บทที่ 372 หมุนเวียน
พอเซี่ยเชาฉวินพูดถึงตรงนี้ เจียงเซ่อก็พอจะเข้าใจสิ่งที่หล่อนต้องการสื่อแล้ว
โม่อานฉีเองก็กำลังนั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน สีหน้าดูสบายอกสบายใจไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าหล่อนกำลังภูมิใจเป็นอย่างมากที่คนที่เคยแย่งงานเจียงเซ่อไปอย่างเถาเฉินถูกจางจิ้งอานถีบส่ง แต่เจียงเซ่อกลับเอ่ยขึ้นว่า
“ความหมายของพี่เชาฉวินก็คือ ตัวละครบทนี้ มีความเป็นไปได้ที่ฉันจะได้มันมางั้นหรือคะ?”
โอกาสแบบนี้ถือว่าหาได้ยากมากจริงๆ
เซี่ยเชาฉวินยิ้มและพยักหน้าเบาๆ สิ่งที่ทำให้หล่อนชอบในตัวเจียงเซ่อมากที่สุด ก็คือความหัวไวและความฉลาดของเธอล่ะนะ
หล่อนไม่จำเป็นต้องพูดให้เข้าใจอะไรมากมาย เธอก็สามารถคิดเองได้แล้ว
“ใช่แล้ว”
เซี่ยเชาฉวินเสยผมสั้นที่ดูปราดเปรียวของตัวเองขึ้น จางจิ้งอานเตะเถาเฉินออกจากทีมหนัง และอาจจะทำให้เกิดการผิดใจกับซื่อจี้หยินเหอได้ แต่จางจิ้งอานเองก็คงไม่มีทางที่จะผิดใจกับซื่อจี้หยินเหออยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเถาเฉินไม่ได้โอกาสนี้ งั้นทางซื่อจี้หยินเหอก็มีโอกาสที่จะได้เป็นคนเลือกนางเอกให้กับเขาเอง
“อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นท่านประธานได้เจรจากันเรื่องระยะเวลาเข้าฉายของ ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ แล้ว ก็ถือว่ายังมีบุญคุณค้างกันอยู่ ยังไงจางจิ้งอานก็ต้องคืน”
หรือพูดได้ว่า ขอแค่เจียงเซ่อวางตัวได้อย่างเหมาะสม ขอแค่เธอไม่ทำตัวให้จางจิ้งอานไม่พอใจอย่างที่เถาเฉินทำ นางเอกหนังเรื่องต่อไปของจางจิ้งอานก็คงไม่พ้นจะตกเป็นของเธอแน่ๆ
“เรื่องนี้ทางเถาเฉินเองก็เหมือนจะพยายามจะขอคุยกับจางจิ้งอานอยู่หลายรอบแล้ว”
แต่อย่างไรถ้าเถาเฉินได้ถ่ายหนังของเชี่ยซ่าเหลยก็ดีไป แต่เหมือนว่าหล่อนเองก็ยังไม่อยากที่จะพลาดโอกาสหนังของจางจิ้งอานด้วย ดังนั้นหลังจากที่หล่อนเซ็นสัญญากับทางเชี่ยซ่าเหลยเรียบร้อยแล้ว ก็ลากเรื่องนี้ไว้นานมาก จนสุดท้ายแน่ใจแล้วว่าเจรจาไม่สำเร็จแน่แล้ว
เซี่ยเชาฉวินวางแก้วกาแฟไว้ข้างๆ
“แต่ว่าสุดท้ายแล้วเถาเฉินก็ต้องเสียโอกาสนี้ไปอยู่ดี เพราะว่านิสัยของจางจิ้งอาน คงจะให้หล่อนเลือกระหว่างหนังสองเรื่องนั้นแน่ๆ” ไม่ใช่ว่าจางจิ้งอานกำลังตอบโต้เถาเฉินอยู่ แต่เขาแค่ทำเงื่อนไขกับตัวนักแสดงที่จะมาเป็นนางเอกเป็นพิเศษ “ได้ยินมาว่าเขาค่อนข้างจะเคร่งกับนางเอกในหนังเรื่องต่อไปของตัวเองอยู่ไม่น้อย ตัวบทเขาก็ลงมือเขียนเองด้วย ดังนั้นเงื่อนไขของคนที่จะมาเป็นนางเอกให้กับเขา อย่างน้อยจะต้องเคยได้รับการฝึกแสดงมาสองถึงสามเดือน ต้องมีบุคลิกที่เหมาะสม ส่วนเรื่องฝีมือการแสดงก็จะต้องเป็นไปตามที่เขากำหนดด้วย”
เห็นได้ชัดว่าแค่จุดๆ นี้ เถาเฉินก็ไม่สามารถทำมันได้แล้ว เซี่ยเชาฉวินเงยหน้าขึ้นมา มองเจียงเซ่อแล้วพูดต่อ
“แต่ว่าเธอทำได้”
หล่อนรวบรวมเก็บเอกสารข้อมูลบนโต๊ะ และพูดอย่างไม่รีบร้อน
“นอกจากที่ทาง Steinway ที่ส่งคำเชิญมา งานอย่างอื่นฉันก็ไม่ได้รับให้เธออีก ส่วนเรื่องเรียนก็ค่อยเตรียมตัวขอลาหยุดหลังจากที่ได้เซ็นสัญญาเล่นหนังแล้วก็ได้”
หลังจากสั่งงานและพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อย เจียงเซ่อก็พยักหน้า พอได้ยินว่าจะต้องหยุดเรียนกับทางมหาวิทยาลัยอีกแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะปวดหัวขึ้นมา
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยพลาดการบ้านของทางมหาวิทยาลัยเลยสักงาน แต่ว่าเธอก็ลาไปเยอะมากแล้ว ดังนั้นทำให้ศาสตราจารย์เอ่ยเตือนเธออยู่หลายครั้งแล้วเช่นกัน แต่ว่ายังไงเจียงเซ่อก็เลือกที่เดินเส้นทางนี้แล้ว เธอเองก็มีทำใจกับสถานการณ์แบบนี้อยู่บ้าง ดังนั้นจึงตอบตกลงออกไป
พอพูดเรื่องหลักเสร็จ เซี่ยเชาฉวินก็เอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานขึ้นมาที่น้อยครั้งจะมีแบบนี้
“ครั้งนี้ที่เถาเฉินได้เล่นหนังของเชี่ยซ่าเหลย แต่เหมือนว่าจะขาดทุนมากกว่าอีก”
จางฉือเทกาแฟใส่แก้วให้หล่อนใหม่ รอบนี้หล่อนไม่ได้ยกขึ้นมาดื่ม แต่แค่ยกช้อนขึ้นคนๆ เท่านั้น ท่าทางเหมือนเบื่อหน่าย
“ทีมงานหนังของยุโรปอเมริกานั้นต่อต้านชาวต่างชาติมาโดยตลอด ถึงหล่อนจะคว้าโอกาสนั้นมาได้ แต่โครงหน้าของคนหัวเซี่ยก็ไม่ได้เข้ากับชาวต่างชาติเหล่านั้นเลย” การที่หล่อนมีใจไต่ขึ้นที่สูงก็ถูกแล้ว แต่ว่ามันเร็วเกินไป
การที่จะเข้าสู่วงการธุรกิจหนังภาพยนตร์นั้น ยังไม่เท่ากับการที่ต้องได้แสดงเป็นตัวละครที่โดดเด่น และกลายเป็นที่น่าจดจำของชาวต่างชาติ
ในธุรกิจหนังภาพยนตร์ คนที่จะโดดเด่นที่สุดก็คือพระเอกและนางเอก และแสดงเป็นตัวร้ายเท่านั้น กับตัวประกอบอย่างที่เถาเฉินได้ ถึงแม้ว่าหล่อนจะใช้ความเป็นนักแสดงชาวหัวเซี่ยที่โด่งดังที่สุด ก็ยังยากที่จะทำให้ผู้คนจดจำหล่อนได้
รากฐานของหล่อนยังตื้นเกินไป นักแสดงหัวเซี่ยยังคงเป็นที่แปลกแยกของตลาดหนังยุโรปอเมริกา การที่เสียโอกาสที่จะได้เล่นหนังของจางจิ้งอานไปแบบนี้ มันน่าเสียดายมากจริงๆ
“อันนี้อยากจะพูดอะไรหรือคะ?”
เจียงเซ่อเอนตัว เอาหลังพิงกับโซฟาแล้ววางมือเอาไว้ พอถามเซี่ยเชาออกไปแบบนั้นแล้ว เซี่ยเชาฉวินเอามือข้างหนึ่งกอบกุมแก้วกาแฟเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็เคาะลงไปที่ข้างแก้ว
“จากรูปการณ์แล้ว มองในมุมมองของค่าตัว ถ้าถ่ายหนังของจางจิ้งอาน ค่าตัวของหล่อนก็คงไม่น้อยไปกว่าของหลิวเย่แน่นอน”
ส่วนค่าตัวที่เป็นรูปธรรมของเถาเฉิน เซี่ยเชาฉวินก็ไม่ได้เอ่ยถึงมัน แต่เทียบกับของหลิวเย่แทน
แต่ค่าตัวของหลิวเย่นั้นเท่าไหร่ ในใจของเจียงเซ่อก็พอจะเดาออก
ตอนที่เขาแสดงเรื่อง ‘Evil’ เขาก็ได้เงินเข้าบัญชีไปกว่าเจ็ดสิบล้าน ถ้าหากว่าค่าตัวของเถาเฉินเองก็อยู่ในประมาณนี้ ดังนั้นการที่หล่อนพลาดโอกาสจากหนังของจางจิ้งอานไป ก็เหมือนกับว่าภายในครึ่งปีหลังนี้หล่อนได้สูญเสียเงินจำนวนเจ็ดสิบล้านไปแล้ว
“แต่ที่หล่อนได้เล่นหนังเรื่อง ‘The Lost City’ นั้น ถึงจะเป็นหนังฟอร์มยักษ์ แต่หล่อนก็ยังเหมือนเป็นแค่คนแปลกหน้า ฉันจึงเดาว่าค่าตอบแทนที่หล่อนจะได้คงไม่เกิดตัวเลขนี้หรอก”
เซี่ยเชาฉวินยื่นมือออกมา แล้วทำสัญลักษณ์เป็นเลขสอง ตัวเลขนั้นก็คงจะเป็นสองแสนดอลล่าร์สินะ
อย่างไรก็ตามเถาเฉินได้แสดงแค่ตัวประกอบ บทก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่ชื่อเสียงของเถาเฉินในยุโรปอเมริกาก็ไม่ได้โด่งดังอะไรเลย ดังนั้นมันจึงทำให้เจียงเซ่อรู้สึกไม่อยากจะเชื่อขึ้นมา ถึงถามต่อ
“สองแสนดอลล่าร์หรือคะ?”
“อืม” เซี่ยเชาฉวินพยักหน้า เถาเฉินเหมือนใกล้เกลือกินด่าง หล่อนทิ้งเจ็ดสิบล้านไป แต่เลือกที่จะคว้าสองแสนดอลล่าร์แทน
แต่ว่าเถาเฉินเองก็เข้าวงการมาหลายปีแล้ว เรื่องเงินก็คงไม่ได้ขาดเหลืออะไร ดังนั้นหล่อนอาจจะดูจากความคุ้มค่าก็ได้ อย่างไรเสียความต้องการของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอยู่แล้ว
เซี่ยเชาฉวินมองเจียงเซ่อ
“แต่ว่าถึงเธอจะสามารถคว้าโอกาสนี้มาได้ ผลดีที่จะส่งผลกับตัวเธอคงไม่ต้องพูดถึง เทียบกับค่าตัวตอนถ่ายเรื่อง ‘Evil’ แล้ว ยังไงก็ต้องมีเพิ่มขึ้นแน่นอน”
ที่สำคัญก็คือ เจียงเซ่อได้แสดงหนังที่ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมมากแล้วสองเรื่อง และเคยร่วมงานกับหลิวเย่มาก่อนแล้วด้วย สำหรับชื่อเสียงของเธอที่มีมากขึ้นจะต้องมีส่วนช่วยอยู่แล้ว
หล่อนไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ต้องละเอียดมากไปกว่านี้ แต่ก็เชื่อว่าเจียงเซ่อเองก็คงจะสามารถแยกแยะและพิจาณาเองได้ และคงรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป เซี่ยเชาฉวินเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเนือยๆ
“ตั้งใจเตรียมตัวให้ดีล่ะ”
ถึงแม้ว่าเซี่ยเชาฉวินจะบอกให้เจียงเซ่อเตรียมตัวดีๆ ก็เถอะ แต่ในความเป็นจริงที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่บทหนังเลยด้วยซ้ำ และนางเอกในหนังเรื่องต่อไปของจางจิ้งอานก็ไม่รู้ว่าเป็นแนวไหนด้วย หล่อนเองก็ใช่ว่าจะรู้อะไร
เบื้องต้นที่คุยกับเซี่ยเชาฉวินไปก็พอแค่ได้รู้เรื่องวงในก็เท่านั้นเอง ในใจก็พอจะคิดอะไรบ้างแล้ว แต่ว่าเตรียมตัวอย่างไร เจียงเซ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดไม่ออกเธอก็ไม่อยากจะคิดแล้ว
ก่อนที่เจียงเซ่อจะไป เซี่ยเชาฉวินก็เลื่อนกองเอกสารปึกหนึ่งไปให้เธอ
“เอาพวกนี้กลับไปดูด้วยสิ”
เอกสารแต่ละฉบับนั้นดูจัดเรียงมาอย่างเรียบร้อย มันเป็นเอกสารของแบรนด์ชื่อดังต่างๆ เจียงเซ่อลองเปิดดู มันเป็นเอกสารข้อมูลของเครื่องสำอางของฝรั่งเศสแบรนด์หนึ่ง มีชื่อของผู้ดูและกิจการในหัวเซี่ย สิ่งที่ชื่นชอบ และความเป็นมาของแบรนด์นี้ และมีข้อมูลอย่างอื่นอีกประมาณเจ็ดแปดหน้าได้ มันถูกพิมพ์อออกมาจนเต็มหน้ากระดาษไปหมด