บทที่ 360 ไม่คาดฝัน
แต่ดูเหมือนเจียงเซ่อจะดูชอบภาพวาดของโอวเมี่ยวเซิงภาพนั้นมาก หล่อนมองดูเจียงเซ่อที่กำลังนั่งก้มหน้า เด็กคนนี้เป็นคนที่ชอบเก็บอารมณ์เอาไว้ น้อยมากที่จะเผยความรู้สึกเสียดายและผิดหวังออกมาแบบนี้ เซี่ยเชาฉวินขมวดคิ้ว
“ถ้าเธอชอบขนาดนั้น เอาไว้มีเงินแล้ว วันหลังฉันจะช่วยถามๆ ดูให้ก็ได้”
ถึงแม้ว่าภาพวากของโอวเมี่ยวเซิงจะมีไม่มาก แต่สำหรับคนที่มีคอนเนคชั่นกว้างขวางอย่างเซี่ยเชาฉวินแล้ว ขอแค่หล่อนเป็นคนออกหน้าเอง จะต้องมีคนยอมขายให้แน่ๆ
“ขอบคุณค่ะพี่เชาฉวิน”
แต่สิ่งที่เจียงเซ่อเสียดายจริงๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ภาพวาดของโอวเมี่ยวเซิง
เธอแค่รู้สึกเสียดายชีวิตของตัวตนที่เธอเคยเป็น มันเหมือนพอได้เห็นภาพวาดภาพนี้แล้วก็คิดถึงตัวเองในตอนนี้ขึ้นมา
หลังจากที่มาเกิดใหม่ ระหว่างเธอและตระกูลเฝิงก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก เธอไม่ใช่เฝิงหนานอีกต่อไปแล้ว และของๆ ที่เธอเคยมีก็ไม่ใช่ของเธออีกต่อไป แต่มันกลายเป็นสมบัติของคนอื่นแทน ทั้งรูปภาพวาดของโอวเมี่ยวเซิง และเฝิงจงเหลียงเองก็เช่นกัน เพราะคนที่จะเรียกคุณปู่เฝิงจงเหลียงได้ ก็กลายเป็นใครอีกคนหนึ่งไปแล้ว
ความรู้สึกเหล่านั้นยากที่จะบอกให้คนอื่นเข้าใจได้ เธอจึงทำได้แค่ขบเคี้ยวกล้ำกลืนมันลงท้องไป
รอบข้างกำลังคึกคักเป็นอย่างมาก แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันช่างอ้างว้างเหลือเกิน มือถือของเธออยู่ในกระเป๋า และเธอก็เริ่มที่จะทนไม่ไหวจนต้องเปิดกระเป๋าออก และคิดที่จะกดหาเผยอี้
แต่พอความคิดแวบขึ้นมาได้แค่ครู่เดียว มันก็โดนเจียงเซ่อกดกลับลงไป
ถึงแม้ว่าสิ่งที่เธอรู้สึกเสียดายจริงๆ จะไม่ใช่ภาพวาดของโอวเมี่ยวเซิง แต่น้ำใจของเซี่ยเชาฉวินก็ทำให้เธอรู้สึกประทับใจอยู่ไม่น้อย คนที่มีนิสัยเย็นชาแบบนี้ ตลอดมาก็ชอบทำแต่อะไรเป็นจริงเป็นจังอยู่เสมอ น้อยครั้งที่จะมาใส่ใจความรู้สึกของใครๆ
แต่ตอนนี้กลับบอกว่าจะช่วยเธอนอกจากเรื่องงาน น้ำใจแบบนี้เจียงเซ่อก็ต้องรับเอาไว้
ในขณะที่เธอกำลังรู้สึกประทับใจอยู่นั้น เซี่ยเชาฉวินก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“แล้วก็ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกนะ ถ้าจะซื้อ ก็ต้องดูก่อนว่าเธอมีเงินพอหรือเปล่า” เซี่ยเชาฉวินเตือนเธอขึ้นมา “เตือนเธอเลยนะ ค่าตัวเธอในตอนนี้มันจะช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายเธอได้ไม่นานนักหรอก คนในทีมก็ยังมีอีกหลายคนที่เธอต้องดูแล ไหนจะรถ ไหนจะบ้าน......”
นอกจากนี้แล้ว หลังจากผ่านปีที่มีรายได้เข้ามาเยอะที่สุดไป ทีมงานที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจียงเซ่อก็ยังต้องมีให้สวัสดิการและรางวัลอีกเล็กๆ น้อยๆ ถึงจะสามารถทำให้กลายเป็นคนที่สามารถช่วยเธอจัดการได้ทุกเรื่องอย่างเต็มใจ
“……” ความประทับใจที่เจียงเซ่อมีขึ้นมาก่อนหน้านี้ ค่อยๆ ลอยหายไปพร้อมๆ กับเสียงเตือนของหล่อน พอกำลังจะพูดอะไรออกมา โม่อานฉีที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หันหน้ามาด้วยความตื่นเต้น
“เซ่อเซ่อ เธอดูตรงนั้นสิ”
โม่อานฉีพูดแทรกบทสนทนาของเซี่ยเชาฉวินและเจียงเซ่อขึ้นมา ทั้งสองคนหันหน้าไป แล้วมองตามตามนิ้วของโม่อานฉี
บริเวณประตูเข้างานทางทิศตะวันออก ชายอาวุโสคนหนึ่งที่อยู่ในชุดจงซานและในมือมีไม้เท้า มีคนกลุ่มหนึ่งคอยเชิญและนำทางอย่างเคารพและนอบน้อม ค่อยก้าวเดินเข้ามาในงาน
การมาของเขาเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายมาก ทำให้เขากลายเป็นจุดเด่นที่มีคนให้ความสนใจเต็มไปหมด
ทำเอาเส้าฉุนจิ่นประธานผู้จัดงาน ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ ในคืนนี้ถึงกับต้องเดินรุดหน้าเข้าไปต้อนรับด้วยตัวเอง ดูท่าทางกระตือรือร้นที่จะเข้าไปต้อนรับชายอาวุโสคนนั้นไม่น้อย ทำให้หลายๆ เดาขึ้นมาว่าเป็นใครกัน
“นั่นใครกันน่ะ?”
“เหมือนว่าไม่เคยเห็นเลยแฮะ”
“เส้าฉุนจิ่นต้องลุกไปต้อนรับเองเลยนะ แถมยังดูเคารพมากๆ อีกด้วย หรือว่าจะเป็น......” คนที่พูดยกนิ้วขึ้นมา แล้วชี้ไปยังจุดๆ หนึ่ง ชี้ไปยังชายอาวุโสคนนั้น
ดาราหลายๆ คนที่เห็นท่าทีของเส้าฉุนจิ่นแล้ว ก็พากันซุบซิบกันขึ้นมา
ถึงกับทำให้เจ้าของค่ายนิตยสารที่โด่งดังที่สุดในประเทศลุกขึ้นไปต้อนรับได้อย่างนอบน้อม และดูเคารพมากขนาดนี้ ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าคนที่เส้าฉุนจิ่นเดินไปรับต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆ ทั่วไปแน่ๆ
เจียงเซ่อที่หันไปมองเพราะโม่อานฉีสะกิดนั้น คำๆ หนึ่งก็หลุดออกมาจากลำคอ และพูดออกมาทันที
“คุณปู่......”
เซี่ยเชาฉวินที่ได้ยินเธอเรียกออกมาแบบนั้น แววตาก็เป็นประกายขึ้นมา ก่อนจะหันหน้าไปมองเธอแวบหนึ่ง โม่อานฉียังมองไปด้วยความตื่นเต้น
“ทำไมอาวุโสท่านนั้นถึงได้มาที่นี่กันนะ?”
โม่อานฉีเป็นผู้ช่วยของเจียงเซ่อ และหลายครั้งที่ไปส่งเธอที่บ้านตระกูลเฝิง เลยมองว่าเฝิงจงเหลียงไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน อีกทั้งยังได้เคยเห็นเจ้าของวิสาหกิจจงหนานท่านนี้มาหลายครั้งแล้วด้วย
หล่อนคิดว่าชายชราท่านนี้มีนิสัยที่เข้มงวดและดูดุไม่น้อย ไม่ค่อยยิ้ม และมักจะทำให้ลูกหลานหวั่นกลัวอยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปทักทายบ่อยๆ เหมือนเจียงเซ่อ แต่โม่อานฉีก็พอจะดูออก ว่าเฝิงจงเหลียงเป็นคนที่ไม่ค่อยจะชอบงานอะไรแบบนี้นัก
อำนาจสำคัญของวิสาหกิจจงหนานทั้งหมดยังอยู่ในมือของเขา แต่น้อยครั้งที่ชายอาวุโสคนนี้จะออกไปพบหน้าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูล นิตยสารธุรกิจ หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์ก็น้อยมากที่จะเห็นเขา นอกเสียจากจะเป็นสิ่งที่วางแผนมาแล้วหรือเป็นธุรกิจในฮ่องกงที่ต้องให้เขาไปออกงานจริงๆ ถึงจะได้เห็น แต่ถ้าเป็นนอกเวลางานของเขาก็มักจะไม่สุงสิงหรือพบปะกับใครทั้งนั้น
ในงานคืนนี้การที่มีผู้มีชื่อเสียง ดาราต่างๆ มายจนไปถึงมหาเศรษฐีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เศรษฐีที่มางานนี้ส่วนมากก็ทำงานเกี่ยวกับวงการบันเทิงกันทั้งนั้น ตามเหตุผลแล้วคือเฝิงจงเหลียงไม่ควรที่จะมาปรากฏตัวอยู่ในงานคืนนี้ และตัวเขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะสนใจงานแบบนี้อยู่แล้วด้วย โม่อานฉีถึงกับต้องเปิดใบรายชื่อแขกที่ได้รับเชิญมาในงานอีกครั้ง และมั่นใจแล้วว่าไม่มีชื่อของชายอาวุโสคนนี้ที่ถูกเชิญมาในงาน ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ แต่จู่ๆ เขาก็เข้ามาในงานเสียอย่างนั้น สำหรับผู้จัดงานนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ตกใจระคนยินดี
คนที่มีฐานะอย่างเฝิงจงเหลียงเข้ามาในงานนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายมากแล้ว
“ในประกาศนี่ควรจะเขียนเอาไว้นะเนี่ย”
เซี่ยเชาฉวินเองก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ตัวหล่อนเองก็เป็นถึงลูกสาวของเซี่ยตงเหอ ตั้งแต่เด็กๆ เซี่ยเชาฉวินเองก็เป็นถึงผู้ที่มีชื่อเสียงในฮ่องกงแล้ว คนที่รู้จักและไปมาหาสู่กันก็ล้วนแล้วอยู่ในระดับเดียวกันทั้งนั้น สำหรับเฝิงจงเหลียงก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหล่อนเช่นกัน
แต่ทว่าตัวเฝิงจงเหลียงนั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ชอบเข้าร่วมงาน หรือทำอะไรที่ต้องออกหน้าออกตาแบบนี้อยู่แล้ว หลังจากที่ค่อยๆ เก็บตัวในหลายปีที่ผ่านมา ก็น้อยมากที่จะเห็นเขามาเข้าร่วมงานอะไรแบบนี้ จึงทำเอาคนในงานเกิดความแปลกใจและสงสัยไม่น้อยว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
“หรือเป็นเพราะเฝิงหนานก็เลยมา?”
โม่อานฉีนึกถึงเฝิงหนานเป็นคนแรก ตอนที่พูดแบบนั้น ก็มองไปที่เฝิงหนานและจ้าวจวินฮั่นแวบหนึ่งด้วย
เฝิงหนานเองก็ดูตกใจและแปลกใจไม่แพ้กับคนอื่นๆ ในงาน หล่อนเงยหน้าขึ้น มองยังที่ที่เฝิงจงเหลียงยืนอยู่ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองตาโต ริมฝีปากอิ่มเอิบอ้าเล็กน้อย สีหน้าดูตกใจเป็นอย่างมาก
ท่าทางแบบนั้นดูไม่เหมือนกำลังเสแสร้งเลยสักนิดเดียว ดูเหมือนว่ากาปรากฏตัวของเขาในครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องที่หล่อนไม่รู้มาก่อนเหมือนกัน
พอสติหล่อนค่อยๆ กลับมา ใบหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดีใจขึ้นมาไม่น้อย หล่อนลุกขึ้นยืน แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง
“คุณปู่คะ......”
เสียงของเฝิงหนานดังไม่น้อย โดยเฉพาะกับตอนที่ทุกคนกำลังซุบซิบพูดคุยกันด้วยเสียงเบาๆ แล้วด้วย การที่จู่ๆ เธอก็ตะโกนขึ้นมาแบบนั้นก็ทำให้เป็นที่สนใจขึ้นมาทันที
สายตาของเหล่าดารา ผู้มีชื่อเสียงและนักข่าวทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ต่างก็มองไปที่เฝิงหนานเป็นจุดเดียว หลายๆ คนพากันกระซิบกระซาบ และมีบางคนที่จำได้ว่าเฝิงหนานคือใคร
เธอเคยแสดงเป็นหนึ่งในตัวละครหญิงในหนังของจางจิ้งอานและได้รับกระแสที่ดีจากคนดูมากๆ ตอนนั้นบนอินเทอร์เน็ตก็มีพูดถึงเรื่องฐานะชาติกำเนิดของเธอกันอย่างมากมาย
พอเฝิงหนานแสดงตัวขึ้นมาว่ารู้จักกับเฝิงจงเหลียง เหล่าสื่อนักข่าวทั้งหลายก็เริ่มพากันจำได้ทันทีว่าชายอาวุโสคนนั้นเป็นใคร
เขาคงจะเป็นคนที่เคยเข้าร่วมกองทัพทหารปฏิวัติของหัวเซี่ย และมีฐานะที่สูงส่งไม่น้อยในหัวเซี่ย แต่เมื่อหลายสิบปีก่อนได้ไปอยู่ที่ฮ่องกง และก่อตั้งวิสาหกิจจงหนานขึ้นมา เขาคนนั้นคือเฝิงจงเหลียง!
พอฐานะตัวตนของเฝิงจงเหลียงค่อยๆ ถูกเผยออกมา คนในงานก็เริ่มพากันฮือฮาขึ้นมาทันที
ประธานบริษัทธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้ แถมยังว่ากันว่าสนิทสนมกับท่านอาวุโสเผยที่เป็นหนึ่งในสามนายพลใหญ่ในหัวเซี่ยอีกด้วย ผู้อาวุโสที่มีฐานะพิเศษขนาดนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงได้มาปรากฏตัวในงานการกุศลคืนนี้ได้?
อีกทั้งทาง ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ เองก็ไม่ได้มีการประกาศหรือบอกล่วงหน้ามาก่อน หรือว่านี่จะเป็นเซอร์ไพรส์ที่ผู้จัดงานเตรียมเอาไว้กันนะ?