webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

334

บทที่ 334 รู้ใจกัน

“พรุ่งนี้ว่าจะไปหาคุณปู่” ครั้งนี้ที่เจียงเซ่อเตรียมตัวไปฝึกงานศึกษาโบราณคดี และเห็นว่ามีการจัดทำเส้นทางเอาไว้แล้ว และเป้าหมายก็ได้กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จะต้องออกไปเกือบสี่เดือนกว่า ปีหน้าถึงจะกลับมา เธอจะไม่ได้ไปที่บ้านตระกูลเฝิงอีกยาวเลย เพราะงั้นก่อนไปก็อยากจะไปบอกเขาก่อน

“อ่อ” เผยอี้เลียริมฝีปาก ก่อนจะใจกล้าหน้าด้านพูดออกไป

“งั้นช่วยเรียกว่า ‘สามี’ ก่อน แล้วจะวางสายนอนเลย”

“......” ในขณะที่กำลังง่วงสุดๆ แล้วเจียงเซ่อกลับต้องมารู้สึกใจเต้นดัง ‘ตุบๆ’ เธอเพิ่มอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศขึ้นเพื่อปกปิดความรู้สึกบนใบหน้าของตนเอง เธอเงียบไปอยู่นาน จนกระทั่งเผยอี้เรียกขึ้นมาอีกรอบ

“เซ่อเซ่อ?”

“ฉันจะนอนแล้ว”

เธอเอาแต่จัดหมอนไม่หยุด แล้วทำเสียงพูดไม่ชัดเจนขึ้นมา

“เริ่มง่วงแล้วล่ะ”

เธอทำน้ำเสียงเหมือนว่าไม่ค่อยมั่นใจ เผยอี้จะกล้าทำให้เธอลำบากใจอีกได้ยังไง ทำได้เพียงยอมถอยเสนอข้อต่อรองอย่างอื่นแทน

“งั้นจุ๊บผมหน่อยสิ”

“ไกลแบบนี้จะจุ๊บถึงได้ยังไงเล่า”

เจียงเซ่อม้วนปลายผมที่ตกลงมาที่ใบหน้า หน้ารู้สึกร้อนผ่าวไปหมด แต่เขาก็ยังคงขอร้องผ่านมือถือมา

“ถ่ายรูปจุ๊บมาให้ผมสักรูปสิ”

“ไม่เอา!” เธอปฏิเสธออกมาในทันที เผยอี้จึงต้องเปลี่ยนอีกอย่าง

“งั้นก็จุ๊บผ่านมือถือมาหน่อยครับ”

เธอปฏิเสธอย่างชัดเจน น้ำเสียงของเขาก็ฟังดูน่าสงสารอยู่ไม่น้อย

“แค่ครั้งเดียว นะครับ ผมคิดถึงพี่มากเลย”

เขายกมือขึ้นมานับนิ้ว

“เมื่อวานพอผมกลับมาถึงที่โรงเรียน ผมก็คิดถึงพี่ตั้งหลายครั้งแน่ะ ทั้งตอนกินข้าว ตอนก่อนนอนก็......”

เผยอี้ยังเอาแต่บ่น เจียงเซ่อที่อยู่อีกฝั่งของสาย ก็แอบจุ๊บใส่ไมค์ลงไปเบาๆ น่าเสียดายที่เผยอี้ไม่ทันได้ยิน เขายังรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย

“พี่ไม่จุ๊บผม งั้นผมจุ๊บพี่เองก็ได้!”

จากนั้นก็มีเสียงจุ๊บดังผ่านลำโพงมาเสียหลายที เจียงเซ่ออ้าปากค้าง ก่อนจะที่เจียงเซ่อจะเร่งเขาออกไป

“พอแล้วๆ นอนได้แล้ว!”

แต่ก่อนจะวางสายไปก็ได้ถามถึงอาการแขนของเขา ถึงแม้ว่าแขนของเขาจะไม่ได้หักหรือบาดเจ็บอะไรขนาดนั้นจริงๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังมีรอยช้ำอยู่ พอเขาได้ยินความเป็นห่วงเป็นใยของเธอแล้ว ก็เอาแต่ส่งเสียงจุ๊บต่อไปหยุด

“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ ตอนนี้เป็นแค่ภายนอกเท่านั้น”

แล้วเขาก็พูดอะไรอีกนิดหน่อย ก่อนจะบอกราตรีสวัสดิ์

“ง่วงแล้วก็นอนเถอะครับ ผมจะฟังจนกว่าพี่จะวางสายไป”

เธอรับคำไป พอตัดสายไปแล้ว เผยอี้ก็เอาแต่ยิ้มโง่ๆ ให้กับมือถือ

มือถือส่งเสียงตัดสัญญาณไปแล้วอยู่หลายที สุดท้ายก็ตัดเองโดยอัตโนมัติ จนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าไม่ได้ยินเสียงของเจียงเซ่ออีก เขาถึงค่อยเอามือถือออกมาจากหู

เจียงเซ่อกำลังจะปิดมือถือ แต่เสียงแจ้งเตือนว่าข้อความเข้าก็ดังขึ้นมาเสียก่อน แอคเคาท์ของเผยอี้ยังคงกะพริบเตือนอยู่บนรายชื่อผู้ติดตามบนอินเทอร์เน็ต เขาส่งรูปมา เป็นรูปจู๋ปากที่เขาถ่ายมาเอง ในหอพักแสงไฟค่อนข้างสลัว เขาสวมแค่เสื้อกล้ามตัวหนึ่ง ทำให้ได้เห็นสัดส่วนกล้ามเนื้อหัวไหล่และแขนของเขาอย่างชัดเจน และพิมพ์มาว่า

พี่ไม่ถ่ายรูปจุ๊บผม งั้นผมถ่ายรูปจุ๊บพี่แทน มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากทำให้ฉันพอใจ งั้นฉันก็จะทำให้อีกฝ่ายพอใจแทน

ผมของถูกตัดจนสั้นแล้ว ใบหน้าของเขาที่ถูกโรงเรียนทหารขัดเกลามามีความหนักแน่นมากขึ้น คิ้วและดวงตาของเขาเหมือนกำลังยิ้มเล็กน้อย แถมยังทำท่าทางน่ารักๆ แบบนั้นโดยที่ไม่เขินอายเลยสักนิด

เจียงเซ่อยกมือขึ้นไปลูบรูปใบหน้าของเขา จากนั้นก็เอามือถือมาแนบกับแก้ม สุดท้ายเธอก็ยิ้มออกมา และตอบเขากลับไปว่า ‘ได้รับแล้ว’ และปิดมือถือนอนทันที

เช้าวันรุ่งขึ้นเจียงเซ่อก็แวะไปที่บ้านตระกูลเฝิงตามที่วางแผนเอาไว้ เพื่อที่จะไปบอกเฝิงจงเหลียงถึงเรื่องที่จะออกไปฝึกงาน และคงใช้เวลาสักครึ่งปีกว่าจะกลับมาที่ตี้ตูอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงออกด้วยใบหน้านิ่งๆ เหมือนไม่สนใจอย่างเคย แต่ก่อนที่เจียงเซ่อจะกลับ เขาก็พูดออกมาด้วยใบหน้านิ่งๆ

“ออกไปอยู่ข้างนอก ก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองล่ะ ไอ้โบราณคดี สุสานอะไรนั่น ฉันลองให้เสี่ยวหลิวโทรไปถามดูแล้ว ถ้ามีตรงไหนไม่ปลอดภัย ก็รีบกลับมาก่อนรู้ไหม”

เขาบ่นไปกำชับไป

“เป็นเด็กผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่ยอมฟังที่ผู้ใหญ่พูด ถ้าไม่เข้าวงการบันเทิง ไปเป็นดารานักร้องอะไรนั่น ก็ไปสุสาน ต้องไปสนทนากับพวกคนหัวโบราณมากมาย ถ้าชอบแล้วอยากจะศึกษาจริงๆ ในบ้านฉันก็มีอยู่ เอากลับไปศึกษาสักชิ้นสองชิ้นก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง”

เจียงเซ่อยกยิ้มขึ้น พอฟังเขาพูดจนจบแล้ว สุดท้ายเฝิงจงเหลียงก็พูดออกมา

“ออกไปข้างนอก ถ้าว่างๆ ก็ ติดต่อหาฉันบ้างแล้วกัน!”

เจียงเซ่อพยักหน้า เฝิงจงเหลียงมองเธอขับรถออกไปแล้ว เขาคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแทกไม้เท้าลงพื้นดัง ‘ตึก ตึก’ : “เสี่ยวหลิว เสี่ยวหลิว! เอาปฏิทินมาให้ฉันดูหน่อยสิ!”

ตอนนี้มันเพิ่งจะต้นเดือนตุลาคม เฝิงจงเหลียงพลิกๆ ปฏิทินดู แล้วนึกถึงที่เจียงเซ่อบอกว่าน่าจะไปสักสามสี่เดือนถึงจะกลับมา งั้นก็แสดงว่าออกเดินทางตั้งแต่เดือนตุลาคม สามสี่เดือนหลังจากนี้ก็คงจะเป็นหลังปีใหม่สินะ

เขาถอนหายใจออกมา แล้วโยนปฏิทินลง เสี่ยวหลิวก้มตัวลงหยิบมันขึ้นมา และรู้แล้วว่าคุณปู่ท่านนี้กำลังอารมณ์ไม่ดีแน่ๆ

“คุณหนูเจียงบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าถ้ากลับมาจากการฝึกงานเมื่อไหร่ ก็จะกลับมาเยี่ยมนายท่านทันที แถมยังฝากบอกว่าให้ท่านดูแลรักษาสุขภาพดีๆ ถ้าเธอกลับมาที่ตี้ตูอีกครั้ง เธอบอกว่าปีหน้าจะมีหนังเรื่องหนึ่งเข้าฉาย และจะพาท่านไปดูด้วยกัน”

“ใครสนใจกันว่าเธอจะมาเยี่ยมฉันหรือเปล่า?” เฝิงจงเหลียงขมวดคิ้ว สีหน้าดูเคร่งขรึมและจริงจังไม่น้อย “แล้วใครจะไปดูหนังอะไรนั่น?” ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงท่าทางออกมาว่าจริงจังมากแค่ไหน แต่น้ำเสียงกลับฟังดูอ่อนลงไม่น้อย ไม่ได้มีความแข็งกร้าวเหมือนที่เคยแล้ว

เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าการที่ตนเองสาดอารมณ์ออกไปแบบนั้นก็ดูน่าขันไม่น้อย จนอดไม่ได้ที่จะขำออกมา

“นายว่า ถ้าหากว่าหลานสาวฉันไม่เปลี่ยนไป ยังเป็นคนเดิมอย่างที่เคยเป็น เธอจะเหมือนกับเด็กสาวคนนี้บ้างไหม......”

ตอนที่เฝิงจงเหลียงพูดถึงเจียงเซ่อขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะยิ้มอยู่ แต่ดวงตากลับมีน้ำสีใสเคลือบคลอ

ช่วงบ่ายเจียงเซ่อมีนัดเจอกับลัวอ้าว และเธอก็มาถึงก่อนเหมือนเคย

การนัดการของทั้งสองในครั้งนี้ก็เป็นแค่เรื่องการต่อสัญญาเท่านั้น และการนัดเจอกันก็ไม่ได้ทางการอะไร ดังนั้นสถานที่นัดเจอกันจึงเป็นแค่คาเฟ่แห่งหนึ่งในใจกลางตี้ตู ไม่ใช่ที่บริษัท

ตอนที่ลัวอ้าวมาถึง เขาก็ยังไม่เข้าไปในร้านคาเฟ่ในทันที เขายืนอยู่อีกฟากของถนนและมองผ่านเข้าไปในกระจกร้านคาเฟ่ มองเจียงเซ่อที่นั่งอยู่ข้างกระจกนั่น

เธอนั่งพิงโซฟา และถือหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ ท่าทางดูกำลังตั้งอกตั้งใจไม่น้อย

ถ้าเทียบแสงพระอาทิตย์ของเดือนตุลาคมกับช่วงเวลาอื่นๆ แล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าไม่ได้ร้อนอะไรมากมาย ในร้านคาเฟ่ยามบ่ายไม่ค่อยมีคนนัก เธอนั่งอยู่ตรงนั้นและดูหนังสือไปเรื่อยๆ ท่าทางสบายใจไม่น้อย เหมือนไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นดาราอะไร ราวกับว่าทุกคนที่นั่งอยู่ในร้านเป็นแค่แขกลูกค้า

ลัวอ้าวเป็นคนสนิทของลัวหยิ่นเจ้าของซื่อจี้หยินเหอ ทุกวันนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้คุมอำนาจทั้งหมดในซื่อจี้หยินเหอ จากตอนแรกที่ได้ยินฟีดแบคจากเซี่ยเชาฉวินว่าเชี่ยซ่าเหลยกำลังสนใจที่จะให้เจียงเซ่อเล่นเป็นตัวละครหนึ่งในหนังเรื่องใหม่ของเขา กลับต้องมาได้ยินแทนว่าอาจจะต้องเสียโอกาสนั้นไป

แต่ในตอนนี้เจียงเซ่อกลับไม่ได้มีความรู้สึกซึมเศร้าเลยสักนิด เธอสวมเสื้อที่ทำจากผ้าไหมสีชมพูอ่อน ท่อนล่างเป็นกางเกงขาเจ็ดส่วนสีดำกระชับ เผยให้เห็นเอาคอดเล็กนั่นได้อย่างชัดเจน

ขายาวสวยทั้งสองข้างของเธอรวบเข้าหากัน ผมถูกปล่อยสยายเอาไว้ เหมือนอยู่ในวันที่สบายๆ ของตัวเอง

เหมือนกับว่าการที่เชี่ยซ่าเหลยไม่เลือกเธอ และเธอก็กำลังจะเสียโอกาสจากบทในหนังเรื่อง ‘The Lost City’ ไป ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเธอมากมายเลย

เถาเฉินเองก็ได้จองตัวไปอิตาลีตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ข่าวคราวจากทางหล่อนก็มีออกมาอย่างชัดเจน ว่าหล่อนได้นัดเจอกับเชี่ยซ่าเหลยแล้ว และโอกาสที่จะได้รับเล่นหนัง ‘The Lost City’ ก็มีสูงอยู่ไม่น้อย