บทที่ 373 เป็นจริง
เจียงเซ่อเลิกคิ้วขึ้น แล้วดึงกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา เซี่ยเชาฉวินอธิบายต่อ
“มันคืองานครบรอบสามสิบปีของ Steinway นั่นคือข้อมูลต่างๆ ของผู้ดูแลตัวสินค้าภายในงาน เธอเองก็ต้องท่องจำเอาไว้ให้ดีล่ะ”
เซี่ยเชาฉวินมองกระดาษที่อยู่ในมือของเธอ “พยายามจำให้ได้ มันจะส่งผลดีต่อตัวเธอเอง ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถเจรจาร่วมงานได้ทันทีในงานเลี้ยงแบบนั้น แต่เธอก็คงรู้ดีอยู่แล้ว ว่าบางทีการทิ้งความประทับใจเอาไว้ ในอนาคตก็คงจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน”
เจียงเซ่อตอบรับ แล้วโม่อานฉีก็จัดการเก็บของให้เรียบร้อย พอเห็นว่าเซี่ยเชาฉวินไม่ได้พูดอะไรต่อแล้ว ถึงจะขอตัวลา
มาถึงวันที่นัดพบเจอกับจางจิ้งอาน เซี่ยเชาฉวินก็ขับรถมารับเจียงเซ่อด้วยตัวเอง
ตลอดทางเซี่ยเชาฉวินก็คอยบอกเล่าถึงนิสัยและสิ่งที่จางจิ้งอานชื่นชอบให้ฟังอย่างไม่รีบร้อนอะไร ถึงแม้ว่าเจียงเซ่อจะเคยได้เป็นนักแสดงสมทบในหนังของจางจิ้งอานมาก่อน แต่ตัวละครในเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ในตอนนั้นคงเทียบไม่ได้กับตัวละครในคราวนี้แน่นอน
“ก่อนที่จะเข้าไปในสำนักงาน อย่าลืมปิดเสียงมือถือเอาไว้ด้วยล่ะ อย่าให้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่พูดคุยกันเด็ดขาด”
ตอนที่พูด เซี่ยเชาฉวินก็ยังยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“การพูดคุยเจรจาในครั้งนี้อาจจะต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงได้” เธอยกนิ้วขึ้นแล้วเคาะๆ ลงไปบนหน้าปัดนาฬิกา
“การนัดเจอกันแบบนี้ปกติก็น่าจะเวลาประมาณนี้ล่ะนะ และนั่นก็หมายความว่าจางจิ้งอานอาจจะมีการทดสอบการแสดงของเธอด้วย เขาจะส่งบทให้เธอ ณ ตอนนั้นเลย และบอกให้เธอลองแสดงให้เขาดู และพิจารณาว่าเธอเหมาะสมกับมันหรือเปล่า”
พอพูดถึงตรงนี้ เธอก็เตือนขึ้นมาอย่างจริงจังอีกครั้ง
“เธอต้องการเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้นะ ถึงตอนนั้นแล้วอย่าตกใจหรือแตกตื่นเด็ดขาด”
สำนักงานของจางจิ้งอาน ห่างจากบริษัทซื่อจี้หยินเหอไม่ไกลนัก แต่ถ้าเทียบกับตึกบริษัทของซื่อจี้หยินเหอที่สูงใหญ่เป็นสง่าราศีแล้ว สำนักงานของจางจิ้งอานก็เป็นแค่ชั้นหนึ่งของตึกใหญ่เท่านั้น
พอเข้าไปในตึก และบอกว่าเป็นใครกับพนักงานต้อนรับแล้วไป ก็มีคนรีบลงมาจากตึกเพื่อมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว
ถ้าเทียบกับจางจิ้งอานที่เป็นถึงผู้กำกับใหญ่ที่มีผลงานชื่อดังหลายเรื่องแล้ว สำนักงานที่เขาอยู่นั้นถือว่าดูธรรมดามากๆ และพนักงานก็ไม่ได้มากมายอะไร ดูไม่ค่อยเหมาะสมกับฐานะของผู้กำกับใหญ่เท่าไหร่เลย แต่คนที่เคยมาที่นี่ก็ล้วนไม่มีใครกล้าดูถูกกันทั้งนั้น
สำนักงานถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเจียงเซ่อได้มากที่สุด คือกำแพงกระจกที่ใสสะอาดมองผ่านทะลุได้ กระจกใสแต่ละบานถูกเรียงต่อกันเพื่อกั้นห้องเอาไว้เป็นสัดส่วน สามารถมองเห็นพนักงานที่ทำงานกันอย่างขันแข็งได้อย่างชัดเจน
หนังที่จางจิ้งอานกำกับนั้น การเตรียมงานทั้งหมดก็ล้วนแล้วเป็นฝีมือจากคนที่ทำงานอยู่ในนี้ บางทีก็อาจจะเหมือนกับจางจิ้งอาน ที่เคยทำงานร่วมกับดาราชื่อดังมามากมายแล้ว ตอนที่เจียงเซ่อและเซี่ยเชาฉวินเดินเข้าไป พนักงานที่กำลังทำงานกันอย่างตั้งอกตั้งใจก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจกันเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองกันต่อไป
เข้ามาแล้วครู่หนึ่งแต่สิ่งที่ได้ยินมีเพียงแค่เสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานเท่านั้น กับเสียงพนักงานที่กำลังพิมพ์แป้นพิมพ์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์
“ผู้กำกับจางได้แจ้งเอาไว้แล้ว เชิญพวกคุณทางนี้เลยค่ะ”
พนักงานของสำนักงานจางจิ้งอานที่มาต้อนรับเจียงเซ่อและเซี่ยเชาฉวินนั้นเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวคนหนึ่ง ตอนที่พูดกับเจียงเซ่อนั้นก็ผายมือออดเป็นการ ‘เชิญ’ ด้วย หล่อนเดินนำเจียงเซ่อมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องประชุม ยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไป เจียงเซ่อก็สามารถเห็นภายในห้องประชุมเพราะกระจกใสแล้ว
ข้างในนั้นค่อนข้างกว้างขวาง มีเนื้อที่ประมาณห้าสิบตารางเมตรได้ ครึ่งหนึ่งของห้องถูกจัดเอาไว้เป็นพื้นที่แสดง ด้านหลังมีเก้าอี้เรียงรายเอาไว้หลายตัว ส่วนด้านหน้าเป็นกระจกทั้งตัวบานใหญ่ และมันก็สะท้อนเงาของทั้งห้องได้ทั้งหมดเลยด้วย
สิ่งที่เซี่ยเชาฉวินคาดเดาเอาไว้นั้นถูกต้อง การที่จางจิ้งอานนัดเจอเธอที่นี่ ก็คงเพราะต้องการที่จะพิจารณาและทดสอบการแสดงของเธอ
แต่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นแบบทอดสอบที่ใหญ่พอดู
ตั้งแต่ที่เจียงเซ่อเข้าวงการมา หนังเรื่องต่างๆ ที่เคยถ่ายทำไปก่อนหน้านี้ ก็ถือว่ามีประสบการณ์หน้ากล้องบ้างแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ ของกู้เจียเอ่อ หรือจะ ‘The Occasion of Beiping’ ก็ตาม สถานการณ์มันก็ไม่ได้เหมือนอย่างในตอนนี้ เพราะส่วนมากเป็นการอยู่ในพื้นที่คนเดียว และมีช่องว่างมากพอที่จะให้นักแสดงได้ทำอารมณ์ไปกับบท
แต่ในพื้นที่นี้ของจางจิ้งอาน หลังจากที่นักแสดงเข้าไปในห้องประชุมนี้แล้ว ทุกนาทีก็คือการทดสอบ อาจจะได้รับสายตาและความสนใจจากคนนอก และมันก็เหมือนเป็นการเพิ่มความกดดันที่มากเข้าไปอีก
ถ้าเป็นคนที่จิตอ่อนละก็ ถึงการแสดงจะโดดเด่นและดีแค่ไหน ก็อาจจะต้องโดนผลกระทบจากสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทุกรายละเอียดของการแสดง ไม่เพียงแต่กรรมการตัดสินเท่านั้นที่ถูกจับตามองอยู่ เพราะแม้แต่ตัวนักแสดงเองก็ไม่พ้นที่จะโดนจ้องมองเช่นกัน
ดูเหมือนว่าเซี่ยเชาฉวินจะเคยมาที่นี่แล้ว หล่อนเลยไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับที่นี่ สีหน้าของหล่อนเรียบนิ่ง แววตาก็ปกติ ไม่ได้แสดงอารมณ์อึ้งหรือแปลกใจอะไรออกมาแม้แต่น้อย
เจียงเซ่อนึกถึงตอนที่อยู่บนรถขึ้นมา พอนึกถึงถ้อยคำต่างๆ ที่เซี่ยเชาฉวินเตือนเธอขึ้นมาแล้ว ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมหล่อนถึงบอกให้เธอ ‘เตรียมใจและอย่าตกใจแตกตื่น’
หล่อนยิ้มแห้งๆ ทีหนึ่ง หญิงสาวที่เดินนำทางมาเปิดประตูกระจกออก และสั่งให้พนักงานอีกคนไปยกน้ำมาเสิร์ฟ
ความเย็นในสำนักงานนั้นถือว่ากำลังพอดี เจียงเซ่อมองตัวเองในกระจก และมันก็สามารถเห็นท่าทางสีหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องได้อย่างชัดเจน เธอกำลังเตรียมตัวเตรียมใจกับการทดสอบที่กำลังจะโดนอยู่ แต่จู่ๆ พนักงานในสำนักงานของจางจิ้งอานก็เอ่ยขึ้นมา
“ผู้กำกับจางมาแล้วค่ะ”
ทุกคนต่างก็หันไปมอง และจางจิ้งอานกับคนอีกสองสามคนก็กำลังก้าวเท้ามาทางนี้แล้วจริงๆ
พนักงานเปิดประตูให้กับเขา พอจางจิ้งอานมาถึงแล้ว พนักงานต่างๆ ที่ทำงานอยู่ข้างนอกก็หันมามอง เขาเดินเข้ามาก็ยิ้มให้กับทุกคน
“รอนานเลยนะ”
เจียงเซ่อส่ายหน้า และเดินเข้าไปกอดทักทายกับเขา
“พวกเราก็เพิ่งมาถึงเหมือนกันค่ะ”
ทักทายกันเรียบร้อยแล้ว จางจิ้งอานก็เชิญให้เจียงเซ่อนั่งลง และไม่ได้รีบร้อนที่จะทดสอบเจียงเซ่อในทันที แต่เลือกที่จะพูดคุยกับเจียงเซ่อก่อน
“เจียงเซ่อก้าวหน้าขึ้นมากเลยนะ”
พอจางจิ้งอานพูดจบแล้ว หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้องประชุมพร้อมกับจางจิ้งอานก็ลอบมองพิจารณาเธออย่างเงียบๆ
“หนังเรื่องแรกที่เธอได้แสดงคือบทนักแสดงสมทบในเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ของฉันสินะ?”
ที่จริงจางจิ้งอานเองก็ยังจำเจียงเซ่อได้ ตอนนั้นเธอยังเป็นแค่นักแสดงหน้าใหม่ ตอนที่อยู่ในกองถ่ายหนังหลิวเย่เองก็ช่วยเธอพูดด้วย ตอนนั้นเห็นว่าการแสดงของเธอก็ไม่เลว ถือว่ากล้ากว่านักแสดงหน้าใหม่คนอื่นๆ การแสดงออกก็ดี ความสามารถก็มีพร้อม หนังเรื่องแรกที่ได้แสดง ตอนที่เธออยู่ต่อหน้าเขา ก็ไม่มีความประหม่าเลยแม้แต่น้อย
จางจิ้งอานนึกถึงสถานการณ์ในกองถ่ายตอนนั้นขึ้นมา ภาพที่นักแสดงตัวประกอบหญิงคนหนึ่งโดนเขาด่าจนหนีไปร้องไห้ แต่เจียงเซ่อกลับเหมือนไม่กดดันเลยสักนิด และถ่ายฉากๆ นั้นเสร็จไปได้อย่างราบรื่น และมันเป็นเพราะว่าสีหน้าท่าทางของเธอที่สื่อออกมาในตอนนั้น ทำให้ถึงแม้ว่าจะเป็นบทที่ไม่มีแม้แต่ชื่อเรียก แต่หลังจากที่หนังฉายออกไปแล้ว ก็ทำให้คนเกิดความสนใจในตัวเธอได้มากมาย ถึงขึ้นเอาเธอไปเปรียบเทียบกับเฝิงหนานเลยด้วยซ้ำ
“ใช่ค่ะ ตอนนั้นอยู่มอหกพอดี มีเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งชวนฉันไปลองสมัครเป็นตัวประกอบดูน่ะค่ะ”