บทที่ 333 ต่างฝ่ายต่าง
เชี่ยซ่าเหลยได้เตรียมการที่จะถ่ายหนังเรื่อง ‘นักโทษ’ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว เขามีความกระตือรือร้นต่อนิยายเรื่องนี้อย่างเต็มอก และเขาก็ไม่ใช่ผู้กำกับหน้าใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ เขารู้ว่าควรจะทำยังไงให้ผู้ชมคนดูรู้สึกสนใจกับสิ่งที่เขาชอบได้อย่างดี
เจียงเซ่อรู้สึกว่า ถ้าหากว่าเธอสามารถพึ่งพาเรื่องนี้ในการทำให้เชี่ยซ่าเหลยกลับมาประทับใจในตัวเธออีกครั้งได้ การที่ไม่สามารถได้แสดงหนังเรื่อง ‘The Lost City’ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องน่าเสียใจแต่อย่างใด
หลังจากบอกราตรีสวัสดิ์เซี่ยเชาฉวินไปแล้ว เจียงเซ่อก็วางสายและเตรียมตัวจะเข้านอน แต่ยังไม่ทันจะปิดมือถือ เผยอี้ก็โทรเข้ามาเสียก่อน
“เซ่อเซ่อ” น้ำเสียงของเขาดูเคร่งขรึมมากๆ วินาทีที่เรียกชื่อเจียงเซ่อออกมานั้น เจียงเซ่อก็รู้สึกอ่อนไปทั้งตัว
“วันนี้พี่เป็นข่าวนี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
ตัวเขาอยู่ที่กว่างโจว แต่เรื่องข่าวต่างๆ ของเจียงเซ่อ เขาคอยใส่ใจมันเสมอ
วันนี้เจียงเซ่อขึ้นเป็นหัวข้อข่าวใหญ่ แต่จู่ๆ ข่าวก็ถูกลบออกไปหมด จนสุดท้ายก็ไม่สามารถค้นหาข่าวเหล่านั้นได้อีกเลย เผยอี้จึงรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล เลยอาศัยช่วงว่างก่อนนอนโทรหาเธอ
ตอนที่คุยเรื่องนี้กับเซี่ยเชาฉวินเมื่อครู่ เจียงเซ่อคิดว่าเธอสามารถผ่านมันไปได้ เธอคิดว่าตัวเองยังสามารถหาวิธีที่จะทำให้เรื่องร้ายๆ กลายเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองขึ้นมาได้แน่นอน แต่พอเผยอี้โทรมา แล้วถามเธอถึงเรื่องนี้แล้ว เจียงเซ่อก็เกิดขอบตาร้อนผ่าวและแสบจมูกไปหมด
“ไม่มีอะไรหรอก” เธอยังคงส่ายหน้าตามความเคยชิน พอลองคิดๆ ดูก็รู้ว่าเพราะเขากำลังเป็นห่วงเธอ ถึงได้ดึงดันโทรมาหาแบบนี้ เธอเองก็ไม่ควรที่จะปิดบังเขา ไม่ควรที่จะกันเขาออกไป
ความเคยชินแบบนี้ของเธอมันไม่ดีเลย เวลามีเรื่องอะไรเธอก็ไม่ควรที่จะมัวแต่ปล่อยให้เผยอี้ไปเดาเอาเอง เธอนึกถึงเรื่องระหว่างตัวเธอและคุณปู่ขึ้นมา มีหลายคำพูดที่เคยได้มีโอกาสได้บอกออกไป แต่กลับติดอยู่กับนิสัยของตัวเอง จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดมากมายระหว่างหลานและปู่
และเจียงเซ่อก็ไม่ต้องการที่จะให้ระหว่างเธอและเผยอี้ต้องเป็นแบบนั้นอีก สวรรค์ไม่มีทางที่จะให้โอกาสเธอซ้ำๆ เธอคิดว่าคงต้องปรับเปลี่ยนความเคยชินของตัวเองบ้างแล้ว
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลองพูดสิ่งที่อยู่ในใจตัวเองออกไป
“ก็แค่หลังจากที่นายขึ้นเครื่องบินไปได้ไม่นาน เชี่ยซ่าเหลยก็ติดต่อมาหาฉัน เขาบอกว่าเขากำลังจะถ่ายทำหนังเรื่องใหม่ และคิดว่ามีตัวละครหนึ่งที่เหมาะกับฉันดี เขาถามว่าฉันสนใจหรือเปล่า”
นิสัยเธอเป็นอย่างไร ข้อนี้เผยอี้รู้ดีเสมอ น้อยครั้งที่เธอจะระบายความในใจออกมาแบบนี้ มีเรื่องอะไรก็มักจะชอบเก็บไว้ในใจเสมอ
ถึงแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงยอมเล่าเรื่องพวกนี้ให้เขาฟัง แต่เผยอี้ก็ยังรู้สึกดีใจ และคอยตอบกลับไปเบาๆ ว่า ‘อืม’
เขาใช้น้ำเสียงที่เบาเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนเจียงเซ่อเข้า กลัวว่าเดี๋ยวเธอจะเปลี่ยนใจไม่บอกเขาอีก
“ที่จริงเรื่องนี้ถือว่าเป็นความลับมากๆ นะ แต่กลับโดนนักข่าวแอบถ่ายแล้วปล่อยข่าวไปเสียได้ เพราะงั้นบางทีอาจจะต้องเสียโอกาสถ่ายหนังเรื่องนี้ไป”
เจียงเซ่อเล่าคร่าวๆ ให้ฟัง แล้วเผยอี้ก็เกิดโมโหขึ้นมา
“ผมว่าแล้วว่าต้องมีอะไรแปลกๆ! แล้วนี่ไอ้พวกเนี่ยต้านทำอะไรกันอยู่เนี่ย!”
เขาเพิ่งจะกลับกว่างโจวไปได้วันเดียว ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว เผยอี้เองก็ไม่ได้โง่ ตั้งแต่ที่เจียงเซ่อบอกว่าเชี่ยซ่าเหลยกำลังจะถ่ายทำหนังเรื่องใหม่ และบอกว่าสุดท้ายอาจจะต้องเสียโอกาสในการได้เล่นหนังเพราะข่าวนี้ถูกแพร่ออกไป เบื้องหลังของเรื่องนี้จะต้องมีคนตั้งใจสร้างมันขึ้นมาแน่ๆ “บางทีอาจจะเป็นคนที่ต้องการจะแย่งชิงโอกาสนี้เหมือนกัน”
“ฉันรู้”
เผยอี้คิดเรื่องนี้ออก แน่นอนว่าเจียงเซ่อเองก็ต้องคิดออกเช่นกัน กระทั่งในใจของเจียงเซ่อเองยังเริ่มมีผู้ต้องสงสัยในใจแล้วด้วย และคิดว่าในใจของซื่อจี้หยินเหอและตัวเซี่ยเชาฉวินเองก็คงจะพอรู้แล้วว่าใครเป็นคนทำ เพราะงั้นซื่อจี้หยินเหอถึงได้คิดจะชดเชยให้เธอ และถามว่าเธออยากจะเล่นหนังใหม่ของหนิงจ้านผิงหรือเปล่า
และนี่ก็คือการเล่นเกมส์ให้ได้สมดุลของลัวหยิ่น
“เดี๋ยวผมจะกลับไปแก้แค้นให้พี่เอง!” เผยอี้กัดฟันแน่น “ไม่อยากจะเชื่อเลย ผมเพิ่งจะกลับมาได้ไม่เท่าไหร่เอง......”
“ไม่ต้องหรอก” เจียงเซ่อส่ายหัว ขำออกมาเบาๆ แล้วขยับหมอนเล็กน้อย ก่อนจะล้มตัวนอนลง
“เรื่องนี้ขอให้ฉันจัดการเองนะ”
ที่จริงแล้วบทตัวละครที่ยังไม่มีการกำหนดว่าใครจะแสดง แน่นอนว่าต้องมีการแย่งชิงกันอยู่แล้ว ยิ่งเป็นโอกาสอย่าง ‘The Lost City’ ที่หายากแบบนี้แล้วด้วย เป็นเรื่องปกติที่จะมีการออกกลอุบายกัน
แต่แค่ตั้งแต่ที่เธอเข้าวงการมา เธอทำอะไรก็ราบรื่นมาโดยตลอด นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยที่เจอเรื่องแบบนี้
“นายยังจำเหยาเสียงได้ไหม?”
เสียงเจียงเซ่อหวานเยิ้ม และแทรกซึมไปด้วยความไว้ใจต่อตัวเผยอี้ ที่จริงตอนนี้เขาก็รู้ว่าเจียงเซ่อแค่เรียกเขาขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่ก็อาจเป็นเพราะวันนี้ที่กว่างโจวอากาศดีมากๆ สีท้องฟ้าในยามค่ำคืนก็งดงาม น้ำเสียงอันอ่อนโยนและหวานรื่นหูดังออกมาจากมือถือที่เย็นชืด ทำเอาเขารู้สึกเคลิบเคลิ้มไปไม่น้อย
ถึงแม้ว่าเธอกำลังพูดถึงชื่อของคนอื่นอยู่ เผยอี้ก็ยังรู้สึกว่าแค่เธอกำลังคุยอยู่กับเขา อะไรๆ เขาก็ชอบทั้งนั้น
“แน่นอนว่าจำได้”
เหยาเสียงไม่ใช่คนที่สำคัญอะไร แต่มันก็ยากที่จะให้เผยอี้ลืมไปได้
เรื่องที่เขาได้มารู้จักกับเจียงเซ่อหลังจากที่เธอมาเกิดใหม่ คงจะตัดความเกี่ยวข้องระหว่างเหยาเสียงออกไปไม่ได้ เพราะเรื่องที่มันเคยมากวนใจเจียงเซ่อในลิฟต์ทำให้เขาทั้งคู่ได้ทำความรู้จักกัน
เผยอี้เคยสืบประวัติของเหยาเสียงมาก่อน พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทุกครั้ง ก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆ เขารู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ตอนนั้นตัวเองกำลังหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี จึงได้ซัดเหยาเสียงไปโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ไม่อย่างนั้นไอ้เวรนั้น มันคงจะทำอะไรต่อมิอะไรกับเจียงเซ่อแน่ๆ และคงไม่มีการพบกันในภายหลัง และไม่มีเรื่องให้เนี่ยต้านได้ไปสืบ มันอาจจะทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นเจียงเซ่อ บวกกับนิสัยของเธอด้วยแล้ว อาจจะทำให้ตลอดชีวิตไปจนแก่เฒ่าก็ไม่มีทางได้มาเจอกันอีก
“วันนี้ผมเห็นข่าวของเขาแล้ว รูปที่เขาโดนตำรวจจับกุมตัวนั่น”
และเผยอี้ก็ไม่ลังเลที่จะพูดออกมาเลยสักนิด
“สมน้ำหน้ามันแล้ว!”
เหยาเสียงไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว ชื่อเสียงในวงการก็ฉาวโฉ่ การที่เขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ก็ถือว่าสมควร
ที่จริงในหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ เนี่ยต้านเองก็คอยหาเรื่องวุ่นวายให้เขาอยู่ตลอด แต่ครั้งนี้เซี่ยเชาฉวินจงใจที่จะเอาเรื่องนี้มากดข่าวเจียงเซ่อและเชี่ยซ่าเหลยลง เพราะงั้นมันจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น และแน่นอนว่าเบื้องหลังก็มีเนี่ยต้านคอยช่วยอยู่ไม่น้อย
“เรื่องที่เขาสมควรจะโดนหรือเปล่านั่นช่างมันเถอะ ฉันนึกถึงตอนนั้น ตอนที่ได้เจอกับเหยาเสียงครั้งแรก มันเป็นตอนที่ฉันรับเล่นหนังเรื่องที่สอง”
เธอได้เจอเหยาเสียงในกองถ่ายหนัง ตอนนั้นเหยาเสียงเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ ตำแหน่งถือว่าสูงไม่น้อย “ตอนนั้นไต้เจียทำให้เขาไม่พอใจ จึงทำให้บทที่อยู่ในมือหลุดลอยไปเป็นของคนอื่นเสียแทน”
ตอนนั้นเหยาเสียงใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่น้อย แต่นี่เพิ่งจะผ่านไปได้แค่กี่ปีเอง? กลับต้องมาเดินเข้าคุกเสียแล้ว
เรื่องราวของเหยาเสียงก็เหมือนเป็นตัวที่คอยเตือนเจียงเซ่อเช่นกัน มันไม่มีเรื่องไหนหรอกที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง วันนี้เธอแสดงความสามารถทั้งหมดที่ตัวเองมีออกมา ไปตัดลู่ทางของคนอื่น จนอยู่ในสถานะที่ไม่มีใครสามารถมาแตะต้องได้อีก แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าอาจจะมีวันหนึ่ง ที่คนอื่นก็สามารถขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งของเธอได้เหมือนกัน?
ทั้งสองคนพูดคุยผ่านมือถือ มันเป็นครั้งแรกที่เธอพยายามเล่าเหตุการณ์และความรู้สึกจริงๆ ที่มีให้เผยอี้ได้รับรู้ บอกเขาว่าตัวเองกำลังจะไปฝึกงานในครึ่งปีหลัง พูดถึงหนังสือที่อ่านในช่วงนี้ และบอกว่าคาดหวังกับเรื่อง ‘นักโทษ’ มากแค่ไหน
ยิ่งเธอพูดออกมามากเท่าไหร่ เผยอี้ก็ยิ่งไม่อยากจะวางสาย เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกขึ้นมาว่าเขาอยู่ห่างจากเจียงเซ่อมากไปแล้วจริงๆ
ตอนนี้เขาอยากจะสัมผัสเธอ อยากจะจับมือเธอ อยากจะหอมอยากจะจูบเธอ อยากจะเห็นสีหน้าของเธอตอนที่เล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกมา คิดถึงกลิ่นหอมๆ บนตัวของเธอ
น้ำเสียงของเธอค่อยๆ ดูง่วงลงเรื่อยๆ เวลาไม่มีงาน เธอก็มักจะเข้านอนเร็วเสมอ ทั้งสองคนพูดคุยกันมาเกือบหนึ่งชั่วโมงอย่างไม่ทันได้รู้ตัว และตอนนี้ก็ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว
“เซ่อเซ่อ ง่วงนอนแล้วใช่ไหมครับ?”
“อื้อ”
น้ำเสียงของเธอเริ่มอ่อนลง เสียงตอบในลำคอเบาๆ ของเธอมันเหมือนกับมีแปรงมาปัดเบาๆ ที่หู ตอนที่มันไหลผ่านหูของเขา มันอ่อนนุ่ม จนสะท้านไปทั่วใจของเขา
เขาอดไม่ได้ที่จะแนบมือถือลงแน่นๆ และรู้สึกมีความสุขจนนอนไม่หลับ อยากจะคุยกับเธออีกสักสองสามประโยค แต่ก็ได้ยินเสียงเธอที่เหมือนจะฝืนมากๆ แล้ว