webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

353

บทที่ 353 รับเชิญ

เซี่ยเชาฉวินที่นั่งอยู่เบาะหลังหยิบกล่องๆ หนึ่งขึ้นมา หล่อนมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง กลุ่มคนที่ได้เข้าไปในงานเป็นกลุ่มแรกๆ ยังคงเป็นกลุ่มคนที่ทางผู้จัดงาน ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ เลือกเอาไว้ เป็นพวกกลุ่มคนที่มีชื่อเสียงระดับโลก

ประตูและกระจกรถยนต์ถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงตะโกนร้องเรียกและเสียงกดชัตเตอร์ของกล้องดังผสมกัน แสงไฟสาดส่องไปทั่ว เจียงเซ่อหันหน้ามองไปยังกล่องที่เซี่ยเชาฉวินถือเอาไว้

ใบหน้าด้านข้างของเธอสวยมาก เงาตกกระทบของตุ้มหูนั้นสะท้อนอยู่บนปลายคางของเธอ เธอกระชับผ้าคลุมไหล่ที่อยู่บนตัว เซี่ยเชาฉวินเปิดกล่องออก ในนั้นมีขนมกลิ่นหอมลอยฟุ้งขึ้นมา

ในกล่องมีขนมจัดเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถึงจะไม่ได้เยอะอะไร แต่ทุกๆ ชิ้นก็เหมาะสำหรับกินคำเล็กๆ เซี่ยเชาฉวินยื่นไปตรงหน้าเจียงเซ่อ

“กินสักหน่อยสิ งานเลี้ยงนี่ประมาณสองสามชั่วโมงได้เลยมั้ง”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ จัดงานเลี้ยงการกุศลแบบนี้ ในทุกๆ ขั้นตอนต่างก็มีการจัดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ในงานเลี้ยงมีอาหารเลิศรสมากมาย เหล้าแอลกอฮอล์ต่างๆ ก็นำเข้าจากฝรั่งเศส แต่ละขวดก็ปาไปแล้วกว่าสองพันหัวเซี่ยปี้*สกุลเงิน

แต่ทว่าเจียงเซ่อเป็นดารา ไม่สามารถที่จะกินดื่มอะไรมากมายนัก

บวกกับที่เธอเองก็มีของมาบริจาค อีกทั้งยังต้องประมูลสินค้า อาจมีโอกาสได้ถูกเชิญขึ้นไปบนเวที บวกกับที่ในงานก็มีสื่อนักข่าวเต็มไปหมด ถ้าหากว่านั่งกินปากมันแล้วโดนถ่ายรูปเอาไว้ละก็ มันก็คงจะส่งผลกระทบกับตัวเธอแน่ๆ

เจียงเซ่อเองก็รู้ลำดับขั้นตอนของงานดี เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองท้องว่างจนเกินไป เธอจึงหยิบขนมชิ้นเล็กๆ เหล่านั้นเข้าปาก แต่ก็ยังต้องระวังไม่ให้ลิปสติกโดนนิ้วอีกด้วย

เซี่ยเชาฉวินดึงทิชชู่แผ่นหนึ่งขึ้นมารองเอาไว้ที่ใต้คางของเธอ แล้วถือกล่องขนมเอาไว้มือเดียว ช่างแต่งหน้าเองก็เตรียมตัวที่จะเติมหน้าให้ เธอเพิ่งจะทานโปรฟิเทอร์โรล*เป็นขนมฝรั่งเศสชนิดหนึ่ง ทำจากแป้งชูหรือแป้งพายนิ่ม บีบให้เป็นก้อนกลมแล้วนำไปอบ เติมไส้ที่มีรสหวานไปได้สองชิ้นเล็กๆ ข้างนอกกระจกรถนั่นก็มีคนเดินมาเคาะเสียแล้ว

โม่อานฉีที่นั่งอยู่เบาะหน้าหันไปมองข้างนอกกระจกว่าเป็นใคร รถคันนี้ติดฟิล์มเอาไว้ ทำให้ข้างนอกไม่สามารถมองเห็นภายในห้องโดยสารได้ แต่คนข้างในจะสามารถมองเห็นข้างนอกได้

ตอนแรกโม่อานฉียังคิดว่าเป็นพวกแฟนคลับที่ดีใจจะได้เจอเจียงเซ่อมาเคาะรถเสียอีก แต่พอหันไปดูจริงๆ ก็ตกใจไม่น้อย

“คุณหลิว?”

เซี่ยเชาฉวินเองก็เงยหน้าขึ้น แล้วหันไปมองนอกรถ หลิวเย่ที่วันนี้อยู่ในชุดสูทสีดำทั้งตัว เรือนผมถูกเซตไปด้านหลังเผยหน้าผากนูนสวยกำลังยืนอยู่ข้างนอกรถ พร้อมกับโค้งตัวลงมาเคาะกระจกสองสามที

เจียงเซ่อเองก็รีบตั้งตัวทันทีที่โม่อานฉีลดกระจกลง และเสียงกรีดร้องจากข้างนอกก็ดังสนั่นเข้ามา

“หลิวเย่ หลิวเย่ หลิวเย่......”

เสียงร้องเรียกอย่างดีอกดีใจของเหล่าแฟนคลับดังขึ้นมาเหมือนระลอกคลื่น หลิวเย่ที่คุ้นชินกับบรรยากาศที่แสนคึกคักแบบนี้แล้ว ก็ไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง

“มีอะไรหรือเปล่า?”

เขายืนอยู่ข้างนอกโดนมีกระจกกั้นเอาไว้ พอเห็นว่าในมือของเซี่ยเชาฉวินถือกล่องขนมเอาไว้อยู่ ก็ไม่เกรงใจยื่นมือเข้ามาหยิบมันเข้าปากไปหนึ่งชิ้นทันที

“กรี๊ด......”

การกระทำของหลิวเย่ทำเอาเหล่าแฟนคลับตะโกนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ไกลๆ นั้นมีบางคนถึงกับต้องหันไปคุยกัน พากันเดาว่าคนที่อยู่ในรถนั่นคือใคร

“คุณหลิว มองทางนี้หน่อยค่า มองทางนี้หน่อย......”

พอเขาได้ยินเสียงเรียกแบบนั้น ก็หันหน้าไปโบกๆ มือให้ ก่อนจะหันกลับมาทางเดิม

จุดที่สื่อนักข่าวยืนอยู่ถือว่าไกลพอสมควร อีกทั้งยังถูกกั้นด้วยเส้นรักษาความปลอดภัยเอาไว้ไม่ให้เข้ามาได้ แน่นอนว่าคงไม่มีทางมองเห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนี้ อย่างน้อยก็แค่เห็นว่าหลิวเย่กำลังทักทายพูดคุยกับคนในรถคันนี้อย่างสนิทสนมเท่านั้นเอง

“หนังเรื่อง ‘Evil’ ยังไม่ได้เริ่มเข้าฉายเลยนะ”

เซี่ยเชาฉวินเอ่ยแซวด้วยใบหน้าที่เหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม แต่การการกระทำของหลิวเย่นั้นมันช่างดึงดูดความสนใจของพวกสื่อจริงๆ เขามายืนอยู่ที่รถของเจียงเซ่อแบบนี้ แน่นอนว่าต้องดึงดูดพวกสื่อนักข่าวให้ได้ตื่นเต้นเลือดพล่าน อีกทั้งช่างภาพทั้งหลายก็พากันยกกล้องขึ้นมาเพื่อจะถ่ายรูปให้ได้

ตั้งแต่ที่เข้าวงการมา น้อยมากที่หลิวเย่จะมีข่าวซุบซิบ ยิ่งโด่งดังมีชื่อเสียงก็ยิ่งกลายเป็นที่รักมากขึ้น น้อยมากที่จะมีการสร้างข่าวกับคนที่ร่วมงานหนังด้วย ความสัมพันธ์ต่างๆ กับคนในวงการก็ถือว่าดีพอสมควร แต่ก็น้อยที่จะได้ยินว่าเขาสนิทชิดใกล้กับใครเป็นพิเศษ

แต่ตอนนี้เขากลับกินของของคนที่อยู่ในรถอย่างไม่ลังเลและไม่ปิดบังอะไร การกระทำแบบนี้ยิ่งเป็นที่สนใจและเพิ่มความบ้าคลั่งให้กับเสียงชัตเตอร์ได้เป็นอย่างดี

“ที่เชาฉวินพูดก็ถูก”

หลิวเย่กินชิ้นแรกหมดไปแล้ว ก็เอื้อมมือเข้าไปหยิบชิ้นที่สองอีก

“นี่ซื้อที่ไหนเนี่ย รสชาติดีนะ เดี๋ยววันหลังให้ป๋อซีไปซื้อมาบ้าง”

ขนมที่อยู่ในกล่อง เจียงเซ่อเพิ่งจะได้กินไปไม่ถึงครึ่ง แต่ส่วนที่เหลือนั้นได้ไปอยู่ในท้องเขาหมดแล้ว เขาเดินเข้าไปใกล้รถอีกนิด

“ทาง ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ เขาเชิญให้ผมกับผู้กำกับจางเดินเป็นคนสุดท้ายน่ะ”

เขามองเซี่ยเชาฉวิน ก่อนจะหันไปมองเจียงเซ่อ

“เซ่อเซ่อ เธอคิดดูสิ ถ้าฉันกับผู้กำกับจางเดินกันสองคนทั้งๆ ที่ก็เป็นผู้ชายทั้งคู่แบบนี้ ถ้าจูงมือกันไปก็คงจะแปลกๆ ใช่ไหมล่ะ หรือว่าเธอมาเดินพร้อมพวกเราหน่อยดีไหม?”

พอหลิวเย่พูดจบ ดวงตาของเซี่ยเชาฉวินก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะดึงทิชชู่ส่งให้เขา

เขาเอ่ยขอบใจ แล้วเช็ดปากตัวเอง และเห็นแล้วว่าเจียงเซ่อก็กำลังมองมาที่ตน พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูสงบ

ลำดับการเดินพรมแดงของเจียงเซ่อจริงๆ แล้วก็อยู่ในลำดับของดาราระดับแนวหน้า เซี่ยเชาฉวินเองก็ได้กำหนดเอาไว้ให้แล้วว่าดาราที่เธอจะต้องเดินด้วยคือชุยซิ่งที่อยู่ในสังกัดของซื่อจี้หยินเหอด้วยเช่นกัน

แต่ทว่าตอนนี้หลิวเย่มาเชิญถึงที่ ประโยชน์ของมันก็เปลี่ยนไปด้วย

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้เดินเป็นลำดับกลางๆ หรือได้เดินลำดับท้ายๆ ขอแค่ได้เดินคู่กับหลิวเย่ อีกทั้งเขาบอกว่ายังมี ‘ผู้กำกับจาง’ อีกคนแบบนี้ มันก็เพียงพอที่จะทำให้ต้องขบคิดกันแล้ว

พอเขาพูดแบบนั้น เขาก็มีท่าทีอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้พูดอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้เสียหน่อย เพียงแต่ยืนยิ้มรอคำตอบของเจียงเซ่อเท่านั้น

‘ผู้กำกับจาง’ ที่หลิวเย่พูดถึง จะต้องเป็นจางจิ้งอานแน่ๆ

ในงานเลี้ยงการกุศลของ ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ ในครั้งนี้ จางจิ้งอานเองก็ถูกเชิญให้มาเข้าร่วมเป็นลำดับแรกๆ จากฐานะและชื่อเสียงของเขานั้น การที่เขาได้เป็นแขกผู้ทรงคุณวุฒิที่ทาง ‘สือไต้เฟิงฉ่าย’ จัดให้เดินพรมแดงเป็นลำดับสุดท้ายนั้นก็เป็นไปตามความคาดหมายของทุกคน และเขาเองก็มีหลิวเย่เดินคู่เสริมบารมีอยู่เสมอ

แต่ว่าการที่หลิวเย่มาเชิญให้เจียงเซ่อไปเดินด้วยกันแบบนี้ มันก็ทำให้เจียงเซ่อรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

คำพูดที่เขาพูดออกมาคงไม่ได้แค่พูดเฉยๆ แน่ แน่นอนว่าเขาจะต้องมีการเจรจากับจางจิ้งอานมาก่อน เจียงเซ่อเม้มริมฝีปาก ก่อนจะหันไปมองเซี่ยเชาฉวินพร้อมกับส่งสายตา การที่จางจิ้งอานทำแบบนี้ หรือว่ากำลังสนใจที่จะร่วมงานกับเธอกันนะ?

เจียงเซ่อคิดอะไรอยู่ครูหนึ่ง จากนั้นก็หันไปพยักหน้าทันที

“งั้นต้องขอบคุณคุณหลิวด้วยนะคะที่แนะนำกัน”

ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องๆ นี้ มันก็ส่งผลดีต่อเธอทั้งนั้น

การที่ได้เดินกับจางจิ้งอานและหลิวเย่เป็นลำดับสุดท้าย จะสามารถดึงดูดสื่อให้มาสัมภาษณ์ได้มาก อีกทั้งยังเพิ่มความสนใจให้ตัวเธอได้อีกด้วย

เซี่ยเชาฉวินเองก็พยักหน้า ก่อนจะช่วยเจียงเซ่อจัดๆ กระโปรง และลูบรอยยับที่เธอนั่งทับไปให้เรียบ

หล่อนขยำกระดาษที่เอารองใต้คางเจียงเซ่อเมื่อครู่ทิ้งลงในกระเป๋าผ้าที่อยู่ในรถ จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ช่างแต่งหน้าจัดการเติมหน้าให้เธอ จากนั้นก็หันไปพูดด้วยใบหน้านิ่งๆ กับหลิวเย่

“ถ่ายเรื่อง ‘Evil’ เสร็จแล้ว มีแผนอะไรต่อหรือเปล่า?”

หลิวเย่หัวเราะ แฟนคลับที่ยืนมองอยู่ไกลๆ นั่นพอเห็นว่าเขากำลังคุยกับคนในรถอย่างสนุกสนาน ก็อดที่จะกรี๊ดกันไม่ได้

“คุณหลิว หันมาทางนี้หน่อยค่า พี่หลิว ฉันรักพี่น้า......”

ทุกคนพากันเดากันให้วุ่น ว่าคนที่กำลังคุยกับหลิวเย่อย่างสนิทสนมนั่นเป็นใครกันแน่

ในสายตาของทุกๆ คนนั้น หลิวเย่ก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่อยู่ในวงการมาอย่างยาวนาน เขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าข้อวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนมันเป็นอย่างไร นิสัยของแฟนหนัง และสื่อต่างๆ เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

คนในรถจะเป็นใครกัน ถึงได้ทำให้หลิวเย่แสดงความสนิทสนมออกมาท่ามกลางสายตาสาธารณะชนได้ขนาดนั้น