webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

347

บทที่ 347 ลักพาตัว

ตั้งแต่แรกจนมาถึงวันนี้ เผยอี้ก็ยังคงรออยู่เสมอ

ทุกครั้งที่เจียงเซ่อไปเยี่ยมเยียนตระกูลเผยกับเฝิงจงเหลียง เท่าที่จำได้ ภาพเหล่านั้นมักจะเป็นเธอที่เอาแต่นั่งเงียบๆ อยู่ในรถตัดขาดกับคนภายนอก แต่เป็นเขาเองที่มักจะคอยยืนมองจากที่ไกลๆ เสมอ

เวลาที่ได้พูดคุยกับเธอ ส่วนมากก็เป็นเธอที่วางสายไปก่อน เหลือให้เขาได้ยินเพียงแค่เสียงสัญญาณที่ถูกตัดไปเท่านั้น

คอยเดินตามทางที่เธอเดิน ดูหนังสือต่างๆ ที่เธออ่าน กินอาหารที่เธอเคยกินบ่อยๆ “ผมเดินไปตามทางที่พี่เคยเดิน พี่เรียนที่ไหนผมก็ไปที่นั่น” แต่ทุกครั้งเลยเป็นเธอที่เรียนจบออกไปก่อน และเขากลับยังต้องอยู่ที่เดิม

เธอไม่รู้หรอกว่าเวลาที่ตัวเองใจดีกับใคร ตัวเขานั้นรู้สึกร้อนใจแค่ไหน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เพื่อที่จะให้เธอหันมาสนใจตัวเองบ้าง

ตอนนั้นเผยอี้รู้สึกสับสนในตัวเองมากๆ ความหมดหวังและมีหวังมันผสมปนเปกันไปหมด เหมือนได้เริ่มเข้าสู่วังวนที่ไม่สิ้นสุด ด้านหนึ่งก็เข้าใจว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม เธอก็ยังอายุมากกว่าเขาอยู่ดี และในสายตาเธอเขาก็คงเป็นได้แค่น้องชายคนหนึ่งตลอดไป ฝั่งของความสิ้นหวังจึงได้แต่บอกว่าให้ยอมแพ้ได้แล้ว

แต่ฝั่งที่มันยังมีหวัง ยังคงโอบอุ้มความคิดที่แสนเลือนรางเอาไว้ และรอวันที่จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

เขาเข้าใจความรู้สึกที่ต้องรอคอยดี เพราะอย่างนั้นในตอนที่ได้เจอกับเจียงเซ่อ สีหน้าท่าทางของเธอ แวบแรกมันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก พอได้กลับมาคิดหลังจากนั้น ถึงได้รู้ว่านั่นคือตัวเธอ

เหมือนว่าเธอกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง ถึงปากเธอจะไม่พูด แต่จริงๆ แล้วในใจก็อยากจะให้คนที่เคยไปมาหาสู่กับ ‘ตัวเอง’ บ่อยๆ ตอบรับหรือรู้สึกถึงได้บ้าง

“ฉันงั้นหรือ?”

เจียงเซ่อถามขึ้นมา เขาตอบ ‘อืม’

“ครับ แล้วแบบนั้นจะไม่ให้ผมตามหาพี่ได้ยังไงกัน? สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นการตัดสินใจผิดที่สุด คือการที่ผมตัดสินใจที่จะไปฝรั่งเศส”

ครั้งนั้นเขาเกือบที่จะเสียเธอไปแล้ว ไม่ใช่การทะเลาะกันแล้วเสียไป แต่เป็นการที่เขาเกือบจะเสียเธอคนนี้ไปแล้วจริงๆ

เขาไม่อยากจะคิดเลย ถ้าหากว่าเขากลับมาจากฝรั่งเศส แล้วพบว่า ‘เฝิงหนาน’ ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นใครอีกคนไปแล้ว เขาควรที่จะยอมรับความสูญเสียเหล่านั้นไปได้อย่างไร?

สิ่งที่เผยอี้ทำถูกต้องที่สุดนั้น คือการที่รู้ว่าเจียงเซ่อได้กลับมาเกิดใหม่ และรวบรวมจิตใจที่จะสารภาพรักกับเธอ เขายอมที่เป็นคนเลวถือโอกาสตอนที่เธอไม่มีทางเลือก คว้าตัวเธอมาในอ้อมกอดของตัวเอง

“ฉันขอโทษ”

เจียงเซ่อเริ่มสงบลง และเอ่ยขอโทษออกไปเสียงเบา ก่อนหน้านี้เธอควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย ถึงได้ผลีผลามโทรไปหาเผยอี้แบบนี้ และตอนนี้ก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังหาเรื่องทะเลาะอย่างไม่มีเหตุผล เธอจึงก้มหน้ายอมรับผิด

“ฉันไม่ควรพูดแบบนั้นเลย”

“แต่ผมชอบนะ”

เผยอี้พิงกำแพง พยายามซ่อนความดีใจเล็กๆ เอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เจียงเซ่อพาลโกรธใส่เขา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมามันช่างแปลกใหม่ เขาเอ่ยขึ้นอย่างดีอกดีใจ

“พี่จำพวกกล้องถ่ายทำที่บ้านได้ไหม?”

เจียงเซ่อพยักหน้า “จำได้สิ”

เขาใช้ของพวกนั้นแหละ ในการหลอกเธอให้ไปที่บ้านของเขา ที่จริงตอนนั้นก็อาจเป็นเพราะเธอเองก็รู้จักเผยอี้ รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนนิสัยอย่างไร เพราะงั้น ‘แผนสกปรก’ ของเขาถึงได้ราบรื่นขนาดนั้น

“ของพวกนั้นมันเป็นของเซี่ยงชิวหราน” แล้วเขาก็เล่าถึงเรื่องที่เซี่ยงชิวหรานไล่ตามจีบนางแบบคนหนึ่งในวงการบันเทิง แถมยังตั้งบริษัทบันเทิงให้กับนางแบบคนนั้นอีก ตอนนั้นก็กะจะส่งเสริมหล่อนสักช่วงหนึ่ง ให้ต้นทุนหล่อนในการสร้างชื่อเสียง แต่เหมือนว่าจะดีได้ไม่เท่าไหร่ เซี่ยงชิวหรานก็เริ่มเกิดอาการเบื่อ

ตอนนั้นเซี่ยงชิวหรานยังเล่าออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า พอผ่านไปไม่นานนางแบบคนนั้นก็เปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคน ยังไม่ทันทำอะไรก็อารมณ์เสียใส่ ต้องคอยให้คนอื่นไปเอาใจ แล้วเขาที่เป็นถึงคุณหนูคุณชายของตระกูลผู้สูงส่งจะคอยไปเอาใจคนอื่นได้อย่างไรกัน แค่ตัวก็ไม่อยากจะแตะต้องแล้ว สุดท้ายก็เลยเลิกกันไป

ตอนที่เผยอี้ได้ยินแบบนั้น ยังรู้สึกอิจฉาเซี่ยงชิวหรานอยู่เลยด้วยซ้ำ

เพราะว่าเจียงเซ่อเงียบเกินไปจริงๆ เขาหวังอยู่ตลอดว่าเจียงเซ่อจะมาแสดงอารมณ์โกรธหรือพาลโมโหเอาแต่ใจตัวเองกับเขาบ้าง เพื่อให้เขาได้มีโอกาสได้ง้อเธอบ้าง

“ผมชอบที่เซ่อเซ่อเป็นแบบนี้” เขากล้าพูดคำหวานออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

“ชอบที่พี่หยิ่งใส่ผม ชอบที่พี่เอาแต่ใจกับผม และชอบที่พี่บอกชอบผมที่สุด แต่ที่ชอบมากๆ คือเวลาที่พี่มีเรื่องไม่สบายใจแล้วเลือกที่จะโทรมาหาผม ผมดีใจมากเลยนะ”

คำพูดของเขาทำเอาเจียงเซ่อหน้าแดงซ่าน เธอหันตัวไปด้านข้าง แล้วดึงกระดาษทิชชู่ออกมาเช็ดหน้า และอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่สบายใจ?”

“เซ่อเซ่อของผมไม่เคยร้องไห้เลยนี่นา”

เขาเข้าใจเธอที่สุดแล้ว และเขาก็รู้จักนิสัยของเธอดีกว่าใครๆ “เธอมีนิสัยที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เวลาทำอะไรก็ตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถ มีบ้างที่ต้องเจอกับอุปสรรคแต่เธอก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้” เธอเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งใน แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็เป็นพวกที่ไม่ยอมเสียน้ำตาง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะต้องมาเกิดในสภาพที่แสนลำบาก แต่เธอก็สามารถเอาชนะมันมาได้ และได้ใช้ชีวิตอย่างที่เธออย่างจะเป็น

แต่ว่าตอนที่เธอโทรมาหาเขา น้ำเสียงของเธอกลับฟังดูเหนื่อยอ่อน และเหมือนกำลังร้องไห้อยู่ด้วย

เผยอี้รู้จักเธอดีจริงๆ เวลาที่เขาพูดออกมา เจียงเซ่อก็รู้สึกเหมือนเขาเพิ่งจะช่วยลบความเจ็บปวดเหล่านั้นออกไป

เธอสูดหายใจเข้า เปล่งน้ำเสียงที่เริ่มแหบเล็กน้อย

“ก็เพราะว่าบางทีน้ำตามันไม่ได้ช่วยอะไรไงล่ะ”

พอพูดแบบนี้ขึ้นมา เธอก็ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น

“อาอี้ วันนี้ฉันไปเยี่ยมคุณปู่มา”

เธออยากจะร้องไห้อีกแล้ว แต่ก็รีบหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกลั้นเอาไว้

“แล้วก็อยู่ทานมื้อเที่ยงที่นั่นด้วย” แล้วเธอก็เล่าถึงมื้อเที่ยง เล่าถึงขนมถางปู้ส่วย และเล่าถึงสิ่งที่แม่บ้านหวังพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว มันทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวในอดีต ถึงได้ทนไม่ไหวและโทรหาเผยอี้แบบนี้

เรื่องที่ถูกลักพาตัวไปเธอไม่ได้เล่าถึงรายละเอียดอะไรมากนัก เธอไม่ค่อยชอบที่จะเล่าเรื่องราวเจ็บปวดของตัวเองให้ใครฟัง เธอชอบที่จะเก็บเรื่องของตัวเองเอาไว้ ปกปิดไม่ให้ใครได้รู้ เธอจะไม่ยอมให้ใครมาสืบเสาะเรื่องในใจของเธอได้

ตอนนั้นเผยอี้เองก็เหมือนจะเคยได้ยินเรื่องที่เจียงเซ่อถูกลักพาตัวไป แต่เธอก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก

ตอนที่ได้ยินมาจากผู้ใหญ่ในบ้าน กับสิ่งที่ได้ยินเจียงเซ่อเล่าออกมาด้วยตัวเองนั้นไม่เหมือนกันเลยสักนิด แล้วเธอก็เล่าถึงเรื่องขนมถางปู้ส่วยถ้วยนั้น และมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดแทนไม่น้อย พอนึกถึงไอ้พวกที่ลักพาตัวเธอขึ้นมา เขาก็กำหมัดจนกระดูกลั่นดัง

“แล้วไอ้พวกที่ลักพาตัวพี่ไปมันโดนจับหรือยัง?”

“หลังจากนั้นก็โดนจับเรียบร้อยแล้ว” เธอยิ้มๆ “เพราะว่าปู่ของฉันเอง คนในบ้านจึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”

เธอโดนจับไปเป็นตัวประกัน ต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวแบบนั้นตั้งหลายวันหลายคืน และเกือบจะต้องตายอยู่ที่นั่นแล้ว พอเฝิงจงเหลียงกลับไปถึงที่บ้านตระกูลเฝิง ก็สั่งไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องที่เธอถูกจับตัวขึ้นมาอีก

บวกกับที่ตระกูลเฝิงในฮ่องกงก็มีหน้ามีตาไม่น้อย เรื่องพวกนี้จึงถูกปิดเอาไว้ มีข่าวเล็กๆ น้อยๆ หลุดออกไปบ้าง แต่หลังจากนั้นก็โดนข่าวอื่นกลบไปอย่างรวดเร็ว

ในส่วนของศาลก็เป็นเพราะว่าฐานะพิเศษของเฝิงจงเหลียง เลยไม่มีการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีอะไร และเรื่องหลังจากนั้นเฝิงหนานก็ไม่ได้ยินมันอีก แต่พอรู้มาลางๆ ว่าผู้ที่มีส่วนร่วมมีทั้งหมดเก้าคน มีคนขับรถและคนรับใช้ ห้าคนโดนจับข้อหาลักพาตัว ส่วนอีกสามคนโดนข้อหาผู้สมรู้ร่วมคิด หลังจากนั้นพวกมันก็โดนปิดคดีเอาไว้

เฝิงจงเหลียงสั่งให้หน่วยงานกฎหมายเก็บเงียบเรื่องนี้เอาไว้ และสุดท้ายพวกนั้นก็โดนจับเข้าขังคุกเป็นเวลาสิบเก้าปี

“สิบเก้าปี......” เธอโดนลักพาตัวไปตั้งแต่เด็กๆ พอลองนับๆ เวลาดูแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีการลดโทษ แต่ตอนนี้พวกนั้นก็คงจะได้ออกจากเรือนจำแล้ว

“กลับไปผมจะลองถามคุณปู่ดู”

น้ำเสียงของเผยอี้ดูเคร่งขรึมมากๆ เหมือนกับว่าจะไปคิดบัญชีพวกนั้นให้เธออีก เขาเริ่มรู้สึกเกลียดที่ตอนนั้นตัวเองเด็กเกินไป เลยไม่ได้เป็นคนที่ไปช่วยเธอในตอนนั้น ถ้าหากว่าเป็นตอนนี้ละก็ เขาจะต้องปกป้องเธออย่างสุดความสามารถแน่ๆ

ตอนแรกเขาอยากจะถามเจียงเซ่ออีกว่ายังจำรายละเอียดของพวกที่จับตัวเธอไปได้ไหม แต่ก็ไม่อยากจะไปรื้อฟื้นความทรงจำที่แสนเลวร้ายของเธออีก

แต่ที่จริงเจียงเซ่อเองก็อาจจะจำไม่ค่อยได้แล้วด้วย ถ้าหากว่ามาให้พยายามนึกในตอนนี้ คนคนนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ สำเนียงการพูดภาษาหัวเซี่ยที่ดูคล่องปร๋อนั่นยังจำได้แม่นในหัวของเจียงเซ่อ ดูไม่เหมือนกับคนฮ่องกง แต่หลังจากนั้นก็ได้ยินจากผู้ใหญ่ในตระกูลเฝิงอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า ผู้ร้ายลักพาตัวที่จับได้ในภายหลังนั้นเป็นชาวหัวเซี่ย เหมือนว่าจะแซ่เจียง แต่จำชื่อไม่ได้แล้ว