webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

349

บทที่ 349 คนแปลก

สำหรับฮั่วจือหมิงในวงการหนังภาพยนตร์หัวเซี่ย ก็ถือว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาอยู่พอสมควร

ตอนนี้เขาอายุเกือบจะห้าสิบแล้ว เกิดมาในครอบครัวที่มีการศึกษา แต่กลับมีนิสัยที่แปลกประหลาด รักสันโดษและเอาแต่ใจตัวเอง นักแสดงหลายๆ คนที่เคยร่วมงานกับเขา ต่างก็มีการประเมินวิจารณ์ที่ไม่เหมือนกันเลยสักคน

บางคนก็บอกว่าเขาเข้มงวดและจริงจังเกินไป ไม่รักษาน้ำใจกันเท่าไหร่ เดี๋ยวก็ผีเข้าเดี๋ยวก็ผีออก และกลุ่มคนที่ต้องร่วมงานกับเขาในกองถ่าย ต่างก็เคยนินทาว่าเขาเป็นพวก ‘เผด็จการ’

แต่ก็มีนักแสดงบางคนที่คิดว่าเขาเป็นพวกมือโปร หนังที่ถ่ายออกมาล้วนแล้วมีการโฟกัสจับจุดความรู้สึกออกมาได้เฉียบแหลมมากๆ

ผลงานของฮั่วจือหมิงนั้นก็ได้รับความคิดเห็นจากผู้ชมคนดูที่แตกต่างกันเช่นกัน บางกลุ่มก็คิดว่าผลงานของเขามันน่าชื่นชมมากๆ แต่ก็มีบางกลุ่มที่บอกว่าหนังของเขามันเป็นหนังที่ดูไม่ลงเลย

แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เซี่ยเชาฉวินต้องพูดเตือนเธอขึ้นมา ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือ

“เขาไม่มีทัศนคติ”

แล้วเซี่ยเชาฉวินก็พูดถึงข้อตำหนิข้อนี้ให้เธอฟัง

ฮั่วจือหมิง ‘ไม่มีทัศนคติ’ ที่แน่นอน สิ่งที่จะสื่อตัวตนของเขาได้ก็คือหนังที่เขาสร้างขึ้นมา

เกี่ยวกับบทตัวหลักและบทตัวประกอบต่างๆในหนังของเขานั้น ก่อนที่หนังจะได้เข้าฉาย ก็ไม่มีใครที่จะสามารถพูดถึงมันได้ว่าจะเป็นอย่างไร เวลาที่เขาตัดต่อ เขาก็มักจะทำอะไรตามอำเภอใจเสมอ

ตอนที่เซ็นสัญญากันก็อาจจะกำหนดว่าได้เป็นตัวหลักอยู่หรอก ตอนที่เริ่มถ่ายไปก็ได้เล่นเป็นตัวหลักไปเรื่อยๆ แต่พอถ่ายไปเรื่อยๆ เขาก็เริ่มอารมณ์เปลี่ยนอารมณ์ จนสุดท้ายบางทีฉากของตัวละครหลักกลับถูกตัดออกจนเหลือแค่ไม่กี่ฉาก

และมันก็เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวแบบนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะมีผลงานดีๆ มากมาย แต่ส่วนมากหนังของเขาไม่ใช่แนวหนังที่พวกนักลงทุนชอบลงทุนกันเท่าไหร่ เพราะคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป ไม่คุ้มที่จะไปลอง

และเพราะว่าเหตุผลแบบนี้ ทำให้ดาราที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ ล้วนก็ไม่ชอบที่จะทำงานกับฮั่วจือหมิงนัก เพราะกลัวว่าเขาจะมาจู่ๆ เกิดแนวคิดอะไรขึ้นมาอีก แล้วมาตัดฉากของ ‘ตัวละครหลัก’ จนแทบไม่มีใครจำได้

นักแสดงที่มีชื่อเสียงหลายคนที่เคยร่วมงานกับเขา แต่สุดท้ายก็เกิดทะเลาะแตกหักกันไป ในวงการเขาก็ไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดีอะไรนัก ปัจจุบันก็มีฐานะจุดยืนที่คลุมเครืออยู่ไม่น้อย

ไม่ใช่ผู้กำกับหน้าใหม่ที่ยังไม่มีชื่อเสียง แต่เป็นผู้กำกับที่เคยสร้างหนังมาหลายเรื่องและได้รับคำวิจารณ์แตกต่างกันมากมาย ถ้าพูดถึงฐานะของเขาแล้ว ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าเหล่าผู้กำกับใหญ่ชื่อดังของประเทศอย่างหนิงจ้านผิงและจ้าวร่างเลยด้วยซ้ำ

แต่ทั้งๆ ที่เขาก็ได้ถูกยกให้เป็นผู้กำกับใหญ่ที่มีชื่อเสียง แต่ในหลายปีมานี้กลับไม่มีผลงานออกมาให้ได้ดูเลย นอกจากกลุ่มคนที่เป็นแฟนหนังของเขาจริงๆ บางทีคนรุ่นใหม่ในสมัยนี้อาจจะไม่รู้จะผู้กำกับที่มีชื่อนี้เลยด้วยซ้ำ

ความเสี่ยงของหนังเขามีมากเกินไป เซี่ยเชาฉวินจึงต้องคอยเตือนเจียงเซ่ออย่างจริงจัง

“เธอดูแค่ตัวที่เป็นนิยายใช่ไหมล่ะ? ยังไม่ได้ดูที่เป็นตัวบทหนังใช่ไหม?”

ที่หล่อนพูดมาก็ถูก ตั้งแต่ที่เจียงเซ่อได้รับบทหนังหลายเรื่องที่แสนหนามานั้น เธอก็เพิ่งดูไปแค่ที่เป็นตัวนิยายไป ยังไม่ทันได้ดูตัวบทและคาแรคเตอร์ต่างๆ ของตัวละครจริงๆ เลยด้วยซ้ำ

พอเซี่ยเชาฉวิวนพูดจบ เจียงเซ่อก็หยิบหาตัวบทหนังของเรื่อง ‘Suspect’ ขึ้นมาเปิดดู พอเปิดดูแล้ว ก็พบว่าบนบทหนังเรื่อง ‘Suspect’ นั่นเขียนชื่อของฮั่วจือหมิงเอาไว้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนของบทหนัง ก็ล้วนแล้วเขียนชื่อของฮั่วจือหมิงเอาไว้ทั้งสิ้น

“หนังของเขามันดูเสี่ยงมากจริงๆ เลยนะ”

หลังเรื่องล่าสุดของเขาที่เพิ่งเข้าฉายไป จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็เกือบจะหกปีได้แล้ว และหนังของเขาที่เข้าฉายไปเมื่อหกปีก่อน ก็ได้รับคำวิจารณ์ในด้านลบบวกกับคำด่าทอมากมาย ผู้ชมคนดูหลายคนที่หลังจากได้ดูหนังของเขาจนจบแล้ว ก็พากันออกมาเขียนคำวิจารณ์กันว่า ฮั่วจือหมิงน่ะแก่เกินไปแล้ว น่าจะต้องอำลาวงการนี้ไปเสียที กลับบ้านไปใช้ชีวิตปั้นปลายเถอะ

แต่ก็ยังมีกลุ่มแฟนคลับที่ยังยืนหยัดและเชื่อในตัวเขาออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ที่ฮั่วจือหมิงถ่ายทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเพราะถูกบังคับหรือเปล่า หรือว่าเพราะไม่มีทุนแล้วจริงๆ ถึงต้องมาเจอกับคำวิจารณ์ต่างๆนาๆ แบบนี้

“คำวิจารณ์จากหนังเรื่องล่าสุดของเขา อาจจะส่งผลต่อหนังเรื่องใหม่ก็ได้นะ”

และที่สำคัญก็คือ เซี่ยเชาฉวินหนีบมือถือไว้กับแก้มและหัวไหล่ แล้วยื่นมือไปพลิกเอกสารดู เป็นเอกสารของหนังเรื่อง ‘Suspect’

“เพราะเหตุผลต่างๆ ที่ฉันบอกไป ทำให้หนังเรื่องนี้ของเขายังไม่มีใครกล้าที่จะลงทุน”

พอพูดถึงตรงนี้ หล่อนก็ถามเจียงเซ่อ

“ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ เซ่อเซ่อ เธอยังยืนยันที่จะรับเล่นหนังเรื่อง ‘Suspect’ อยู่อีกไหม เธอยังสนใจมันหรือเปล่า?”

เจียงเซ่อไม่ได้ตอบอะไร เซี่ยเชาฉวินเองก็ไม่ได้ถือกับความเงียบของเธอ “เขาอายุมากแล้ว แถมยังโลกส่วนตัวสูงไม่ค่อยเปิดรับความคิดเห็นจากใคร แถมนิสัยก็ดื้อรั้นทิฐิสูงอีก ไม่รู้ว่าจะมีอะไรให้คนหันมาสนใจและเป็นกระแสได้มากพอหรือเปล่าด้วย”

ถ้าหากว่าจะร่วมงานกับเขาจริงๆ ละก็ มันก็เลี่ยงที่จะเจอกับความเสี่ยงไม่ได้

“ตอนนี้ชื่อเสียงของเธอกำลังขึ้น หน้าที่การงานในวงการก็กำลังพัฒนาเรื่อยๆ ถ้าหากว่าจะรับเล่นหนังที่มีความเสี่ยงขนาดนี้ ก็ขอพูดกับเธอตรงๆ เลยนะ หนังเรื่องนี้ ท่านประธานกรรมการเป็นคนสั่งให้คนเอามารวมไว้กับกองบทหนัง แล้วให้ฉันเอามาให้เธอเลือก”

ตอนที่ลัวหยิ่นยังเป็นหนุ่มๆ เขาเคยมีการติดต่อและรู้จักกับฮั่วจือหมิงมาก่อน ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมลัวหยิ่นถึงได้ออกหน้าทำเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ตัวเซี่ยเชาฉวินเองก็ไม่ได้แปลกใจกับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก

“ตามที่ฉันเตือนเธอไป ดารานักแสดงที่อยู่ภายใต้สังกัดของซื่อจี้หยินเหอ ทุกคนต่างก็ได้รับข้อมูลนี้ไปกันคนละหนึ่ง”

พอเจียงเซ่อได้ยินแบบนั้น คิ้วก็เลิกขึ้นทันที เซี่ยเชาฉวินจึงพูดต่อ

“อย่างหาว่าฉันพูดไม่ไว้หน้าเลยนะ จุดที่ฮั่วจือหมิงอยู่ในตอนนี้ ไม่มีใครสักคนที่จะกล้าลงทุนให้ แม้แต่ค่าจ้างนักแสดงก็ยังไม่รู้ว่าจะมีจ่ายหรือเปล่าเลยด้วยซ้ำ!”

เธอพูดดูถูกออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบและเยือกเย็น ทำเอาเจียงเซ่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“พี่เชาฉวิน ฉันก็ยังรู้สึกสนใจเรื่องนี้อยู่ดีค่ะ บทจงฉีในเรื่องนี้ ฉันคิดว่ามันน่าสนใจมากๆ เลย”

พอเธอพูดจบ ปลายสายอย่างเซี่ยเชาฉวินก็ไม่พูดอะไรอีก เจียงเซ่อเดาว่าพอเซี่ยเชาฉวินได้ยินเธอพูดแบบนี้แล้ว ก็คงพูดอะไรไม่ออกแน่ๆ

“หรือว่า เอาไว้วันหลังมีเวลาว่างค่อยนัดเจอกับผู้กำกับฮั่วดีไหมคะ?”

นิสัยของเจียงเซ่อ เซี่ยชาฉวินเองก็รู้จักกับเจียงเซ่อมานานระยะหนึ่งแล้ว ก็น่าจะพอเข้าใจดีอยู่

คนแบบเธอ อ่อนนอกแข็งใน ถ้าหากว่าตัดสินใจไปแล้ว ก็ยากที่จะไปเปลี่ยนใจได้อีก

ยังไม่ต้องฟังน้ำเสียงของเธอที่กำลังพูดคุยเจรจากับเซี่ยเชาฉวิน แต่ถ้าเธอไม่ได้ต้องการจะสื่อแบบนั้น เธอก็คงไม่มีทางที่จะพูดกับเซี่ยเชาฉวินขึ้นมาหรอก

ถ้าเธอแสดงความคิดเห็นออกมาแบบนี้แล้ว แถมยังบอกว่าอยากจะเจอกับฮั่วจือหมิงอีก เซี่ยเชาฉวินก็รู้แล้วว่าเธอได้ตัดสินใจไปแล้ว จะไปเปลี่ยนใจเธอก็คงยาก

“อยากจะให้ฉันเตือนเธออีกสักหน่อยไหม?”

น้ำเสียงของเซี่ยเชาฉวินฟังดูเย็นชากว่าเดิม “บทหนังเรื่องนี้ ดาราในซื่อจี้หยินเหอที่ฉลาดหน่อยก็คงตอบปฏิเสธเรื่องนี้กันไปหมดแล้ว”

เจียงเซ่อเองก็เข้าใจในสิ่งที่เซี่ยเชาฉวินกำลังบอก จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“แค่เจอหน้ากันครั้งเดียวเองค่ะ แล้วค่อยคุยกันอีกที”

ชื่อเสียงของฮั่วจือหมิงนั้นไปไกลถึงขั้นที่ทำให้คนทั้งวงการไม่อยากจะร่วมงานด้วยแล้ว แค่พูดถึงคนก็พากันหนีแทบไม่ทัน

เจียงเซ่อยืนยันที่จะเจอกับฮั่วจือหมิง และถึงเซี่ยเชาฉวินจะเตือนเธอเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะจัดการให้อยู่ดี แต่ก่อนที่จะวางสายไป หล่อนก็ยังมีความสงสัยอยู่ดี

“ฉันขอถามสักหน่อยได้ไหม?”

“แน่นอนค่ะ”

เจียงเซ่อเองก็สงสัยว่าหล่อนมีเรื่องสงสัยอะไรที่อยากจะถามกัน ถ้าเทียบโม่อานฉีที่เกิดสงสัยอยากถามขึ้นมา กับเซี่ยเชาฉวินที่ดูไม่เหมือนผู้หญิงเลยในบางทีนั้น หล่อนไม่ค่อยที่จะสนใจเรื่องซุบซิบหรือข่าวหลุดอะไรในวงการบันเทิงเท่าไหร่ และไม่รู้สึกสงสัยอะไรด้วย ทำเรื่องอะไรก็คิดถึงแต่ผลไม่คิดมากเรื่องขั้นตอน ไม่พูดเรื่องไร้สาระในเวลาที่พูดเรื่องจริงจัง เวลาจัดการเรื่องอะไรก็มุ่งสู่เป้าหมายอย่างไม่ลังเล

ใบหน้าของหล่อนมีแต่ความสงบอยู่เสมอ น้อยครั้งที่จะแสดงอารมณ์ที่แตกต่างจากที่เป็นออกมา