webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

366

บทที่ 366 ประมูลขาย

ตอนที่ถ่ายหนังเรื่อง ‘Evil’ เจียงเซ่อมักจะมาถึงที่กองถ่ายเช้าและไวกว่าคนอื่นเสมอ บางทีถ่ายเสร็จแล้วก็ยังไม่ได้หลับ แต่คอยสังเกตการแสดงตัวเองและการแสดงของคนอื่นๆ แทน

“ตอนที่จ้าวร่างมาเกลี้ยกล่อมให้ผมยอมเล่นเป็นลั่วเซิ่น ที่จริงผมไม่ได้คิดที่จะรับเล่นเลยด้วยซ้ำ”

หลิวเย่ยกมือขึ้นป้องปาก แล้วพูดเสียงเบา

“ตัวบทน่ะดี แต่ถ้าจะทำให้หนังประสบความสำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่พล็อตเรื่อง”

จางจิ้งอานพยักหน้า หลิวเย่พูดต่อ

“แต่เจียงเซ่อสามารถเกลี้ยกล่อมผมได้”

หลิวเย่นึกถึงตอนที่เซี่ยเชาฉวินนัดเจอแล้ว ในตอนที่เชาได้เห็นเจียงเซ่อ ตอนนั้นร่างกายเธอผอมซูบ แววตาของเธอมืดหม่น เธอแสดงเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งจะเสียลูกสาวและเสียความหวังของครอบครัวไปได้อย่างถึงพริกถึงขิง

วินาทีนั้นหลิวเย่คิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องเสริมอะไรเข้าไปอีกแล้ว และเขาก็โดนเธอพาให้อินไปกับสถานการณ์ในเนื้อเรื่องนั้นได้อย่างรวดเร็ว จนต้องต่อบทกับเธอเลยทีเดียว

ตอนนั้นเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นกับการแสดงของเจียงเซ่อไม่น้อย จ้าวร่างเองก็ลุกขึ้นปรบมือชื่นชม หลังจากนั้นแม้แต่หยางป๋อซีเองก็คิดว่าเป็นเพราะเขามีฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยม ประสบการณ์การแสดงก็โชกโชน ถึงได้เข้าถึงอารมณ์และต่อบทได้เร็วขนาดนั้น

แต่เมื่อหลิวเย่ได้มองลองนึกๆ ในภายหลัง ตอนนั้นเขาเองก็ได้รับแรงอารมณ์จากเจียงเซ่อจนรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปด้วย ความมืดหม่นของตัวละครที่เธอเล่น ความรู้สึกเหล่านั้นสามารถทำให้คนอื่นๆ เกิดความหวั่นไหวได้อย่างไม่ยาก ในตอนนั้นหลิวเย่รู้สึกแม้กระทั่งเหมือนว่าเธอนั้นได้สูญเสียใครคนหนึ่งที่เคยมีอยู่ไปแล้วจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น เขาสัมผัสถึงความโดดเดี่ยวและอ้างว้างในแววตาของเธอได้

แต่เธอก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไปจริงๆ เรื่องครอบครัวของเธอพวกแฟนคลับก็ไม่ค่อยรู้กันเท่าไหร่ มันถูกปิดเป็นความลับตามที่เซี่ยเชาฉวินได้สั่งให้เก็บเอาไว้อย่างมิดชิด แต่เท่าที่หลิวเย่รู้มา ฐานะของเธอนั้นก็ธรรมดาๆทั่วไป มีแฟนหนุ่ม มีงานมีการ และโอกาสดีๆ ก็อยู่ตรงหน้า และมีเซี่ยเชาฉวินเป็นผู้จัดการส่วนตัว ตามหลักการแล้วนั่นก็คงจะเป็นช่วงที่เธอทำอะไรก็ราบรื่นไปหมดทุกอย่างแล้ว

หรือพูดได้ว่า ที่หลิวเย่มองเห็นถึงความโดดเดี่ยวในแววตาของเธอ อาจเป็นไปได้ว่าเธอกำลังนึกถึงเรื่องราวบางอย่างอยู่ และนำมันออกมาใช้ในการแสดงในครั้งนั้น

วินาทีนั้นหลิวเย่รู้สึกว่า เจียงเซ่ออาจจะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะเลยก็ว่าได้ ถ้าหากว่าเธอสามารถแสดงให้ตัวละครตัวนั้นเหมือน ‘มีชีวิต’ ได้จริงๆ ละก็ อย่างนั้นความรู้สึกที่เขามีก็คงไม่ใช่มีต่อเจียงเซ่อ ไม่ใช่เด็กสาวรับใช้ในเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ไม่ใช่โต้วโค่วในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ แต่เป็นจางยวี่ฉินในเรื่อง ‘Evil’ ต่างหาก ในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้วหลิวเย่ก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ร่วมแสดงหนังกับเธอ

ถ้าหากจะพูดถึงตอนที่เขาได้เห็นตัวบทและตัวนิยายในครั้งแรก ในหัวสมองของหลิวเย่นั้นคิดว่าตัวละครจางยวี่ฉินจะต้องเป็นไปตามอย่างที่ตัวเองตัดสินและคาดเอาไว้แน่ๆ ก็เหมือนกับตอนที่เขาอ่านจนเข้าใจถึงตัวละครลัวเซิ่นได้อย่างถ่องแท้

จางยวี่ฉิน เป็นผู้หญิง เลิกรากับสามีไปแล้ว เป็นพนักงานขายประกันคนหนึ่ง มีลูกสาวเพียงคนเดียวที่ชื่อจูจู และมีชีวิตที่ยากแค้นแสนเข็ญ......

ก่อนหน้านี้เขาสามารถนิยามคำต่างๆ ให้กับตัวละครจางยวี่ฉินออกมาได้เป็นประโยคเลยด้วยซ้ำ แต่พอได้มาเห็นเจียงเซ่อ ก็เพิ่งจะได้เห็นถึงมุมมองใหม่ๆ ตอนนั้นเรื่องทีมงานกองถ่ายก็ยังไม่เรียบร้อยดี แม้แต่สตอรี่บอร์ดของฉากแต่ละฉากก็ยังวาดไม่เสร็จด้วยซ้ำ แต่เธอก็สามารถดึงแก่นแท้ของตัวละครจางยวี่ฉินออกมาได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว

หลังจากนั้นหลิวเย่ก็ค้นพบว่า หลังจากที่ทีมงานกองถ่ายนั้นสมบูรณ์ และได้เห็นสตอรี่บอร์ดในแต่ละฉากของจางยวี่ฉินที่จ้าวร่างจะต้องถ่ายทำแล้ว มันก็มีหลายจุดมากที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวเจียงเซ่อเอง

“เด็กสาวแบบนี้ ผมว่าแค่ความสวยของเธอคงไม่ใช่อาวุธที่แรงที่สุดแล้วละครับ”

เธอไม่ละทิ้งความมุ่งมั่นเดิมของตนเอง ทั้งๆ ที่อยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งหลายปีแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนตัวเธอได้เลย ในตอนที่เขากำลังถ่ายทำหนังอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นแล้วว่าการแสดงและความตั้งใจของเธอยังคงเหมือนตอนที่เธอเล่นในเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ไม่เปลี่ยนเลย

ความต้องการในสิ่งต่างๆ ของจ้าวร่างเองก็หนักเอาการ รอบแรกไปไม่ผ่าน ก็ต้องถ่ายใหม่รอบที่สอง รอบที่สาม รอบที่สี่......

จนการทั่งทุกคนอ่อนระโหยโรยแรง ทีมงานหลายๆ คนต่างก็เอ่ยปากบ่นว่ามันลำบากมากแค่ไหน แต่มีเพียงเธอที่ยังกัดฟันสู้ต่อไป

มีฉากหนึ่งที่ต้องตามหาจูจู จางยวี่ฉินจะต้องเข้าไปรื้อกองหญ้าฟางขนาดใหญ่ เจียงเซ่อก็ไม่ลังเลที่จะลงมือไปแหวกไปคุ้ยมันออกมา ทำให้หลังจากนั้นเกิดรอยแผลบนมือและแขนของเธอมากมาย ฉากๆ นั้นได้ถูกกล้องจับภาพเอาไว้แล้ว และตัวนักแสดงแทนที่มารอนั้นก็ไม่ได้ออกโรงแสดงด้วย เพราะมันไม่จำเป็นอีกต่อไป

นี่อาจเป็นเพราะว่าจ้าวร่างเองก็เอ็นดูเจียงเซ่อเป็นพิเศษก็ได้

หลังจากที่ถ่ายเรื่อง ‘Evil’ เสร็จแล้ว ในงานเลี้ยงปิดกล้อง จ้าวร่างก็ได้มีการพูดเล่นๆ ว่า ตั้งแต่ที่ตัวเองทำงานในวงการนี้มาหลายปี นักแสดงหญิงที่เขาชอบที่สุดก็คือเจียงเซ่อ วันหลังถ้าจะทำหนังเรื่องใหม่อีก ขอแค่เจียงเซ่อตอบตกลง กองถ่ายของเขา ก็พร้อมที่จะต้อนรับเจียงเซ่ออยู่เสมอ

“เดี๋ยวหลังงานเลี้ยงจบ ฉันจะลองหาเวลาไปนัดเจอเธอดูแล้วกัน”

พอจางจิ้งอานพูดออกมาแบบนั้นแล้ว ก็แสดงถึงว่าหัวข้อสนทนานั้นจบลงด้วย

หลิวเย่ตอบ ‘ครับ’ ออกไปเบาๆ บริษัทลงทุนที่ลงทุนให้กับหนังของจางจิ้งอานนั้นก็มีอยู่หลายแหล่งที่เป็นของต่างประเทศ มีเรื่องบางเรื่อง เขาเองก็ไม่สามารถที่จะจัดการตัดสินใจเอาเองได้ ก็แค่แสดงความคิดเห็นออกไป เรื่องที่จะร่วมงานกับเจียงเซ่อหรือไม่ก็ยังต้องมีการปรึกษากัน

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ดูๆ เวลาแล้ว ก็ใกล้จะถึงเวลาประมูลสินค้าเต็มที

ผู้ดำเนินงานพิธีกรที่ทางงานเลี้ยงได้เชิญมานั้น คือพิธีกรของ ‘คนดังนั่งคุย’ อย่างเซิ่งจิ้งจือ กำลังเชิญให้ผู้บริหารชั้นสูงของ ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ ไปร่วมพูดคุยกันบนเวที จนกระทั่งถึงช่วงที่จะต้องประมูลสินค้าแล้วนั้น ก็เป็นช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายแล้ว

กฎของการประมูล ไฮไลท์ของงานนั้นจะเผยออกมาในช่วงหลังสุดเสมอ ส่วนมากของที่นำออกมาเป็นชิ้นแรกๆ มักจะเป็นของที่เหล่าดาราเอาออกมาบริจาคเพื่อเป็นที่ระลึก เช่นพวกเสื้อผ้าที่ใส่แสดงหนัง เครื่องประดับและของมีค่าต่างๆ และราคาแต่ละอย่างก็ต้องเป็นของที่หาครอบครองได้ยาก

ของต่างๆ ที่เรียงรายกันอยู่ข้างหน้านั้นมีอยู่หลากหลายแบรนด์ ราคาชิ้นหนึ่งก็อยู่ที่หลักหมื่นแล้วด้วย

เจียงเซ่อลองมองว่าชิ้นไหนที่ตัวเองพอที่จะประมูลมาได้อย่างคุ้มค่าบ้าง และสายตาของเธอก็ไปสะดุดอยู่ที่พัดเล่มหนึ่งเส้าฉุนจิ่นเอานำมาประมูลขาย

พัดเล่มนั้นเป็นผลงานชิ้นเอกของช่างฝีมือยอดเยี่ยมอย่างโจวซื่อเจี๋ยในสมัยปลายราชวงศ์ชิง มันทำมาจากการแกะสลักไม้สีแดง ถ้าให้เธอลองเดาราคาของมันดู พัดเล่มนี้น่าจะอยู่ที่ราวๆ หกแสนได้ ในงานแบบนี้ เพื่อที่จะเอาหน้าเส้าฉุนจิ่น บางทีพัดเล่มละหกแสนเล่มนี้ก็อาจจะมีการประมูลกันไปถึงเจ็ดแสนเลยก็ได้

แต่ว่าพัดเล่มนี้ก็มีอายุยาวนานมากแล้ว ภายนอกและสีของมันจึงดูเก่าอยู่ไม่น้อย มองดูแบบนี้แล้ว ก็ดูจะไม่ค่อยทันสมัยเท่าไหร่ คงไม่ได้รับความสนใจจากพวกดาราที่ชอบความสวยความงามกันเท่าไหร่ แต่ก็อาจจะมีนักธุรกิจบางคนที่อยากจะได้มันไปเป็นของสะสม

แต่ว่าคนที่มาในงานคืนนี้ ก็ล้วนแล้วเป็นคนที่อยู่ในวงการบันเทิงทั้งนั้น คนที่จะร่วมประมูลคงมีไม่มากเท่าไหร่ และมันก็พอดีแหละเหมาะสมกับงบของเธอแล้วด้วย

ที่สำคัญก็คือ ถ้าหากว่าประมูลพัดเล่มนั้นมาได้ ก็ยังให้เฝิงจงเหลียงเก็บเอาไว้เล่นๆ ได้อีกด้วย ของแบบนี้คนอื่นคงไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่เฝิงจงเหลียงจะต้องสนใจแน่ๆ

พอคิดได้แบบนั้น เจียงเซ่อก็หันไปหยิบใบข้อมูลมา แล้วเปิดให้เฝิงจงเหลียงดูตรงหน้า

“คุณปู่ ถ้าหนูประมูลพัดเล่มนี้มาได้ แล้วให้คุณปู่ คุณปู่จะว่ายังไงคะ?”

ที่จริงที่เฝิงจงเหลียงมาในงานนี้ก็เพื่อที่จะมาเอาภาพวาดจีนของโอวเมี่ยวเซิงกลับ เขาไม่ค่อยชอบและชินกับงานเลี้ยงแบบนี้เท่าไหร่ และไม่คิดว่าในงานนี้นอกจากภาพวาดที่เฝิงหนานเอามาประมูลขายแล้ว จะมีของอะไรที่คู่ควรให้เขาประมูลมาอีก ก่อนหน้านี้เสี่ยวหลิวเองก็ได้พูดถึงรายชื่อของที่จะมีการประมูลขายในคืนนี้แล้ว แต่ส่วนมากก็เป็นพวกเสื้อผ้าเครื่องประดับทั้งนั้น เขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด

แต่พอตอนนี้มาได้ยินเจียงเซ่อพูดขึ้น และเห็นว่าเธอเปิดข้อมูลให้ดูด้วย เขาก็หันไปดู และกลับคิดว่ามันก็น่าสนใจดี

พัดที่อยู่ในรูปนั่น มันดูไม่เข้ากันกับของชิ้นอื่นๆ เลยสักนิด แต่สำหรับเขาแล้ว น้อยมากที่จะมีของอะไรที่ทำให้เขาเกิดสนใจขึ้นมา พอเริ่มมีความสนใจแล้ว ก็มองดูมันอีกรอบ

“จะให้เธอมาจ่ายเงินให้ได้อย่างไรกัน เธอเก็บเอาไว้เถอะ ออมเงินเอาไว้ใช้เป็นสินสมรส”