webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

363

บทที่ 363 เอาใจใส่

เฝิงจงเหลียงแตะลงบนแขนของเจียงเซ่อ มือที่แตะลงไปนั้นใส่แรงเข้าไปเล็กน้อยด้วย ฝ่ามือของเขาเย็นเฉียบ แต่ก็อ่อนโยน ดูก็รู้ว่าตอนนี้ในใจของเขาไม่ได้สงบเหมือนอย่างที่ภายนอกเป็นเลย

เจียงเซ่อไม่อยากจะให้เฝิงจงเหลียงต้องโมโหไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรก็ตาม เธอจึงรีบตอบคำถามของเขาก่อนหน้านี้เพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่องทันที

“ช่วงนี้หนูเองก็เหนื่อยไปหน่อยน่ะค่ะ พี่เชาฉวินจัดตารางงานให้หนูทั้งวันเลย เยอะมากด้วย”

ก่อนที่จะมาเกิดใหม่ เธอมักจะมีความความเคารพและเชื่อฟังอยู่เสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเฝิงจงเหลียง ชอบที่จะเงียบไม่พูดไม่จา ยังไม่เคยเลยสักครั้งที่จะแสดงท่าทางออดอ้อนแบบนี้

แต่พอเจียงเซ่อได้ลองอ้อนเฝิงจงเหลียงในตอนนี้ ก็พบว่าการที่ตัวเองลองทำดูก็ใช่เรื่องยากอะไรขนาดนั้นเลย พอได้ลองพูดออดอ้อนด้วยเสียงอ่อนออกไปแล้ว เธอก็รู้สึกเสียใจด้วยซ้ำที่เมื่อก่อนตัวเองไม่เคยทำแบบนี้กับเฝิงจงเหลียงเลย เธอได้พลาดอะไรไปมากมาย

“ทุกวันนี้ต้องเรียนเล่นเปียโน แถมยังต้องท่องหนังสืออีกด้วยค่ะ”

เซี่ยเชาฉวินขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เหมือนกับว่านึกไม่ถึงว่าเจียงเซ่อจะสามารถพูดคุยกับเฝิงจงเหลียงได้เป็นธรรมชาติขนาดนี้ เมื่อเทียบกับเฝิงหนานที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้ว ท่าทางของเธอกับเฝิงจงเหลียง ยังดูเหมือนเป็นปู่หลานมากกว่าอีก

ชายอาวุโสคนนี้มีนิสัยอย่างไร ตระกูลชั้นสูงในฮ่องกงที่เคยได้ติดต่อพูดคุยพบเจอกับเขาต่างก็รู้ดี

จะทำอะไรมักอยู่ในกฎในเกณฑ์ บางทีก็ดูเข้มงวดเกิดไปเสียด้วยซ้ำ แม้แต่กับคนในบ้านเองก็เป็นแบบนั้นมาเสมอ

เหล่าลูกหลานรุ่นที่สองของวิสาหกิจจงหนาน เวลาที่อยู่ต่อหน้าเฝิงจงเหลียงก็มักจะตัวลีบตัวหดเสมอ หรือแม้แต่อย่างเฝิงหนานที่เป็นหลาน เวลาอยู่ต่อหน้าแบบนี้ก็ยังไม่กล้าทำขนาดนี้เลย

เซี่ยเชาฉวินเองก็พอรู้ว่าเจียงเซ่อไปเยี่ยมเฝิงจงเหลียงที่บ้านบ่อยๆ และเข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจียงเซ่อและเฝิงจงเหลียงก็ดีไม่น้อย แต่หล่อนคิดไม่ถึงว่าท่านอาวุโสและเด็กคนนี้ จะสนิทชิดใกล้กันได้ถึงขึ้นนี้แล้ว

เฝิงจงเหลียงที่ได้ยินเจียงเซ่อเอ่ยอ้อนออกมาแบบนั้น เขาก็แย้มยิ้มออกมา แต่ขมวดคิ้วตอบกลับอยู่ดี

“ทั้งหมดนั้นก็เพราะว่าเชาฉวินหวังดีกับเธอทั้งนั้นแหละนะ เป็นเด็กผู้หญิง ดีดเปียโน เต้นรำ และท่องหนังสือน่ะดีมาก อดเปรี้ยวไว้กินหวานรู้ไหม!”

พอเขาพูดจบ ก็นึกถึงที่เจียงเซ่ออดอ้อนตนเมื่อครู่นี้ ก็รู้สึกว่าใจอ่อนยวบยาบไปไม่น้อย จึงหันไปมองเซี่ยเชาฉวิน และช่วยพูดให้เจียงเซ่อ

“แต่ว่านะเชาฉวิน ถึงจะเพื่อตัวของเด็กคนนี้ก็ตาม แต่ก็ให้เขาได้มีเวลาว่างบ้างล่ะ เรื่องทุกเรื่องไม่จำเป็นต้องเร่งทำให้สำเร็จหรอกนะ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”

เฝิงจงเหลียงไม่ใช่คนที่จะช่วยคนอื่นพูดได้ง่ายๆ ยากมากที่จะทำให้เขาพูดอะไรออกมา แน่นอนว่าเซี่ยเชาฉวินก็ต้องให้เกียรติเขา จึงยิ้มตอบกลับ

“คุณอาเหลียงพูดถูกแล้ว วันหลังหนูจะระวังค่ะ”

ตอนที่หล่อนพูดแบบนั้นออกมา สายตาก็จ้องเจียงเซ่อเขม็ง

เฝิงจงเหลียงทำเป็นไม่เห็นสายตาของเซี่ยเชาฉวิน ก่อนจะหันไปขมวดคิ้วใส่เฝิงหนาน

“เธอกลับไปนั่งเถอะ”

พอเขาเอ่ยออกไปแบบนั้น เฝิงหนานก็รู้สึกว่าใบหน้าตัวเองมันร้อนไปหมด ราวกับว่ามีใครมาตบหน้าแรงๆ

สีหน้าสงสัยระคนแปลกใจของเส้าฉุนจิ่นทำเอาหล่อนไม้รู้ว่าจะเอาหน้าที่ไหนไปมองได้อีก ก่อนหน้านี้หล่อนตะโกนเรียกเฝิงจงเหลียงขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกผิดหวังมากที่ตัวเองเปิดโปงว่าตัวเองรู้จักเฝิงจงเหลียง

การที่อยู่ต่อหน้าสื่อนักข่าวแบบนี้ เฝิงจงเหลียงพูดคุยกับหล่อนแค่ประโยคสองประโยค ก็ไล่ให้หล่อนกลับไปแล้ว แต่กลับให้เจียงเซ่อคอยดูแลตัวเองต่อ

ไอ้แก่นี้รู้หรือไม่รู้กันแน่ ว่าใครคือเฝิงหนาน ใครคือหลานของตัวเอง?

นี่เขาแก่จนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือยังไง?

หน้าอกของเธอขยับขึ้นลงไม่หยุดเพราะความโมโห เชือกเส้นสีดำที่รัดอยู่บนอกของหล่อนมันหลุดออกมาแล้ว ทำให้ร่องอกเริ่มโผล่ออกมา จนแทบจะเผยเนินหน้าอกสีขาวจัดที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้อยู่แล้ว แผ่นหลังของหล่อนแทบจะเปลือยเปล่า มีแต่สายเดี่ยวเส้นเล็กที่ช่วยเกี่ยวช่วงบนเอาไว้ให้ยังปิดเรือนร่างเอาไว้ได้ ภาพนั้นทำเอาเฝิงจงเหลียงรู้สึกขายหน้าและเสื่อมเสียไม่น้อย

คืนนี้เฝิงหนานแต่งตัวได้สวยสง่าไม่น้อย ก่อนหน้านี้ก็มีหลายๆ คนชมว่างดงามมากๆ แต่ในสายตาของเฝิงจงเหลียงนั้นมันดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย

เสื้อผ้าแบบนี้มันไม่เหมือนกับเสื้อผ้าที่คนทั่วๆ ไปใส่กันเลยสักนิด แต่ก่อนเฝิงหนานมักจะบอกว่าเขาคิดมากและชอบบ่นมากไป แต่ตอนนี้เฝิงจงเหลียงกลับรู้สึกว่าตัวเองก็เบื่อที่จะพูดกับเฝิงหนานแล้วเช่นกัน

“คุณปู่เฝิงครับ ครั้งก่อนคุณพ่อของผมเองก็อยากจะไปเยี่ยมเยียนคุณปู่ เห็นว่าอยากจะพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันของวิสาหกิจจงหนานและเจียงหัวกรุ๊ป......”

พอจ้าวจวินฮั่นเห็นว่าเฝิงจงเหลียงทีท่าทีปฏิเสธเฝิงหนานอยู่ตลอด และรู้แล้วว่าตอนนี้เฝิงหนานเองก็คงจะกำลังโกรธเกลียดเขาไม่น้อย ในขณะที่เฝิงหนานยังไม่รู้สึกตัวว่าควรจะทำอย่างไรต่อ และเหมือนว่าไม่รู้ด้วยว่าควรจะเอาใจผู้อาวุโสอย่างไร แถมทั้งยังชอบไปเลียนแบบคลุกคลีแต่กับวงการบันเทิง พอเก็บเมล็ดงาได้ก็ทิ้งแตงโมไปเสียอย่างนั้น*เปรียบเทียบว่าเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆจนเสียผลประโยชน์ใหญ่ๆไป

ถึงแม้ในใจกำลังเอาแต่คิดว่าเฝิงหนานนั้นโง่แค่ไหน แต่อย่างไรทั้งสองคนก็ยังมีสถานะเป็นที่คู่หมั้น ถ้าเจริญก็เจริญด้วยกัน ถ้าเสีย ก็เสียกันทั้งสองฝ่าย เพราะงั้นการที่เฝิงหนานจะได้รับความรักจากเฝิงจงเหลียงแต่เดิมนั้นก็จะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลจ้าวไม่น้อย

เพราะงั้นเขาจึงลองที่จะปรับความความไม่สนิทสนมระหว่างเฝิงหนานและเฝิงจงเหลียงเสียใหม่ ตอนที่เขาพูดออกไป ใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มควบคู่ด้วย แต่เฝิงจงเหลียงก็ตอบออกมาเหมือนไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก

“เรื่องการร่วมงานกันของทั้งสองตระกูล ทั้งหมดนั้นเป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ฮ่องกง ฉันแก่แล้ว ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มาตั้งนานแล้ว ถ้าอยากจะปรึกษาหารืออะไร ก็ควรที่จะไปฮ่องกงมากกว่านะ”

เพราะว่าห่างเหินจากเฝิงหนานมามากแล้ว แม้แต่ตอนที่เฝิงจงเหลียงคุยกับจ้าวจวินฮั่นก็ไม่มีรอยยิ้มเลยด้วยซ้ำ จ้าวจวินฮั่นยิ้มแห้งก้อนจะตอบกลับไป

“ครับๆ แต่ว่าคุณปู่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ควรที่จะบอกกล่าวคุณปู่เอาไว้ คุณพ่อบอกว่า ถ้าหากว่ามีเวลาว่างๆ อยากจะเชิญคุณปู่เล่นบาสด้วยกัน”

เขาเอ่ยออกมาอย่างทีมารยาท เมื่อเทียบกับท่าทางของเฝิงหนานแล้ว ก็เหมือนว่าจะดีกว่าเยอะ

“ตอนนี้ทางรีสอร์ทเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ข้างในนั้นมีสนามที่มีมาตรฐานสูงอยู่ด้วยนะครับ......”

ไม่ยื่นมือตบหน้าคนยิ้ม ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นคนอื่น บางทีก็อาจจะตอบรับคำเชิญชวนของจ้าวจวินฮั่นไปแล้วก็ได้

เขาอายุยังไม่มาก แต่กลับแก่ประสบการณ์ แต่อย่างน้อยก็ไม่สะทกสะท้านที่โดนเฝิงจงเหลียงตีหน้าขรึมใส่ ยังสามารถคุยตอบโต้ต่อด้วยรอยยิ้ม

ทายาทคนต่อไปของเจียงหัวกรุ๊ปคนนี้ถือว่ามีสายตาที่หลักแหลมไม่น้อย และเป็นคนที่ฉลาดมากด้วย อีกทั้งยังมีความอดทน ไม่มีความเป็นเด็กหนุ่มหุนหันพลันแล่นอย่างทั่วๆ ไป

เฝิงจงเหลียงส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรต่อกับเขาอีก

“คงเล่นด้วยไม่ได้หรอก เธอเองก็เห็นแล้วนี่ ขาของฉันมันไม่ค่อยจะดี ไม่ค่อยเหมาะที่จะเล่นกีฬาแบบนี้สักเท่าไหร่หรอก ถ้าหากว่าคุณจ้าวอยากจะหาคนเล่นด้วย ก็คงจะมีคนมากมายที่ยินดีจะเล่นด้วย”

พอพูดจบ เฝิงจงเหลียงก็ยิ้มเล็กน้อย

“คืนนี้ฉันยังมีเรื่องต้องจัดการ ขอตัวก่อนก็แล้วกัน”

เขาไม่ได้พูดคุยอะไรต่อกับจ้าวจวินฮั่นมากมาย หลังจากที่ตอบปัดไปแล้ว ก็สั่งให้เส้าฉุนจิ่นนำทางต่อทันที

ท่าทางแบบนั้นของเฝิงจงเหลียง แสดงชัดว่ามองเจียงเซ่อในอีกแบบหนึ่ง

ถึงแม้ว่าประธานงานเลี้ยงการกุศลอย่างเจ้าของนิตยสาร ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ ในคืนนี้จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมเฝิงจงเหลียงถึงได้มีท่าทีเย็นชาต่อหลานสาวตัวเองขนาดนั้น แต่กลับยินยอมที่จะให้เจียงเซ่อมาดูแลแทน แต่อย่างไรเสียความตั้งใจของผู้อาวุโสคนนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว

ในขณะที่เส้าฉุนจิ่นนำทางไปนั้น ก็กระซิบบอกให้พนักงานเปลี่ยนที่นั่งใหม่ให้กับเจียงเซ่อด้วย

เฝิงหนานและจ้าวจวินฮั่นเองก็ถูกเชิญให้กลับไปนั่งที่เดิม ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่พอใจถึงขีดสุด แต่ก็ไม่สามารถที่จะมาระเบิดโวยวายที่นี่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นนอกจากจะทำให้เฝิงจงเหลียงโมโหแล้ว ตัวเองก็คงต้องขายขี้หน้าอีก

พอไม่มีคนคอยไปกวนใจเฝิงจงเหลียงแล้ว สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้นมาก คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนค่อยๆ ถอยออกไป เขามองไปที่เจียงเซ่อ แล้วถอนหายใจออกมา

“เด็กคนนี้นี่”

เธอสวมชุดกระโปรงยาวเกาะอกสีขาว เผยเรียวแขนสวยทั้งสองข้าง เขาขมวดคิ้วไม่ชอบใจ

“ถึงมันจะเดือนพฤษภาแล้วก็เถอะ แต่ในงานก็เปิดแอร์อยู่ดี แล้วใส่เสื้อผ้าแบบนี้ หนาวหรือเปล่า?”