webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

361

บทที่ 361 เซอร์ไพร์ส

นักข่าวหลายๆ คนรีบยกกล้องที่อยู่ตรงอกขึ้นมา และไม่ทันได้นึกว่าทางผู้จัดงานได้บอกเอาไว้แล้วว่าห้ามถ่ายรูปภายในงานเป็นอันขาด ทันทีที่เสียงแฟลชดังขึ้นมันก็เริ่มดังต่อๆ กันไปอีก

เฝิงจงเหลียงยกมือขึ้นมา และบังใบหน้าเอาไว้ ทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงที่เฝิงหนานเรียก เสี่ยวหลิวที่อยู่ข้างๆ เขามองไปรอบๆ แล้วเรียกผู้รักษาความปลอดภัยมา

“ห้ามถ่าย!”

ผู้นำระดับสูงของ ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ ที่เดินเข้ามาด้วยกันพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความนอบน้อม

“เดี๋ยวหลังงานจบ จะมีการเช็กกล้องของเหล่านักข่าวอีกทีครับ”

เฝิงจงเหลียงพยักหน้าเบาๆ เส้าฉุนจิ่นจึงยื่นมือออกไปหวังที่จะช่วยพยุงเขา แต่เขาก็เบี่ยงตัวออก

“นั่งตรงไหนได้บ้างล่ะ?”

“เชิญทางนี้ได้เลยครับ”

ต่อหน้าเหล่าดารามากมาย ถึงแม้ว่าเฝิงจงเหลียงจะไม่ตอบรับความหวังดีของตน แต่การที่ได้พูดคุยพบเจอกับเฝิงจงเหลียง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าปีติยินดีมากแล้ว เส้าฉุนจิ่นจึงไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีของเขา และไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรือรู้สึกไม่พอใจกับท่าทางของเฝิงจงเหลียงเลยแม้แต่น้อย

โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าเฝิงหนานเรียกขึ้นมา แต่เฝิงจงเหลียงเองก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้สนใจ เส้าฉุนจิ่นจึงรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย และเดาว่าเฝิงจงเหลียงคงเป็นพวกเคร่งขรึมและเย็นชาเสียมากกว่า

เขาทำท่าเชิญ แล้วชี้ไปที่นั่ง VIP

ที่จริงตรงนั้นต้องเป็นที่สำหรับกลุ่มผู้บริหารชั้นสูงของ ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ แต่ในเมื่อจู่ๆ เฝิงจงเหลียงก็โผล่มาในงานแบบนี้ ไม่ว่าจะอยู่ระดับไหนก็ตาม ที่นั่งตรงนี้ก็ถือว่าคู่ควรกับเขามากแล้ว

พอได้รู้ข่าว ทาง ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ ก็รีบจัดหาที่นั่งให้ทันที ตอนนี้เส้าฉุนจิ่นก้มตัวลงอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็มองไปที่เฝิงหนานที่ตะโกนเรียกก่อนหนน้านี้แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างลังเล

“ท่านเฝิงครับ ท่านต้องการที่จะสับเปลี่ยนที่นั่งของคุณเฝิงและคุณจ้าวด้วยไหมครับ?”

ตอนแรกเขากะว่าจะเปลี่ยนให้เฝิงหนานและจ้าวจวินฮั่นมานั่งกับเฝิงจงเหลียง เพราะอย่างไรเสียคนกลุ่มนี้ก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าได้นั่งข้างๆ เฝิงจงเหลียง เฝิงหนานก็ไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้จะไม่มีข่าวใหม่แล้ว

ที่เส้าฉุนจิ่นพูดแบบนั้นออกไปก็แค่ต้องการที่จะเอาใจเฝิงจงเหลียงก็เท่านั้น แต่พอเขาพูดจบ เฝิงจงเหลียงก็ส่ายหน้าทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม

“ไม่จำเป็น”

สีหน้าของเขาดูเรียบนิ่งและเคร่งขรึม เรือนผมสีขาวถูกหวีไปด้านหลังอย่างเรียบร้อย ถึงแม้ว่าจะมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังดูกระฉับกระเฉงไม่น้อย เอวและหลังตั้งตรง ดูแล้วไม่ใช่คนที่ชอบพูดอะไรเรื่อยเปื่อย และเป็นคนที่เข้าใกล้ได้ยาก

แม้กระทั่งคนที่พบเจอและต้องทำความรู้จักกับผู้คนบ่อยๆ อย่างเส้าฉุนจิ่นเอง กับเฝิงจงเหลียงกลับเจอแต่กำแพงกั้น

“ได้ครับ”

เส้าฉุนจิ่นหัวเราะยินดีออกมา เฝิงหนานที่อยู่ไกลๆ นั้นที่ก่อนหน้านี้ตกเป็นเป้าสายตาเพราะตะโกนเรียกเฝิงจงเหลียง ตอนนี้ก็ยังมีคนจ้องมองเธออยู่ ตอนแรกก็มีความตื่นเต้นดีใจอยู่หรอก แต่พอเห็นว่าเฝิงจงเหลียงทำเป็นเย็นชาไม่เห็นไม่สนใจหล่อนแบบนั้นแล้ว ความรู้สึกของหล่อนก็แปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดโมโหทันที

สายตาของหลายๆ คนกำลังจ้องมอง แต่เฝิงจงเหลียงกลับไม่คิดที่จะไว้หน้าหล่อนเลยสักนิด

ในงานก็มีสื่อนักข่าวมากมายขนาดนี้ หล่อนตะโกนเรียกเฝิงจงเหลียงออกไป แต่เฝิงจงเหลียงกลับทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของหล่อน!

หล่อนก่นด่าในใจออกมา ‘ไอ้แก่บ้าเอ้ย!’

คนรอบๆ พากันมองหล่อนไปหมด ทั้งสื่อนักข่าวก็ยังเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ของปู่หลานคู่นี้กันแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เฝิงหนานเห็นเฝิงจงเหลียงมา ก็ดูจะตื่นเต้นไม่น้อยถึงได้ตะโกนเรียกแบบนั้น แต่ตอนนี้เฝิงจเหลียงกลับมีท่าทางเย็นชาจนทำเอาหล่อนก็นิ่งไปด้วย และเหมือนจะเกิดความผิดหวังอย่างปิดไม่มิด

เฝิงจงเหลียงมองข้ามหล่อนไปแบบนี้ พรุ่งนี้พวกสื่อนักข่าวจะต้องเอาไปเขียนข่าวแน่ๆ

สำหรับสายตาคนนอก เฝิงหนานได้ชื่อว่าเป็นหลานของเฝิงจงเหลียงเจ้าของวิสาหกิจจงหนานมาโดยตลอด ถึงขนาดที่ว่ามีครั้งหนึ่งสามารถเกลี้ยกล่อมให้ต่งหมิงเซิงนักลงทุนของหัวโถวยอมมาลงทุนกับหนังของตัวเองได้ นั่นก็เพราะว่าหล่อนหยิบยืมชื่อของเฝิงจงเหลียงมา

ถ้าหากว่ามีคนอื่นรู้ว่าหล่อนกับเฝิงจงเหลียงกำลังแตกกันละก็ มันจะต้องส่งผลในหน้าที่การงานในอนาคตของหล่อนแน่ๆ

ในใจของเฝิงหนานยังก่นด่าไม่หยุด ทันทีที่จ้าวจวินฮั่นเห็นเฝิงหนานเป็นแบบนั้น ก็รีบยิ้มและลุกขึ้นทันที

เขาเห็นแล้วว่าเฝิงหนานกำลังทำสีหน้าที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ในงานใหญ่ขนาดนี้ หล่อนกลับทำไม่ได้แม้กระทั่งควบคุมสีหน้าตัวเอง

นักข่าวก็ยังเอาแต่ถ่ายรูปกันเต็มไปหมด ใบหน้าของจ้าวจวินฮั่นมีรอยยิ้มวาดเอาไว้ เขาทำเป็นคว้าตัวหล่อนมาโอบในแขนอย่างสนิทสนม พลางยกมืออีกข้างจัดๆ ผมให้เธอ และกระซิบเตือนข้างหูหล่อนด้วยน้ำเสียงเบาๆ

“อยู่ต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนี้ สิ่งที่คุณทำได้ก็คือยิ้มเท่านั้น คุณคงไม่ได้อยากจะให้คนอื่นดูออกว่าความสัมพันธ์ของคุณกับคุณปู่มันแย่ลงใช่ไหม?”

เฝิงหนานพยายามระงับตัวเองไว้ไม่ให้ผลักเขาออกไป หล่อนฮึดฮัดออกมาเบาๆ ก่อนจะพยายามปั้นยิ้มออกมา

“คุณเองก็เห็นนี่ ว่าไอ้แก่นั่นมันทำเป็นเย็นชาไม่สนใจฉัน ถึงฉันจะยิ้มไปคนอื่นก็ไม่มาซาบซึ้งด้วยหรอกนะ”

จ้าวจวินฮั่นสูดหายใจเข้าลึก พยายามจะไม่ให้ตัวเองผลักหล่อนลงกับพื้น

“ใครจะไม่สนใจใครจะไม่ซาบซึ้งก็เรื่องของมันสิ คุณเองนั่นแหละ คงไม่ได้อยากจะให้พวกนักข่าวไปเขียนข่าวมั่วๆ ใช่ไหม?”

คำพูดนั้นของเขาสะกิดต่อมอ่อนไหวในใจของเฝิงหนานได้เป็นอย่างดี ในขณะที่จ้าวจวินฮั่นเสนอว่าให้เดินไปทักทายเฝิงจงเหลียงเสียหน่อย ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็ยังจูงมือเดินไปกับจ้าวจวินฮั่นอยู่ดี

แต่ทว่าตอนที่เดินไป เพียงแค่ไม่กี่ก้าวสั้นๆ ในใจของหล่อนกลับเหมือนกลองที่ถูกตีรัวๆ

จ้าวจวินฮั่นไม่รู้ แต่หล่อนรู้ดีอยู่แก่ใจ ตั้งแต่วันนั้นที่หล่อนย้ายออกจากบ้านตระกูลเฝิง หล่อนทะเลาะกับเฝิงจงเหลียงอย่างรุนแรง แถมยังผลักเฝิงจงเหลียงไปทีหนึ่งอีก หลังจากนั้นก็มีคนที่บ้านตระกูลเฝิงโทรมาบอกหล่อน ว่าเฝิงจงเหลียงหกล้ม

ตอนนั้นเฝิงหนานกำลังไม่พอใจเฝิงจงเหลียงที่ชอบเข้ามาควบคุมกำกับชีวิตของหล่อน ตอนที่พวกคนรับใช้โทรมาบอกหล่อนก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจ และหลังจากนั้นหล่อนก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านอีกเลย ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เฝิงจงเหลียงจะจะยังรู้สึกเกลียดหล่อนอยู่หรือเปล่า

ถ้าเกิดว่าต้องมาทะเลาะต่อหน้าผู้คนแบบนี้ละก็ มันจะต้องน่าขายหน้ามากแน่ๆ!

พอคิดได้แบบนั้น เฝิงหนานก็เริ่มรู้สึกอยากถอย หล่อนหยุดเดินยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร จ้าวจวินฮั่นก็ดึงหล่อนไปเสียก่อน จากนั้นก็เดินไปที่ที่เฝิงจงเหลียงนั่งอยู่ทันที

ทั้งสองคนจูงมือกันมา ตอนที่เดินไปถึงข้างหน้าเฝิงจงเหลียง จ้าวจวินฮั่นก็เอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท

“คุณปู่เฝิง ทำไมมาไม่บอกกันหน่อยละครับ? ถ้าหากว่าผมรู้ว่าคุณปู่จะมา ผมกับหนานหนานก็จะไปรอรับที่ประตูเลย”

เขายิ้มออกมา พลางกระตุกมือเฝิงหนานให้รู้สึกตัว ตอนที่หันไปพูดกับหล่อนก็ปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลขึ้น “ใช่ไหมครับ?”

“คุณปู่......” ตอนที่เขาถามออกมา ก็เขย่าๆ มือเฝิงหนานไปด้วย เฝิงหนานที่เหมือนเพิ่งจะได้สติ ก็รีบเอ่ยทักทายขึ้นมาทันที แต่เฝิงจงเหลียงกลับไม่ได้มองหล่อนเลยสักนิด เพียงแค่วางมือลงบนแขนของเสี่ยวหลิว มืออีกข้างถือไม้เท้าเอาไว้ แล้วถามเส้าฉุนจิ่นออกไป

“การประมูลจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่?”

พอเฝิงหนานได้ยินแบบนั้น ก็หน้าขึ้นสีขึ้นมา

หล่อนรู้สึกได้เลย ว่าเฝิงจงเหลียงตั้งใจที่จะเมินไม่สนใจหล่อน และนั่นก็ทำให้ประธาน ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ มีสีหน้าที่ดูแปลกใจไม่น้อย หล่อนกัดฟันแน่น แต่ก็พูดออกไปด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีก

“คุณปู่ เดี๋ยวหนูพยุงไปนั่งนะคะ”

หล่อนก้าวเข้าไปหาเฝิงจงเหลียง แต่เฝิงจงเหลียงกลับเบือนหน้าหนี เสี่ยวหลิวมองไปรอบๆ งาน และเหมือนว่าจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แววตาเขาเป็นประกายขึ้นมา ก่อนจะเข้าไปกระซิบบอกเฝิงจงเหลียง

“นายท่านครับ คุณหนูเจียงก็มางานนี้ด้วยครับ”

เฝิงจงเหลียงที่ได้ยินเขาบอกแบบนั้น ก็หันหน้าไปทันที เสี่ยวหลิวชี้นิ้วออกไปยังที่ที่เจียงเซ่อนั่งอยู่

ที่จริงเขาก็ไม่ใช่อายุน้อยๆ แล้ว แน่นอนว่าสายตาคงไม่เหมือนกับตอนหนุ่มๆ อีก เจียงเซ่ออยู่ห่างจากเฝิงจงเหลียงไปช่วงระยะหนึ่ง แต่เมื่อเขามองไปตามที่เสี่ยวหลิวชี้นิ้วไปยังที่ที่เจียงเซ่ออยู่นั้น ใบหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนขึ้นมาก