนๆ หนึ่ง ที่มีความรู้สึกเหมือนกันค่ะ”

พอเธอพูดถึงตรงนี้ จางจิ้งอานและคนอื่นๆ ในห้องต่างก็พากันหัวเราะออกมา เจียงเซ่อเองก็หัวเราะด้วยเช่นกัน จางจิ้งอานไม่ได้มีท่าทีที่ไม่พอใจต่อเจียงเซ่อ นั่นก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเธอสามารถจับนิสัยของจางจิ้งอานได้

“แต่ฉันคิดว่า การที่ฉันได้ฝึกซ้อมการแสดงของตัวเอง และได้ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ถึงแม้ว่าจะต้องเสียโอกาสนี้ไป แต่สิ่งที่ฉันได้พูดไปก่อนหน้านี้ คุณคิดว่ามันเป็นนิสัยของคนทั่วไปอยู่แล้วหรือเปล่าล่ะคะ?”

จางจิ้งอานเองก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล

“แน่นอน ฉันชอบคำตอบของเธอ”

เจียงเซ่อยิ้ม

“คุณดูสิคะ คุณเองก็เห็นด้วยกับคำตอบของฉัน และคิดว่านั่นก็คงเป็นนิสัยของฉันเอง ดังนั้นไม่ว่าฉันจะต้องเสียโอกาสนี้ไป ฉันก็เชื่อว่าถ้าในอนาคตเราได้ร่วมงานกันอีก คุณจะต้องอยากร่วมงานกับฉันอีกแน่นอน แต่ถ้าหากว่าฉันฝืนบังคับให้ตัวเองเล่นหนังที่ไม่ได้ชอบ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าฉันได้บทๆ นี้แล้ว และได้โด่งดังเพราะบทนี้ ฉันก็เชื่อได้เลย ว่าถ้าต้องมีการร่วมงานในครั้งต่อไป คุณจะต้องอยากจะขอลาไปไกลๆ เพราะจากเหตุการณ์ในครั้งนี้แน่ๆ”

ความหมายของเธอชัดเจนอยู่แล้ว จางจิ้งอานที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ก็ปรบมือขึ้น

พนักงานที่อยู่ในห้องประชุมเองก็ปรบมือด้วย สายตาที่จางจิ้งอานมองเจียงเซ่อนั้นอ่อนโยนลงไม่น้อย

“ฉันคิดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่หลิวเย่อยากจะร่วมงานกับเธออีกครั้งแน่ๆ แถมยังบอกว่าการได้ร่วมงานกับเธอนั้นมันสนุกแค่ไหน”

คำตอบของเจียงเซ่อทำให้จางจิ้งอานเกิดความสบายใจขึ้นไม่น้อย ก็อย่างที่เจียงเซ่อพูด หนังทุกเรื่องเขาต้องใส่ใจและทุ่มเทกับผลลัพธ์ที่จะออกมามากๆ เขาต้องการที่จะให้นักแสดงทุกคนมีความรู้สึกที่ตรงกับตัวละครจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะว่าชื่อเสียงที่จะได้เท่านั้น

“ถ้าหากว่าวันนี้บทที่ฉันเลือกมาวันนี้คือบทตัวประกอบ ฉันก็คงไม่มีทางพูดพร่ำกับเธอมากขนาดนี้” และเขาคงไม่จำเป็นที่จะต้องทดสอบเธอด้วย “แต่เพราะว่ามันคือตัวเอก ก็อย่างที่เธอพูดล่ะนะ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ฉันที่ทุ่มเทให้กับมัน เพราะทีมงานเบื้องหลังของทุกฉากของหนังเรื่องนี้ก็ทุ่มเทและลำบากมาไม่น้อยเลย”

ทุกๆ เรื่องราว ทุกๆ รายละเอียด ก็ล้วนแล้วต้องผ่านการพิจาณามาแล้วหลายครั้งหลายครา

“เจียงเซ่อ การที่เธอแสดงออกแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

พอเขาพูดถึงตรงนี้ ก็ก้มมองนาฬิกาข้อมือ ตั้งแต่ที่เริ่มคุยกันมา ตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบจะครึ่งชั่วโมงได้แล้ว แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้จางจิ้งอานพึงพอใจได้ ก็ถือว่าเวลาไม่ได้สูญเปล่า

เขาหันไปส่งสัญญาณมือให้ผู้ช่วยที่นั่งอยู่ข้างๆ จากนั้นก็หันมาพูดกับเจียงเซ่อ

“เป้าหมายที่นัดเธอมาเจอในวันนี้ ฉันคิดว่าเชาฉวินเองก็คงจะเข้าใจดี”

ตอนที่จางจิ้งอานพูดถึงเซี่ยเชาฉวินขึ้นมา เขาก็เรียกแค่ว่าเชาฉวินเท่านั้น และดูเหมือนว่าเซี่ยเชาฉวินเองก็ชินแล้ว

จุดนี้เจียงเซ่อไม่ได้สงสัยอะไรเท่าไหร่ เพราะอย่างไรก่อนหน้านี้นางเอกของหนังเรื่องใหม่ของจางจิ้งอานก็คือเถาเฉิน และงานต่างๆ ของเถาเฉินในก่อนหน้านี้ ก็ล้วนแล้วมีเซี่ยเชาฉวินเป็นคนดูแลทั้งสิ้น หล่อนเองก็คงจะต้องติดต่อกับจางจิ้งอานมาหลายครั้งแล้ว ทำให้ทั้งสองคนมีความสนิทกันขึ้นมาในระดับหนึ่ง

“เพราะงั้นฉันจึงอยากขอให้เธอตามหลินซืออี๋ ไปที่ห้องแต่งตัวหน่อยนะ” เขาเสยผม “ส่วนเรื่องอื่นๆ เดี๋ยวแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วก็ค่อยว่ากัน”

พอเจียงเซ่อได้ยินดังนั้น ถึงได้ค่อยลอบถอนหายใจออกมา และรู้ว่าตัวเองได้ผ่านการทดสอบก่อนหน้านี้แล้ว แถมยังทำให้จางจิ้งอานรู้สึกประทับใจในตัวเธอได้ด้วย

พอเขาพูด เจียงเซ่อก็ลุกขึ้นยืน ในขณะที่หลินซืออี๋นำทางเธอไปที่ห้องแต่งตัว หล่อนก็ก้มหน้าดูนาฬิกา

“คุณเจียงคะ สำลีเช็ดหน้าและน้ำอยู่ตรงนี้นะคะ” ในห้องแต่งหน้ามีของและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ในการลบเครื่องสำอางมากมาย ส่วนเครื่องประทินผิวไม่ค่อยมีนัก

ตอนที่เจียงเซ่อได้นั่งคุยกับจางจิ้งอานก็ตื่นเต้นมากแล้ว เมื่อกี้ที่นั่งคุยกันไปก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง เธอเหลือเวลาที่จะลองกล้องอีกไม่นาน จะมาเสียเวลาบำรุงไม่ได้แล้ว

ดังนั้นเจียงเซ่อจึงทำแค่ลบเครื่องสำอางออก จากนั้นก็หยิบโฟมล้างหน้ามาล้าง จากนั้นก็เช็ดด้วยโทนเนอร์และครีมบำรุง เสร็จแล้วก็บอกกับหลินซืออี๋

เธอไม่ได้แต่งหน้ามาหนา เพราะงั้นตอนที่ลบเครื่องสำอางออกจึงไม่ได้ยุ่งยากอะไร รวมๆ ล้างหน้าและเก็บกวาดก็ใช้เวลาไปแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เสร็จเร็วจนแม้แต่หลินซืออี๋เองก็ยังแปลกใจ

แต่ผู้ช่วยของจางจิ้งอานคนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีที่แปลกใจอะไรนานนัก อาการเผลอของเธอมันเพียงแต่ไม่กี่วิเท่านั้น และกลับมาอยู่ในท่าทีที่สงบเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมา แล้วบอกให้เจียงเซ่อตามตัวเองออกไป

พอกลับมาทีห้องประชุมอีกครั้ง จางจิ้งอานก็สำรวจเจียงเซ่อ และดูเหมือนว่าจะเข้มงวดขึ้นด้วย

ใบหน้าของเธอใสสะอาดมาก มันไม่มีเครื่องสำอางใดๆ อยู่บนใบหน้าของเธอแล้ว และบางทีอาจเพราะรีบลบหน้าเกินไป จึงทำให้ต้องออกแรงเยอะไปหน่อย ทำให้บนผิวของเธอมีรอยแดงๆ อยู่ด้วย

แต่เมื่อลองดูจริงๆ แล้ว เธอก็ดูไม่ได้แตกต่างจากตอนที่แต่งหน้ามากนัก กลับกันเมื่อเทียบกับตอนที่แต่งหน้าแล้ว หน้าสดของเธอก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ

เป็นถึงดาราศิลปิน เจียงเซ่อถือว่ามีการดูแลรักษาใบหน้าและเรือนร่างที่ดีมากทีเดียว ผิวของเธอดีมาก ขาวสะอาดไม่มีริ้วรอยใดๆ ดวงตามีประกายชุ่มชื้น ดูสดใสและสะอาด