webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

364

บทที่ 364 หนาวหรือเปล่า

สิ่งที่แฟนคลับสนใจคือเสื้อผ้าที่เจียงเซ่อสวมใส่นั้นสวยงามหรือไม่ รูปแบบเป็นอย่างไร

และพวกสื่อเองก็หวังแค่ว่าเธอจะสวมเสื้อผ้าได้อย่างสง่างาม ยิ่งมีความเซ็กซี่ก็ยิ่งดี สามารถดึงดูดสายตาคนดูได้หรือไม่ แม้แต่ตัวเจียงเซ่อเอง ตอนที่เลือกเป็นชุดกระโปรงตัวนี้มา ก็แค่คิดว่าชุดกระโปรงตัวนี้จะสามารถช่วยขับบุคลิกภาพและเรือนร่างให้กับเธอได้

แต่คงจะมีเฝิงจงเหลียงคนเดียว ที่มาถึงก็ถามเธอแบบนั้น ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ หนาวหรือเปล่า

พอเธอโดนถามแบบนั้นออกมา น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ก็แทบจะเอ่อออกมาอยู่แล้ว แต่ก็ยังพยายามที่จะเก็บมันเอาไว้

ในห้องโถงใหญ่ที่เป็นสถานที่จัดงานนั้นเปิดแอร์แรงจนสัมผัสได้ถึงลมที่มาปะทะตัว ถ้าหากว่าเฝิงจงเหลียงไม่ถาม บางทีเจียงเซ่อก็อาจจะไม่รู้สึกตัวก็ได้ว่าหนาวหรือเปล่า

ในงานแบบนี้เหล่าดาราสาวๆ ก็ต้องพากันประชันความสวยความงามกันอยู่แล้ว ก็มีแค่คุณปู่ที่แหละที่ยังเป็นห่วงเธออยู่เสมอ

ถึงแม้ว่าเธอจะมาเกิดใหม่แล้ว แต่ความเป็นห่วงเป็นใยของคุณปู่ที่มีต่อเธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ขอบตาเริ่มแดง ในงานแบบนี้ รอบๆ มีแต่สื่อคอยจ้องมองเต็มไปหมด แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจจะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ

ในคืนนี้เธอตกเป็นเป้าสายตาไปแล้วหลายครั้งหลายครา เพราะงั้นน้ำตาหยดนี้จะไหลออกมาไม่ได้เด็ดขาด

เจียงเซ่อหลุบตาลง เพื่อซ่อนขอบตาที่แดงก่ำเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาออกมาพร้อมกับกลั้นน้ำตาไปด้วย

“ยังโอเคอยู่ค่ะ ที่จริงก่อนลงมาจากรถก็มีผ้าคลุมไหล่คลุมเอาไว้ด้วย แต่พอเข้ามาในงานแล้วก็เลยเอาออกน่ะค่ะ”

เธอจะยอมให้คุณปู่มากังวลเป็นห่วงเธอได้อย่างไรกัน พอพูดให้เขาเกิดความสบายใจออกไป เขาตอบกลับออกมาว่า

“เด็กๆ อย่างพวกเธอนี่นะ แม้แต่ร่างกายตัวเองก็ไม่ดูแล แล้วยังจะใส่ประโปรงอะไรแบบนี้อีก ตอนอายุน้อยๆ ไม่ยอมระวังกัน แก่ตัวไปเดี๋ยวก็ปวดโน่นปวดนี้” พอเขาสอนจบ สีหน้าที่ดูเคร่งขรึมก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“ไว้คราวหน้าไปที่บ้านอีก จะให้พ่อครัวตุ๋นอะไรให้ดื่มบำรุง”

เขามองดูร่างกายที่ผอมบางของเธอแล้ว ถ้ามองในสายตาของคนทั่วๆ ไปแล้ว รูปร่างแบบนี้ถือว่ากำลังดีแล้ว แต่ในสายตาของเฝิงจงเหลียง เขารู้สึกว่าผอมจนแทบเห็นแต่กระดูกอยู่แล้ว

แต่พอคิดถึงว่าเธอทำงานอะไร และนึกถึงก่อนหน้านี้ที่เธอฟ้องเขาว่าเซี่ยเชาฉวินจัดตารางงานให้เธอเรียนเยอะแค่ไหน เขาขยับปากเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา

“ดื้อจริงๆ เลย”

พอเขาพูดจบ เจียงเซ่อก็ตอบกลับทันที

“หนูรู้ค่ะว่าคุณปู่เป็นห่วง คำพูดของคุณปู่ หนูจะจำเอาไว้นะคะ เอาไว้คราวหน้าจะพยายามเชื่อฟังคุณปู่ให้ได้เลย”

“ถ้าเชื่อฟังก็กลับไปเรียนหนังสือดีๆ สิ ไม่ต้องแสดงแล้วพวกหนังอะไรเนี่ย พอเรียนจบแล้ว ก็แต่งงานกับอาอี้ มันไม่ดีตรงไหนหรือ?”

เขาจ้องเธอ เจียงเซ่อไม่ได้ตอบอะไรเขา คำถามปัญหานี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองพูดคุยกัน เฝิงจงเหลียงไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเธอได้ เขาส่ายหน้า

“อายุก็ยังน้อย แต่กลับมีนิสัยที่ดื้อรั้นขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเหมือนใครจริงๆ เลย”

“ก็เรียนรู้มาจากคุณปู่ไงคะ!” เจียงเซ่อตอบกลับไป เฝิงจงเหลียงหน้านิ่งไป เสี่ยวหลิวที่ยืนอยู่ด้านหลังกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวจึงหลุดขำออกมา เฝิงจงเหลียงชะงักฝีเท้าเตรียมจะหันไปต่อว่า แต่เจียงเซ่อก็ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอพยายามปั้นหน้านิ่ง จนเฝิงจงเหลียงเองก็ทนไม่ได้จนต้องยกมุมปากขึ้นเหมือนกัน

แต่พอหัวเราะขึ้นมาแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเฝิงหนานขึ้นมา

เฝิงจงเหลียงมักจะแอบคิดเสมอว่า สวรรค์นั้นเป็นธรรมเสมอ ตั้งแต่ที่หลายสาวของตนเองเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก แต่ก็ได้ส่งเด็กสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูและเฉลียวฉลาดมาให้กับตนแทน

ถ้าหากว่าเฝิงหนานไม่ได้เปลี่ยนไป ยังคงเป็นคนเดิมเหมือนเมื่อก่อน เป็นหลานสาวที่เชื่อฟังคำสั่งสอนมาเสมอ ถ้าหากว่าเธอหยอกล้อกับเขาเหมือนอย่างในตอนนี้ เธอจะเป็นเหมือนเจียงเซ่อหรือเปล่านะ?

เขาคิดว่าถ้าหากหลานสาวตัวเองที่มีนิสัยนิ่งเงียบและดูสงบ เปลี่ยนมาพูดคุยหยอกล้อกับเขาแบบนี้ดูบ้าง ก็คงจะดูแปลกดีไม่น้อย แววตาอ่อนโยน แต่แค่เพียงครู่เดียวเขาก็ถอนหายใจออกมา มาคิดอะไรตอนนี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา?

นิสัยของเฝิงหนานเปลี่ยนแปลงไปมาก เปลี่ยนไปจนเขาแทบจะจำไม่ได้ว่าเป็นใคร และดูท่าว่าคงไม่มีทางกลับมาเป็นเด็กสาวที่เชื่อฟังอย่างเดิมได้อีก และไม่มีทางที่จะเหมือนกับเจียงเซ่อด้วย ที่จะทำให้เขาได้รู้สึกเป็นสุขที่มีลูกหลานมาคอยเอาใจใส่แบบนี้

พอคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว เฝิงจงเหลียงก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาไม่น้อย แต่เขาก็รู้สึกตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่าตัวเองกำลังเหม่อ เขาพยายามเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ แล้วหันไปคุยกับเจียงเซ่อต่อ

“หินหวงเถียนที่เอามาให้ฉันเมื่อครั้งก่อน ช่วงนี้ฉันเองก็หาหินมาลองฝึกๆ มือดูอยู่เหมือนกัน”

เฝิงจงเหลียงยอมให้เจียงเซ่อประคองตนจนเดินไปถึงที่นั่ง VIP ที่ทาง ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ จัดเตรียมเอาไว้ให้ แล้วพูดถึงหินที่ครั้งก่อนเจียงเซ่อให้มา จิตใจของเขาค่อยๆ ดีขึ้น ราวกับว่าความรู้สึกหม่นหมองเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไปมากแล้ว

“ช่วงนี้ก็กำลังหาแรงบันดาลใจกลับมา แต่ว่ายังไม่ได้แตะหินก้อนนั้นเสียที เอาไว้ให้คุ้นชินกว่านี้หน่อย เอาถ้าเธอว่างๆ ก็ลองมาแกะดูหน่อยก็ได้นะ แกะออกมาเป็นพวกตัวหนังสือ แกะบนหินนั่นแหละสวยที่สุดแล้ว”

พอเสี่ยวหลิวเห็นว่าเขายิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ในใจก็รู้สึกโล่งขึ้นไม่น้อย

ที่จริงคืนนี้เฝิงจงเหลียงอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก พอเขารู้ว่าเฝิงหนานจะเอาภาพวาดมาประมูลขาย และเป็นภาพวาดจีนของโอวเมี่ยวเซิงที่เธอเคยเก็บสะสมเอาไว้อีก ยิ่งทำให้เขาเงียบไปอยู่สักพักใหญ่

ภาพวาดเหล่านั้นที่เฝิงหนานเก็บสะสมเอาไว้ ต้องใช้ความพยายามมาอย่างมากมายกว่าจะได้มาไว้ในครอบครอง

ตอนนั้นต้องยากลำบากมากกว่าจะได้มา แต่กลับเอาออกมาบริจาคได้ง่ายๆ แบบนี้ เพียงแค่อยากจะกลายเป็นจุดเด่นเท่านั้นน่ะหรือ

ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจมางานนี้ เฝิงจงเหลียงเองก็ไม่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย โชคดีที่นอกจากในงานจะมีเฝิงหนานแล้ว เจียงเซ่อเองก็อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเสี่ยวหลิวเองก็คิดว่าคงไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเฝิงจงเหลียงแล้ว

“ได้ค่ะ”

เจียงเซ่อพยักหน้า ท่านอาวุโสและเด็กสาวเดินมาถึงที่ที่นั่ง VIP ส่วนการประมูลของจะเริ่มขึ้นในอีกยี่สิบนาที

ท่าทางที่สนิทสนมของเฝิงจงเหลียงและเจียงเซ่อ ไม่เพียงแค่ในจิตใจของเฝิงหนานเท่านั้นที่รู้สึกไม่เป็นสุข เพราะแม้แต่พวกนักข่าวเองก็พากันเดาไปต่างๆ นาๆ

หลายคนแทบจะปกปิดใบหน้าสงสัยใคร่รู้ของตัวเองไม่มิดด้วยซ้ำ จางจิ้งอานและหลิวเย่ที่นั่งอยู่ตรงบริเวณที่นั่งแถวที่สองหน้าเวทีเอง ก็ต้องเห็นภาพเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

“ท่านอาวุโสท่านนี้ค่อนข้างรักสันโดษทีเดียว ไม่ค่อยออกงานเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้วิสาหกิจจงหนานจะเจริญเติบโตไปมาก แต่ก็ยังน้อยที่จะได้เห็นเขาเผยตัวมาออกงาน”

จางจิ้งอานไม่ได้เป็นคนที่ขี้สงสัยอะไรมากมายนัก แต่พอได้เห็นฉากเด็ดๆ แบบนี้ ก็เก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหวเหมือนกัน จึงหันไปพูดคุยกับหลิวเย่ที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ตอนที่อยู่ที่ฮ่องกง ข่าวลือเกี่ยวกับอาวุโสท่านนี้ก็มีไม่น้อยเลยล่ะ”

สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยลำแข้งตัวเอง ก่อตั้งวิสาหกิจจางหนานขึ้นมา บริษัทที่มีชื่อเป็นชื่อของเขาก็มากมาย ทรัพย์สินของบ้านคงจะมีมากกว่าสิบพันล้านไปแล้ว เป็นคนที่มีชื่อเสียงนับหน้าถือตาอันดับต้นๆ เลยทีเดียว

นอกจากความรวยความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรืองและบริษัทหลายๆ แห่งที่อยู่ในนามของเขาแล้ว ก็ยังมีเรื่องนิสัยของเขาที่เป็นที่เลื่องลือ

ชายอาวุโสที่อยู่ทั้งโลกการเมืองและโลกธุรกิจของฮ่องกง ทำให้มีคำนิยามของเฝิงจงเหลียงมาอยู่หนึ่งประโยค คุณค่าของเขาไม่ได้อยู่ที่ฐานะฐานะตระกูลเท่านั้น ชื่อเสียงของเขาก็ดีไม่น้อย ไม่ว่าจะทำอะไรก็พิถีพิถันและมีกฎเกณฑ์ที่จริงจังเข้มงวด พูดได้ว่าถ้าเขาคิดที่จะขยายวิสาหกิจจงหนานให้กว้างขวางไปกว่านี้ เรื่องเงินทางก็ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด

นอกจากที่ทางธนาคารต่างๆ ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับเขาแล้ว เศรษฐีที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในฮ่องกงและมาเก๊าเอง ต่างก็ยินดีที่จะให้เงินกู้ยืมกับเขา

แต่แค่ช่วงนี้ที่เฝิงจงเหลียงเริ่มมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ หลายปีที่ผ่านมานี้จึงไม่ค่อยเข้ามาจัดการอะไรมากมายนัก และวิสาหกิจจงหนานก็ค่อยๆ กลายเป็นของรุ่นที่สองของตระกูลเฝิงไปแล้ว และการเจริญเติบโตของธุรกิจก็ช้าลงด้วยเช่นกัน

ผู้อาวุโสคนนี้ไม่ค่อยชอบทำความรู้จักกับใครใหม่ๆ เท่าไหร่ ตอนที่เขาเป็นหนุ่มๆ เคยได้เข้าร่วมกองทัพทหารในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นมาก่อน หลังจากที่การปฏิวัติจบไป ก็ได้เลื่อนขั้นในหน้าที่การงานด้านทหารขึ้นมา เขาก็ยกฐานะตัวเองให้สูงขึ้นเช่นกัน แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้มาสนิทกับเจียงเซ่อได้กันล่ะ? อีกทั้งเจียงเซ่อเองก็เป็นแค่ดาราที่เพิ่งจะเข้ามาในวงการได้แค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง!