webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

371

บทที่ 371 เหตุและผล

หล่อนได้มาเกิดใหม่ในร่างของเฝิงหนาน ทั้งฐานะและโปรไฟล์ก็ดีกว่าตัวเองในโลกที่แล้วมากมาย หล่อนได้จุดเริ่มต้นที่สูง ตัวละครแรกที่ได้แสดงก็เป็นตัวละครสมทบที่สำคัญในหนังของจางจิ้งอาน หล่อนควรที่จะเป็นเหมือนเจียงเซ่อสิ ที่ค่อยๆ เดินไปทีละก้าว รับเล่นหนังเรื่องอื่นบ้าง แต่ตอนนี้หล่อนกลับแทบไม่มีผลงานอะไรเลยสักเรื่องเดียว

ตอนนั้นต้นทุนหล่อนดีหมดทุกอย่าง มีจ้าวจวินฮั่นเป็นคู่หมั้น มีเฝิงจงเหลียงและชื่อเสียงของคุณหนูแห่งวิสาหกิจจงหนาน อยากจะเข้าวงการบันเทิง ดูจากการแสดงของหล่อนแล้ว ก็ใช่ว่าจะโด่งดังไม่ได้เสียหน่อย

หล่อนมีความทรงจำจากในอดีต หล่อนสามารถรู้และเลือกได้ว่าจะเอาหนังเรื่องไหนที่มันจะโด่งดังและได้ยอดขายที่ดี และยังสามารถพึ่งความทรงจำจากโลกที่แล้ว ในการเขียนบทหนังขึ้นมาเอง เทียบกันแล้วตอนนี้สบายกว่ากันมากนัก

ไม่จำเป็นต้องไปขอทุนใครมาส่งเสริม ไม่ต้องไปคอยรับอารมณ์โมโหจากต่งหมิงเซิง

เพราะเรื่องในงานการกุศลของคืนนี้ ทำให้เจียงเซ่อได้กลับมาเป็นที่สนใจของผู้คนอีกครั้ง

ทุกคนต่างสงสัยในแฟนหนุ่มที่ยังดูเหมือนเป็นความลับของเจียงเซ่อไม่น้อย มีหลายๆ คนพากันคาดเดา บนอินเทอร์เน็ตเองก็อ้างอิงจากท่าทางของเฝิงจงเหลียงในงานการกุศล และเดาว่าบางทีแฟนหนุ่มของเจียงเซ่ออาจจะเป็นลูกหลานรุ่นที่สามของตระกูลเฝิงก็ได้ ในระยะเวลาไม่นานข้อมูลของตระกูลเฝิงก็ค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว

ในบรรดาลูกหลานผู้ชายรุ่นที่สามของตระกูลเฝิงนั้น คนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจียงเซ่อก็มีแค่สองสามคนเท่านั้น และข้อมูลเหล่านั้นก็ถูกชาวเน็ตเรียบเรียงและคัดสรรมาแล้วเรียบร้อย

บนอินเทอร์เน็ตกำลังคึกคักกันสุดๆ เหมือนกระแสคลื่นที่โหมพัดใส่ กลับกัน เฝิงจงเหลียงที่ได้ทิ้งระเบิดไว้ในวันนั้นก็ไม่ได้มีการปรากฏตัวให้นักข่าวได้เห็นอีกเลย หรือแม้แต่ตัวเจียงเซ่อเองที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับเช่นกัน

และดูเหมือนว่าเรื่องงานของเธอก็จะมีเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ เพราะตั้งแต่งานการกุศลในครั้งนั้นที่เธอได้บริจาคประมูลของไปด้วย งานเธอก็มีเข้ามาตลอด

มีสินค้าหลายแบรนด์ที่พยายามติดต่อมาหาเจียงเซ่อ หรือแม้แต่แบรนด์เสื้อผ้า กระเป๋าและรองเท้าหรูๆหลายแบรนด์ในประเทศก็ยังพร้อมที่จะสนับสนุนเจียงเซ่อ เพราะอยากจะให้เจียงเซ่อไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้

ในด้านของงานหนังภาพยนตร์ มีคนนำบทหนังมาเสนอให้กับทางซื่อจี้หยินเหอมากยิ่งขึ้น เจียงเซ่อและเซี่ยเชาฉวินได้มีการปรึกษาพูดคุยกันแล้ว พอลองนึกถึงท่าทีของจางจิ้งอานในงานการกุศลคืนนั้น จึงตัดสินใจว่าจะพับเก็บบทหนังของฮั่วจือหมิงเอาไว้ก่อน

เธออาจจะต้องพลาดจากหนังเรื่อง ‘Suspect’ ไป แต่เอาจริงๆ เลยคือเธอยังไม่อยากจะพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับจางจิ้งอานมากกว่า ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะลองเสี่ยงดวงดูสักตั้ง

หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ ผู้ช่วยของจางจิ้งอานก็ติดต่อมา และนัดให้เจียงเซ่อเข้าไปพบกันที่สำนักงานของจางจิ้งอานในตี้ตู

ตอนที่ได้รับการติดต่อมานั้น ใจของเจจียงเซ่อก็ค่อยๆ กลับมาโล่งเหมือนเดิม

ถึงแม้ว่าหลิวเย่จะเคยเปรยๆ ว่าจางจิ้งอานอยากจะร่วมงานกับเธอ แต่ทางจางจิ้งอานเองก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีแบบนั้นออกมาให้เห็นเท่าไหร่ อีกทั้งยิ่งมีประสบการณ์ที่โดนเถาเฉินแย่งงานไป มันเลยทำให้เจียงเซ่อได้รู้ว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนเลย

จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ หลินซืออี๋ผู้ช่วยของจางจิ้งอานได้ติดต่อมาหาเธอว่าอยากจะนัดเจอกันแล้ว ถึงจะพอยืนยันได้ว่าจางจิ้งอานมีความสนใจที่อยากจะลองร่วมงานกับเธอจริงๆ

“หนังเรื่องใหม่ของจางจิ้งอานในครั้งนี้ ฉันเองก็พอจะรู้อะไรมาบ้าง”

เซี่ยเชาฉวินยกกาแฟที่จางฉือผู้ช่วยของหล่อนยกมาให้ น้ำเสียงของหล่อนทำชวนให้อยากรู้ไม่น้อย

“พูดถึงว่า เธอรู้หรือเปล่า ว่าหนังใหม่ของจางจิ้งอาน กลุ่มที่ลงทุนให้กับเขามากที่สุดในครั้งนี้คือบริษัทหนังภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุโรปอเมริกาอย่างบริษัทบอร์เจีย และเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมลงทุนหนังเรื่อง ‘The Lost City’ ของเชี่ยซ่าเหลยด้วยนะ?”

หลังจากที่เจียงเซ่อได้ไปฝึกงานและกลับมาที่ตี้ตูอีกครั้ง เธอก็ยุ่งจนหัวแทบหมุนอยู่แล้ว เวลาในทุกๆ วันของเธอนั้นถูกเซี่ยเชาฉวินอัดวิชาเรียนและสิ่งต่างๆ ที่เธอต้องทำจนแน่นไปหมด หล่อนให้เธอเรียนซ้อมเต้นบัลเล่ต์ที่ยากและเหนื่อยกว่าเต้นธรรมดาหลายเท่า

นอกจากต้องเรียนบัลเล่ต์สามชั่วโมงต่อวันแล้ว เธอก็ยังต้องเรียนเปียโนอีก บวกกับเธอเองก็ยังมีการบ้านของทางมหาวิทยาลัยอยู่แล้วด้วย แถมต่อจากนั้นก็ยังต้องมีสอบอีก แน่นอนว่าคงไม่มีเวลาไปได้ยินหรือสนใจเรื่องพวกนั้นหรอก

ตอนที่เซี่ยเชาฉวินพูดถึงหนังใหม่ของจางจิ้งอานขึ้นมา เธอก็ได้รับน้ำผลไม้คั้นจากโม่อานฉีพอดี เธอค่อยๆ ดื่มมัน และฟังที่เซี่ยเชาฉวินพูดไปด้วย

“หนังเรื่องนี่จะได้เงินทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ส่วนโฉมหน้าของนักแสดงที่จางจิ้งอานพอใจในตอนนี้นอกจากจะมีหลิวเย่แล้ว ก็ยังมีนักแสดงนำชายของฮอลลีวูดอีกคนหนึ่ง”

พอหล่อนพูดถึงตรงนี้ ก็เว้นไปครู่หนึ่ง มือทั้งสองข้างประคองแก้วกาแฟเอาไว้ แล้วก็มองเจียงเซ่อที่ด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม

“แต่นางเอกในเรื่อง......”

เซี่ยเชาฉวินเอ่ยช้าๆ

“ที่จริงมันถูกกำหนดไว้ให้เป็นเถาเฉิน”

นี่มันน่าสนใจมากทีเดียว!

จู่ๆ เจียงเซ่อก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจขึ้นมา ในสถานการณ์แบบนี้มันเรียกว่าอะไรกันนะ? เถาเฉินแย่งบทของเธอไป และตอนนี้เธอก็กำลังจะมีโอกาสได้ ‘แก้แค้น’ โดยการคว้าบทจากมือของเถาเฉินเพื่อทดแทนบทหนังที่เธอเสียไปอย่างนั้นหรือ?

เธอไม่ได้พูดอะไร เซี่ยเชาฉวินเองก็ไม่แสร้งสร้างสถานการณ์อะไรทั้งนั้น หล่อนพูดสิ่งที่ตัวเองได้รับมาต่อทันที

“ก่อนหน้านี้ทางบริษัทได้ทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้เถาเฉินได้เข้าไปอยู่ในทีมหนังอย่างราบรื่น ในตอนที่หนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ออกฉาย ท่านประธานก็ได้ออกหน้าเองเลยด้วยซ้ำ เขาได้ติดต่อกับทางโรงหนังใหญ่ๆ ของ IMAX ในหัวเซี่ยอยู่หลายแห่ง มีการเจรจาตกลงกันอยู่นาน เพื่อที่จะทำให้ยอดสถิติการฉายของหนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ นั้นมากกว่า 32% จึงให้มีการยืดรอบหนังไปอีกเกือบสองเดือน ถึงจะสามารถคว้าโอกาสนี้มาให้เถาเฉินได้”

แต่เรื่องที่เบื้องบนได้มีการเจรจาพูดคุยกันนั้น ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เจียงเซ่อสนใจเท่าไหร่

แต่สิ่งที่เซี่ยเชาฉวินบอกออกมา ก็พอจะรู้ได้ว่าการที่ลัวหยิ่นนั้นต้องลำบากและพยายามมากแค่ไหนในการผลักดันให้เถาเฉิน ได้เข้าไปเป็นหนึ่งในทีมหนังของจางจิ้งอาน ให้หล่อนได้ก้าวเข้าสู่วงการต่างประเทศ ให้หล่อนได้แสดงหนังที่มีทุนของต่างประเทศ ให้ได้แสดงกับนักแสดงฮอลลีวูด เพื่อที่จะเพิ่มชื่อเสียงให้กับตัวหล่อน

อย่างน้อยทำให้ยอดสถิติการฉายหนังพุ่งสูงถึง 32% นั้นก็น่าตกใจมากแล้ว ถ้าเทียบกับหนังที่เข้าฉายในเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่าต้องมีหนังฟอร์มเล็กสักกี่เรื่องที่ต้องดรอปลงไปเพื่อให้เรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ได้ไต่สถิติขึ้นไป หรือหนังเหล่านั้นอาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าโรงเลยก็ได้

ทำได้ถึงขนาดนี้ แสดงว่าข้อตกลงที่ลัวหยิ่นเสนอไปก็คงจะไม่ธรรมดาทีเดียว

หล่อนนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา และเหมือนว่าตัวเองจะเคยได้ยินเผยอี้พูดมาก่อนหน้านี้

“แต่เพราะว่าเถาเฉินได้บทในหนังเรื่อง ‘The Lost City’ ไป มีข่าวหลุดออกมาจากทางนั้นว่า เพราะเวลามันชนกัน ทำให้หล่อนไม่สามารถที่จะรับเล่นหนังทั้งสองเรื่องได้พร้อมๆ กัน”

แต่เอาจริงๆ ตัวละครที่เถาเฉินได้แสดงในเรื่อง ‘The Lost City’ นั้นก็เป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้นเอง หล่อนไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมาย ระยะเวลาการถ่ายทำก็ไม่ได้มากมายอะไร บวกกับที่เชี่ยซ่าเหลยเองก็กำลังจะเปิดกล้องอยู่แล้ว บทของหล่อนอย่างมากสักเดือนกรกฎาหรือสิงหาก็คงจะถ่ายเสร็จแล้ว ถึงแม้ว่าอาจจะมีติดขัดหรือไม่ผ่านการประเมินในขั้นตอนตรวจสอบไปบ้าง แต่ก็คงไม่ได้ใช้เวลาถ่ายใหม่อะไรมากมายเหมือนกัน

แต่หนังของจางจิ้งอานที่กว่าจะเปิดกล้องจริงๆ ถ้ามองในกรณีที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนตัวนางเอก ก็ต้องเป็นช่วงเดือนกันยาถึงจะได้เปิดกล้อง

ก็ไม่เห็นว่าจะมีเวลาชนกันตรงไหน ดังนั้นการที่เถาเฉินไม่สามารถรับงานแสดงทั้งสองเรื่องนี้ได้อย่างราบรื่น ความจริงก็คือเพราะการกระทำของหล่อนทำให้จางจิ้งอานไม่พอใจมาก จนต้องเตะหล่อนออกจากทีมหนังเสียมากกว่า

จางจิ้งอานเกือบที่จะต้องแตกคอกันกับซื่อจี้หยินเหออยู่แล้ว ยิ่งมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้แล้วด้วย กำหนดแล้วว่าจะมีการเปิดกล้องเมื่อไหร่ แต่คนที่จะแสดงเป็นนางเอกกลับหายไป ต้องมาแบกรับแรงกดดันจากกลุ่มนักลงทุน และต้องยอมตัดเถาเฉินออกไป

“เธอรู้ใช่ไหมล่ะ ว่าผู้กำกับใหญ่นั้นมีอารมณ์เป็นของตัวเองสูง”

เรื่องที่เถาเฉินต้องการที่จะได้แสดงหนังของเชี่ยซ่าเหลยนั้นไม่ผิด แต่จางจิ้งอานที่ต้องกลายมาเป็นเพียงตัวเลือกเองก็ห้ามไม่ได้ที่จะไม่ให้เกิดความขุ่นข้องหมองในใจ และเกิดความรู้สึกต่อต้านเถาเฉินขึ้นมา