webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

370

บทที่ 370 คว้าน้ำเหลว

นักข่าวหลายคนเฮโลเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลัง พยายามยื่นไมค์ออกไปและแทบจะทุบกระจกรถอยู่แล้ว

ทั้งคนขับรถและเสี่ยวหลิวต่างก็ลงไปห้ามและไล่ไปตั้งหลายครั้งแต่พวกสื่อก็ไม่ยอมถอย แสงแฟลตสาดส่องไปทั่ว กระจกรถค่อยๆ ถูกคนที่นั่งอยู่ในรถเลื่อนลง เผยใบหน้าตอบของเฝิงจงเหลียงที่ดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก

“ขอถามคุณท่านเฝิงหน่อยนะครับ คุณสนิทกับเจียงเซ่ออย่างนั้นหรือครับ?”

“คุณท่านเฝิงครับ ที่ท่านมางานเลี้ยงการกุศล ‘หัวเซี่ยเปล่งประกาย’ ในครั้งนี้ ก็เพื่อเจียงเซ่ออย่างนั้นหรือคะ?”

“ขอถามหน่อยนะคะคุณท่านเฝิง คุณเป็นแฟนหนังของเจียงเซ่ออย่างนั้นหรือครับ?”

“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเจียงเซ่อเป็นอย่างไรคะ ทำไมถึงต้องจ่ายเงินมหาศาลเพื่อประมูลชุดราตรีของเธองั้นหรือคะ?”

“คุณท่านเฝิงครับ ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับเฝิงหนานดูไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่เลยนะครับ ได้ยินมาว่าท่านต่อต้านที่เธอถ่ายหนัง......”

“คุณท่านเฝิงคะ......”

“คุณท่านเฝิงคะ ขอถาม......”

หลากหลายคำถามถูกเอ่ยถามขึ้นพร้อมๆ กัน เถาเถาเองก็ปะปนอยู่ในกลุ่มนักข่าวที่กำลังรุมกันอยู่ ตอนนี้หล่อนรู้สึกมึนงงและแทบจะคิดอะไรไม่ออกอยู่แล้ว

หัวหน้าสั่งให้เธอต้องพยายามคว้าข่าวที่มีมูลค่าสูงมากให้ได้ ตอนนี้บนอินเทอร์เน็ตกำลังคึกคักกันสุดๆ ต่างก็กำลังพากันเดาว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจียงเซ่อและนายท่านเจ้าของวิสาหกิจจงหนานนั้นเป็นแบบไหนกันแน่

แต่ตั้งแต่ที่เข้ามาในงาน เถาเถาก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปสัมภาษณ์เฝิงจงเหลียงตัวต่อตัวเลย ระดับของหล่อนยังไม่เพียงพอที่จะไปยืนพูดคุยกับเฝิงจงเหลียงได้ ต้องอาศัยโอกาสนี้ในการสัมภาษณ์เท่านั้น

“พอแล้ว!”

เฝิงจงเหลียงขมวดคิ้วพูดออกไป ตอนที่เขาพูดออกมานั้น ก็ทำเอานักข่าวที่กำลังถือไปชี้หน้าอย่างไม่มีมารยาทต้องถอยตัวออกไปทันที

ถึงแม้ท่านอาวุโสท่านนี้จะมีอายุมากแล้ว เดินเหินก็ไม่ค่อยสะดวกก็จริง แต่สายตาของเขากลับเฉียบคมไม่น้อย

“เสี่ยวหลิว จำชื่อพวกสำนักข่าวที่ยื่นไมค์เข้ามาจนเกือบจะโดนหัวฉันเอาไว้ด้วย แล้วจากนั้นก็ฟ้องศาลเสียให้หมด!”

เขาไม่ได้ตะโกนเสียงดังอะไรมากมาย ไม่ได้มีท่าทางที่โมโหฉุนเฉียว แต่เป็นการพูดแบบเรียบๆ นิ่งๆ แต่แค่นั้นก็สามารถทำให้พวกสื่อที่กำลังเร้าหรือตื่นเต้นนิ่งชะงักไปได้ทันที

เหล่าสื่อนักข่าวทั้งหลายที่กำลังถือไมค์ยื่นออกไปอยู่ก็พากันหน้าขึ้นสี ก่อนจะรีบชักไมค์กลับทันที เสี่ยวหลิวและบอดี้การ์ดพากันลงจากรถแล้วจดรายชื่อสำนักข่าวที่เกือบจะทำอันตรายต่อเฝิงจงเหลียงเอาไว้ ทำเอานักข่าวหลายๆ คนพากันหวาดกลัว และรีบขอโทษขอโพยทันที

“ขอโทษครับคุณท่านเฝิง /ขอโทษค่ะคุณท่านเฝิง”

ผู้อาวุโสท่านนี้ที่เคยเข้าร่วมกองทัพทหารปฏิวัติไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก และนั่นก็ยิ่งทำให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นเกร็งกันเข้าไปอีก

“แค่ซื้อชุดราตรีของลูกหลานคนหนึ่ง ก็ทำให้พวกคุณถึงกับต้องวิ่งไล่หาเรื่องเสียหายๆ แล้วอย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่สื่อนักข่าวของหัวเซี่ยไม่คิดที่จะสนใจเรื่องปากท้องของประชาชน เอาแต่คิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้! ในสถานที่สาธารณะแบบนี้ กลับมาปิดกั้นถนน นักข่าวสมัยนี้ ทำได้แค่มาขวางรถแล้วอย่างนั้นหรือ?” คำพูดของเขาก้องกังวานไปทั่ว สายตาจ้องมองไปที่จุดๆ หนึ่ง นักข่าวหลายๆ คนทำได้แค่เบือนหน้าหลบ ไม่กล้าที่จะจ้องตาเขาตรงๆ

เขามองไปรอบๆ

“เจียงเซ่อเป็นหลานสาวคนหนึ่งที่ฉันเอ็นดู ทั้งกตัญญูและเชื่อฟัง อย่าเอาแต่พูดถึงเรื่องชุดราตรีสองชุดนั้น ในอนาคตถ้าเธอแต่งงาน ฉันจะซื้อให้เธอเยอะกว่านี้อีก!”

‘เฮือก’ นักข่าวพากันสูดหายใจผวา พอเฝิงจงเหลียงพูดจบ เหมือนทุบโดนระเบิดลูกหนึ่งเข้า และไม่สนใจว่าพวกนักข่าวที่เหมือนโดนทิ้งระเบิดใส่จะรู้สึกกันอย่างไร เขานั่งหลังตรง แล้วเลื่อนกระจกปิด

ตอนที่กระจกเลื่อนปิดได้ครึ่งใบหน้าของเขา นักข่าวก็ได้ยินแค่เสียงของเขาที่สั่งเสี่ยวหลิวออกมา

“ออกรถ!”

รอบนี้พอนักข่าวได้คำตอบกันแล้วก็ไม่ได้ไปขวางรถเอาไว้อีก จนกระทั่งท่านอาวุโสท่านนั้นออกไปแล้ว ทุกตนก็พากันพิจารณาคำพูดของเขา แต่ก็ดันพิจาณาเรื่องราวทั้งหมดไปในความหมายอื่นอีก

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในอนาคตเจียงเซ่อจะแต่งงานกับใคร แล้วเฝิงจงเหลียงจะให้ของขวัญอะไรแก่เธอ การที่ท่านอาวุโสกล้าพูดออกสื่อแบบนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเงินที่เขาจะช่วยในงานแต่งงานของเจียงเซ่อจะต้องเป็นตัวเลขที่ไม่ธรรมดาแน่นอน

แต่ในขณะเดียวกันพวกนักข่าวก็ยังจับใจความข่าวคราวบางอย่างได้ในประโยคของเฝิงจงเหลียง เจียงเซ่อจะแต่งงานงั้นหรือ? งั้นก็แสดงว่าตอนนี้เธอมีคนรักที่คบกันอย่างมั่นคงแล้วอย่างนั้นสิ?

พอพวกนักข่าวคิดได้แบบนั้น หลายๆ คนก็พอกันถอนหายในขยี้เท้ากับตัวเอง เสียดายที่ไม่ได้ข่าวอะไรจากปากของท่านอาวุโสท่านนั้นอีกสักหน่อย เสียดายที่ตอนนี้รถของเฝิงจงเหลียงได้ขับออกไปไกลแล้ว แต่ถึงเขาจะยังไม่ไป การเผยพลังอำนาจของเขาเมื่อครู่ ก็คงไม่มีใครกล้าถามอะไรออกไปอีกเหมือนกัน

ภายในคืนนั้นพวกสื่อนักข่าวก็พากันลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ในงานเลี้ยงการกุศล ‘หัวเซี่ยเปล่งประกาย’ ของ ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ บนข่าวบันเทิงกันแล้ว เป็นอีกครั้งที่เจียงเซ่อได้กลับมาเป็นที่พูดถึงบนอินเทอร์เน็ตหลังจากหนังเรื่อง ‘เกี่ยวกับฉันที่รักเธอ’ ออกฉายไป

เธอควงแขนเดินพรมแดงเข้างานเลี้ยงพร้อมกับจางจิ้งอานและหลิวเย่ ทำให้หลายๆ คนคาดคะเนกันว่าเธออาจจะได้ร่วมงานกับหลิวเย่อีกครั้ง

เฝิงหนานที่นั่งรถกลับมาถึงบ้าน ผู้ช่วยของหล่อนก็พอจะรูแล้วว่าหล่อนกำลังอารมณ์ไม่ดีสุดๆ หล่อนรีบชงกาแฟตามที่เฝิงหนานต้องการและยกไปให้อย่างสั่นกลัว

คอมพิวเตอร์ตรงหน้าหล่อนถูกเปิดเอาไว้ ทุกข่าวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอล้วนแล้วเป็นข่าวที่เกี่ยวกับเจียงเซ่อ มีพูดถึงเกี่ยวกับหนังเรื่อง ‘Evil’ ที่เจียงเซ่อเล่นจะเข้าฉายในปลายปีนี้ และมีข่าวที่บอกว่าเจียงเซ่ออาจจะได้ร่วมงานกับผู้กำกับใหญ่ของนานาชาติอย่างจางจิ้งอาน

และยังมีข่าวที่ว่าเจียงเซ่อนั้นสนิทสนมกับผู้ที่เคยร่วมรบเปิดประเทศและเป็นถึงเจ้าของวิสาหกิจจงหนานอย่างเฝิงจงเหลียง รอบตัวเธอนั้นดูหรูดูแพงและเปล่งประกายไปหมด มีเสียงดังออกมาจากหน้าจอ

“......ชุดราตรีของเจียงเซ่อก็ไม่เป็นที่สองรองใคร ถูกตัดเย็บโดยช่างฝีมือของฝรั่งเศส และเธอเคยสวมมันในงานถ่ายโฆษณาของ Gang Hua Jewelry อีกด้วย ถือว่าเป็นของที่ระลึกที่มีความหมายมากเลยนะคะเนี่ย ที่จริงลูกสาวของดิฉันก็ชอบเธอมากเลยค่ะ น่าเสียดายจริงๆ......”

สีหน้าของเฝิงหนานยังคงไม่น่าดูเหมือนเดิม พอผู้ช่วยเห็นท่าทางอารมณ์หล่อนแล้ว ก็ค่อยๆ ก้าวเข้าไปอย่างระมัดระวัง และวางมันลงไปบนโต๊ะข้างๆ มือหล่อน แม้แต่จะหายใจแรงๆ ก็ยังไม่กล้า

ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เฝิงหนานไม่กดรับมัน ผู้ช่วยของหล่อนทำใจกล้าเรียกออกไป เพราะเห็นว่าบนหน้าจอนั้นเป็นชื่อของผู้จัดการส่วนตัวของเฝิงหนาน หล่อนกัดฟันนาน ผู้ช่วยจึงเรียกออกไปอีกครั้ง

“คุณเฝิงคะ......”

“รับเถอะ”

เฝิงหนานพยายามสะกดกลั้นความโมโหเอาไว้ แล้วพูดออกไป

ผู้ช่วยรับคำ แล้วหยิบมือถือขึ้นมารับสาย ครู่หนึ่ง หล่อนก็รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามออกไป

“คุณเฝิงคะ คุณผางถามว่า ลายเซ็นของผู้กำกับจางที่คุณประมูลได้ในวันนี้ จะเอาไว้ที่บริษัท หรือว่าจะให้ส่งกลับมาที่บ้านดีคะ?”

ถ้าหล่อนไม่พูดถึงชื่อก็คงจะดี แต่พอพูดออกมาแล้ว เฝิงหนานก็รู้สึกเหมือนอยากจะระเบิดออกมาให้ได้

ข่าวในคืนนี้ พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเฝิงหนานได้จ่ายเงินประมูลไปมหาศาลเพื่อซื้อกระดาษแผ่นหนึ่ง พวกสื่อนักข่าวได้ทีก็เหน็บแนม ว่าหล่อนสูญเงินไปมากมายขนาดนั้น เพื่อซื้อกระดาษแค่แผ่นเดียว ไม่มีแล้วดาราสาว ‘ใจบุญ’ ที่ตั้งใจจะมาบริจาคเป็นแบบอย่างที่ดี

หลังจากที่เฝิงหนานได้เห็นคำวิจารณ์และคอมเม้นท์ต่างๆ แล้ว หล่อนก็โมโหจนคับแค้นใจไปหมด

ในวีดิโอนั่น ภาพการสัมภาษณ์ของคุณนายจางก็ถูกตัดไป กลายเป็นภาพที่พวกสื่อนักข่าวกำลังไล่ตามรถของเฝิงจงเหลียงอย่างบ้าคลั่ง หล่อนยกแก้วกาแฟขึ้นมา พยายามที่จะดับความโมโหในใจลง แต่วินาทีต่อมาหล่อนก็ได้ยินเสียงของเฝิงจงเหลียงดังออกมาจากในวีดิโอว่า

“เจียงเซ่อเป็นหลานของฉัน......”

เฝิงหนานทนไม่ได้อีกต่อไป หล่อนเขวี้ยงแก้วกาแฟลงกับพื้นจนมันแตกกระจาย

ของเหลวร้อนกระเซ็นไปทั่ว มีหยดเล็กๆ ที่กระเด็นไปโดนเท้าของผู้ช่วยด้วย ตอนนั้นเองที่สีหน้าของผู้ช่วยเปลี่ยนสีไปในทันที เฝิงหนานด่าสาปแช่งออกมา

“ไอ้แก่บ้าเอ้ย!”

เรื่องมาถึงขึ้นนี้แล้ว เฝิงหนานก็ยังคิดไม่ได้ว่าทั้งหมดก็เป็นความผิดของตัวเองนั่นแหละ หล่อนไม่ควรที่จะทำหนังเองตั้งแต่แรก ไม่ควรที่จะโลภมากหวังจะได้ทุกอย่างภายในครั้งเดียว