webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

367

บทที่ 367 คนพูด

บนหน้ากระดาษที่มีรูปพัดสมัยราชวงศ์ชิงที่ทำจากไม้แดงนั้นเขียนราคาติดเอาไว้ว่า 500,000~? และเจียงเซ่อก็พอจะคาดเดาได้ว่าพัดเล่มนี้จะอยู่ที่เท่าไหร่ เฝิงจงเหลียงเองก็คงจะดูออกเช่นกัน

เงินจำนวนนี้สำหรับเขา แค่นี้ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งเขาร่วงได้หรอก แต่เขาก็ยังเป็นห่วงกระเป๋าของเจียงเซ่อแทน

“อย่าคิดมากเลยค่ะ”

พิธีกรบนเวทีกำลังแนะนำของชิ้นต่อๆ ไป บริเวณที่นั่ง VIP เจียงเซ่อและเฝิงจงเหลียงกำลังพูดคุยกันเบาๆ

“ในงานเลี้ยงคืนนี้ พี่เชาฉวินบอกให้หนูบริจาคเงินสักก้อน ประมาณนี้พอดีเลยค่ะ”

เธอชูนิ้วออกมาแปดนิ้ว พอเฝิงจงเหลียงเห็นแล้ว ก็เหมือนนิ่งคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เกิดความสงสัยขึ้นมา

เจียงเซ่อไม่ได้เกิดมาในฐานะที่ร่ำรวยอะไร แต่เธอกลับเหมือนคุ้นชินกับงานเลี้ยงประมูลของแบบนี้ไม่น้อย เหมือนกับว่าเคยได้ประมูลของมาแล้วหลายงานอย่างไรอย่างนั้น

ราคาพัดไม้แดงของโจวซื่อเจี๋ยนั้น ในใจเธอเองก็น่าจะมีตัวเลขเอาไว้อยู่แล้ว เพราะงั้นถึงได้ทำสัญลักษณ์ว่า ‘แปดแสน’ ออกมา ก็ชัดเจนว่าในใจของเธอได้คำนวณและพิจารณาของสิ่งนี้มาแล้ว

ในสถานการณ์แบบนี้ มันดูขัดแย้งกับฐานะของเธอไม่น้อยเลย

“ยังไงก็ต้องแระมูลของมาสักชิ้นอยู่แล้ว แล้วหนูเองก็ไม่ได้อยากจะได้พวกเสื้อผ้าเครื่องประดับนั่นเท่าไหร่ มันดูจะเปลืองเงินไปเปล่าๆ ไม่เท่ากับซื้อของที่น่าสนใจแบบนี้หรอกค่ะ”

ถ้าพูดถึงเมื่อก่อน ทั้งสองคนถือว่าเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน ประเภทคนที่เขาดูรู้สึกไม่ชอบที่สุด ก็คือพวกที่ชอบเอาของแพงๆ หรือของมีค่ามาประเคนให้กับเขา และแน่นอนว่าเขาคงไม่มีทางเหลียวมองคนพวกนั้นด้วย

แต่พอตอนนี้เจียงเซ่อบอกจะมอบของให้เขา ถ้าในสายตาคนทั่วๆ ไปของชิ้นนี้ก็มีราคาที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน แต่สำหรับเฝิงจงเหลียงนั้นยากมากที่จะให้ราคากับพัดชิ้นนี้

ในค่ำคืนนี้ เด็กสาวทำตาโตสุกใส แล้วหัวเราะคิกคัก

“ช่วงนี้เป็นช่วงเดือนพฤษภาคมพอดีเลยนะคะ ยังร้อนไปอีกตั้งหลายเดือนเลย คุณปู่ก็ถือพัด แล้วก็ไปนั่งเล่นที่ศาลาต้นองุ่น จิบชาไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย ค่อยๆ สะบัดพัดไปมา ดูเป็นการฆ่าเวลาที่ดีไม่ใช่หรือคะ?” สิ่งที่เธอพูด ทำเอาเฝิงจงเหลียงชะงักนิ่งไป ยังไม่ทันได้พูดอะไร เจียงเซ่อก็พูดขึ้นต่อ

“คุณปู่พูดบ่อยๆ นี่คะ ว่าฤดูร้อนมาถึงแล้ว และมันก็ร้อนแทบบ้าแน่ะ? แล้วก็บอกว่าแอร์ในบ้านไม่เย็นเท่าลมที่พัดไปมาข้างนอกหรอก”

“ฉันเคยพูดแบบนั้นด้วยหรือ?”

มือของเฝิงจงเหลียงเริ่มสั่น เนื้อแก้มเกร็งเพราะกัดฟันแต่ก็ปล่อยออกอย่างรวดเร็ว คำพูดแบบนั้นส่วนมากเขามักจะบ่นให้เฝิงหนานฟังเสียมากกว่า แต่เขาเคยพูดกับเจียงเซ่อด้วยอย่างนั้นหรือ?

ที่เจียงเซ่อและเขาได้เจอกันบ่อยขึ้น ก็เพราะที่เขาหกล้มในครั้งนั้น ที่จริงทั้งสองคนก็ไม่ได้มาถึงก็สนิทกันเลย ฤดูร้อนปีก่อนนั่น เขาเคยได้พูดอะไรแบบนี้กับเจียงเซ่อด้วยอย่างนั้นหรือ?

เขาหันหน้าไปมองเสี่ยวหลิวที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง เจียงเซ่อก้มดูรายการอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจว่าจะประมูลพัดเล่มนั้นมาให้ได้ ถึงแม้ว่าหลังจากนี้อาจจะมีคนแย่งประมูลไป ถ้าจะต้องจ่ายเพิ่มเกินงบอีกสักนิดหน่อยก็จะต้องทำ

เธอหวนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ในวันวาน มีเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเฝิงจงเหลียงคนหนึ่ง เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้พัดเล่มหนึ่งที่ซุนจื้อเสียงลงมือเขียนตัวหนังสือและวาดรูปลงไปมา และนั่นก็ทำให้เฝิงจงเหลียงนั่งรู้สึกเสียดายอยู่หลายวัน พัดเล่มนั้นเขาเองก็อยากได้ เพื่อที่จะได้เอาไปอวดเพื่อนๆ ได้บ้าง

พอนึกถึงเรื่อนั้นขึ้นมา เจียงเซ่อก็ก้มหน้ายิ้มคนเดียว ไม่ทันได้สังเกตว่าเฝิงจงเหลียงกำลังจ้องมองมาที่เธออยู่เลย จ้องมองเหมือนว่ากำลังคาดการณ์อะไรบางอย่างอยู่

การประมูลสินค้าดำเนินไปถึงครึ่งหลังอย่างรวดเร็ว เซิ่งจิ้งจือหยิบกล่องไม้สีแดงที่มีความประณีตละเอียดอ่อนขึ้นมา ตัวกล่องนั้นดูน่าสนใจและดูสำคัญมากๆ แต่ข้างในนั้นกลับมีแค่การ์ดใบหนึ่งเท่านั้น เซิ่งจิ้งจือถือกล่องเอาไว้ในมือ แล้วยิ้มออกมา

“ของที่ชิ้นนี้ ผมว่าทุกคนน่าจะคุ้นกันดีนะครับ มันเป็นของของผู้กำกับชื่อดังของหัวเซี่ย ลายเซ็นชื่อของจางจิ้งอานครับ”

สิ้นเสียงของเซิ่งจิ้งจือ ดาราหลายๆ คนก็รีบพากันนั่งตัวตรง คงจะตั้งใจที่จะช่วงชิงการเซ็นชื่อในครั้งนี้กันพอดู

การ์ดกระดาษแผ่นนั้นเบาหวิว ไม่ได้มีราคาอะไรมากมายเลย เทียบไม่ได้แม้กับราคากล่องไม้ที่ใส่มันเอาไว้ แต่ชื่อที่เขียนอยู่ในนั้นต่างหากที่มีค่ามหาศาล เป็นค่าของคนที่เขียนชื่อลงไปในนั้น

ชื่อของจางจิ้งอาน ใครจะไปรู้ว่าแค่ชื่อของเขาที่อยู่ในกระดาษบางๆ นั้น จะหมายถึงโอกาสที่จะได้เข้าไปอยู่ในกองถ่ายของผู้กำกับใหญ่คนนี้รึเปล่า?

ทุกคนต่างคันไม้คันมือ ท่ามกลางกลุ่มคน แม้แต่เฝิงหนานที่โดนเฝิงจงเหลียงเมินเฉยและทำให้เจ็บช้ำน้ำใจก็กำลังนั่งตัวตรง ร่างกายหล่อนโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย เหมือนว่าจะต้องได้ใบเซ็นชื่อนั่นมาให้ได้

นักข่าวมากมายทั้งหลายที่อยู่ในงานต่างก็กำลังจดจ้องสถานการณ์อย่างเต็มที่ จางจิ้งอานยิ้มขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าไม่ได้เห็นเลยว่าตอนนี้พวกดารากำลังมีท่าทางที่จริงจังกันแค่ไหนกัน และทำเหมือนว่าไม่ทันสังเกตว่าถึงคิวใบเซ็นชื่อของตัวเองแล้ว และกำลังเป็นที่สนใจของทุกคน

เขานั่งกอดอก ตอนที่เซิ่งจิ้งจือมองมาทางเขา เขาก็ยกมือขึ้นโบกมือให้

“ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันนะครับ หนังทุกเรื่องที่ผู้กำกับจางกำกับนั้น ทุกๆ เรื่องล้วนแล้วยอดเยี่ยมทั้งนั้นเลย เขาได้ถ่ายหนังที่เรียกได้ว่าสุดยอดมากมาย และเป็นผู้กำกับที่ได้รับรางวัลอย่างล้นหลาม”

ตอนที่เซิ่งจิ้งจือพูดแบบนั้นออกมา ในงานก็พากันกู่ร้องชมกันอย่างสนุกสนาน จางจิ้งอานเองก็ยิ้มหัวเราะ เขายิ้มออกมาอย่างภูมิอกภูมิใจ

“แต่ทุกคนอาจจะยังไม่รู้ ว่านอกจากนี้แล้ว ผู้กำกับจางยังเป็นหนึ่งในสมาชิกสมาคมการเขียนพู่กันจีนของหัวเซี่ยอีกด้วยนะครับ นอกจากจะกำกับหนังแล้ว เขายังเชี่ยวชาญทางด้านการวาดรูปและเขียนตัวหนังสืออีกด้วย และฝีมือก็ยอดเยี่ยมสุดๆ ไปเลย” พอเซิ่งจิ้งจือพูดจบ เขาก็เปิดกล่องไม้แดงนั้นออก และให้ทุกคนได้เห็นว่าข้างในกล่องนั้นมีการ์ดอยู่หนึ่งใบ

“ตัวหนังสือที่ถูกวาดขึ้นมาโดยผู้กำกับจาง พูดได้ว่าเป็นสิ่งที่มีเงินก็ยากจะได้มา ทุกคนในวงการล้วนถือว่าการได้ตัวอักษรของผู้กำกับจางไปนี่เป็นเกียรติมากเลยนะครับ ตอนที่ทาง ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ ตั้งใจที่จะจัดงานการกุศล ‘หัวเซี่ยเปล่งประกาย’ ขึ้นมา ผู้กำกับจางก็ได้ตั้งใจส่งการ์ดชื่อของตนเองมาให้ในทันที หลังจากนี้ก็ขอเชิญให้ผู้ที่มีความสนใจทั้งหลายเตรียมตัวกันเอาไว้ได้เลยนะครับ!”

จากนั้นเขาก็พูดถึงกฎการประมูลขึ้นมาอีกครั้ง “การ์ดชื่อใบนี้ ไม่มีขั้นต่ำนะครับ แต่มีกฎว่าจะต้องเริ่มด้วยเลขสอง ห้า และแปดไปตามลำดับนะครับ” หรือพูดได้ว่า การ์ดชื่อใบนี้ จะเริ่มต้นที่สองร้อย ห้าร้อย แปดร้อย และจะเริ่มนับอีกทีเป็นหนึ่งพัน หนึ่งพันสอง หนึ่งพันห้า เพิ่มขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคนสุดท้าย

ชื่อของจางจิ้งอาน ดูเหมือนว่าจะเป็นที่ต้องการมากกว่าที่เจียงเซ่อคิดเอาไว้เสียอีก

กลุ่มดาราที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวอะไรมากนัด ตอนนี้ก็เริ่มที่จะกลัวยกป้ายไม่ทันกันแล้ว สถานการณ์ในงานตอนนี้ดุเดือดไม่น้อย เมื่อเทียบกับบรรยากาศที่เงียบสงบก่อนหน้านี้ดูแล้ว ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกคนกำลังกลัวและตื่นเต้นสุดๆ เพราะกลัวว่าจะโดนคนอื่นแย่งไป

เฝิงหนานเองก็ไม่หยุดที่จะยกป้ายในมือขึ้น สิบนาทีหลังจากนั้น ราคาประมูลการ์ดชื่อของจางจิ้งอานก็เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งแสนสองหมื่นแล้ว!

ตอนนี้หลังจากที่เหล่าดาราเห็นแล้วว่ามีใครเป็นคู่แข่งบ้าง ก็เริ่มที่จะเลือกวางมือไปอย่างรู้ดี แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังไม่อยากยอมแพ้กัดฟันสู้ต่อ เฝิงหนานเองก็เริ่มที่จะไม่ชอบใจแล้ว เซิ่งจิ้งจือที่ยืนอยู่บนเวทีก็ประกาศออกมาว่าอยู่ที่ ‘หนึ่งแสนสองหมื่น’ คนที่พร้อมจะยกป้ายขึ้นอีกยังมีอีกหลายคน เฝิงหนานเองก็ไม่ลังเลที่จะยกป้ายขึ้น จ้าวจวินฮั่นขมวดคิ้ว รีบคว้ามือหล่อนเอาไว้อย่างไม่ทนอีกต่อไป

“พอแล้ว”

“พอ?”

เฝิงหนานหันกลับไปมอง แล้วยิ้มเยาะข้น ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมลอนของตัวเอง แล้วถอนหายใจออกมา

“กระดาษที่มีลายเซ็นของจางจิ้งอาน ฉันจะต้องเอามันมาให้ได้”

การประมูลที่แสนดุเดือดทำให้บนหน้าผากหล่อนเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา ชุดที่หล่อนสวมใส่อยู่นั้นดูบางไม่น้อย ในงานเองก็เปิดแอร์แรง ความเย็นในห้องจัดงานจึงถึงว่าต่ำพอสมควร

แต่พอเริ่มคว้าใบเซ็นชื่อนั่นมาไม่ได้ง่ายๆ ในใจของเฝิงหนานมันก็รู้สึกร้อนรนไปหมด

“โอกาสแบบนี้ ฉันจะปล่อยให้มันเป็นของคนอื่นไปได้ยังไง”

หล่อนมองไปรอบๆ งาน คนที่ยังพยายามแย่งชิงกับหล่อนมาจนถึงตอนนี้ นอกจากจะมีพวกดาราระดับสองแล้ว ก็ยังมีพวกดารานางเอกอยู่ด้วย แล้วแบบนี้หล่อนจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไรกัน