บทที่ 332 วิธีของตนเอง
เชี่ยซ่าเหลยไม่ได้มีการติดต่อข่าวคราวกลับมาอีก แต่ตกกลางคืนก็มีข่าวของเขาปะปนอยู่ในข่าวที่เหยาเสียงโดนจับกุม ว่าเขาได้กลับอิตาลีไปแล้ว และก่อนไปเขาก็ไม่ได้มีการบอกลาเจียงเซ่อเลยสักคำ แค่นั้นก็รู้แล้วว่าคงไม่พอใจกับข่าวที่กระจายไปทั่วก่อนหน้านี้นัก
ส่วนเรื่องบทในหนัง ‘The Lost City’ ที่คุยกันเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้มีการพูดถึงอีก
อาจเป็นเพราะไม่ได้มีการตำหนิอะไร อย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้กำกับชาวอิตาลีที่มีชื่อเสียง เจียงเซ่อเดาว่า ผู้กำกับอายุน้อยคนนี้จะต้องกำลังไม่พอใจเธออยู่แน่ๆ บางทีการเงียบไปมันก็ทำให้คนรู้สึกร้อนใจเสียยิ่งกว่าการตำหนิด่าแรงๆ ออกมาเสียอีก
เซี่ยเชาฉวินโทรกลับมาหาเธอตอนช่วงดึกว่าก่อนที่เชี่ยซ่าเหลยจะกลับได้บอกลาเจียงเซ่อหรือไม่ พอรู้ว่าเชี่ยซ่าเหลยไม่มีทีการบอกลา หล่อนก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมา
“งั้นเรื่องที่จะไปฝึกงานศึกษาโบราณคดีกับทางมหาวิทยาลัย......”
ในใจของทั้งสองคนต่างก็พอจะรู้แล้วว่าบทในหนังเรื่อง ‘The Lost City’ คงจะเริ่มเป็นไปได้ยาก ถ้าหากว่ามันจะเป็นไปตามนั้นจริงๆ เชี่ยซ่าเหลยก็คงไม่มีทางรีบกลับไปขนาดนั้น น้ำเสียงของเซี่ยเชาฉวินฟังดูเรียบนิ่งกว่าเดิมหลายเท่า
“ฉันลองไปตรวจสอบดูแล้ว ตารางเที่ยวบินกลับของเขาคือหลังจากนี้อีกสองวัน แต่เขามีการกลับก่อนที่กำหนดเอาไว้”
และการที่เชี่ยซ่าเหลยเปลี่ยนวันกลับกะทันหันแบบนี้ก็พอที่จะทำให้รู้อะไรๆ บ้างแล้ว
เรื่องที่เจียงเซ่อเตรียมตัวจะเข้าร่วมกับการฝึกงานศึกษาโบราณคดีในปีสามนั้น จริงๆ มันก็เป็นเพราะเชี่ยซ่าเหลยบอกว่าบทบาทหนึ่งในเรื่อง ‘The Lost City’ นั้นเหมาะกับเธอ แต่ตอนนี้โอกาสนั้นกำลังจะหล่นหายไป แน่นอนว่าเซี่ยเชาฉวินก็จะต้องจัดการเตรียมอย่างอื่นไว้เผื่อให้เจียงเซ่อ
“วันนี้ทางบริษัท ลัวอ้าวติดต่อมาหาฉัน บอกว่าท่านประธานฝากมาบอกว่า ตอนนี้มีหนังอยู่สองเรื่อง และบทที่เสนอมาก็ดูน่าจะเป็นที่ชื่นชอบได้อยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นมีเรื่องที่มีหนิงจ้านผิงเป็นคนกำกับด้วย”
ปลายสาย เซี่ยเชาฉวินเงียบไปครู่หนึ่ง
“เอกลักษณ์ของหนิงจ้านผิงเป็นที่ชื่นชอบของศิลปินรุ่นเก่าๆ มากเลยนะ ผลงานของเขาเคยได้รับรางวัลจากงานหนังภาพยนตร์ของหัวเซี่ยมากมาย เธอมีโอกาสสูงที่จะได้รับโอกาสนี้”
หล่อนเป็นคนที่ทำงานตามเนื้องานเสมอ ถ้าหากว่าเชี่ยซ่าเหลยยืนยันมาแล้วว่าไม่มีโอกาสอีก ก็จะได้หาทางที่ดีที่สุดให้กับเจียงเซ่อได้
“ถ้าได้รับรางวัลนี้ มันจะช่วยเธอได้เยอะเลยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะเอาตัวบทไปให้ดู”
“ทำตามแผนเดิมที่วางเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ ฉันเตรียมตัวที่จะไปฝึกงานกับทางมหาวิทยาลัยแล้ว ช่วงนี้ไม่รับงานหนังอะไรทั้งนั้น”
เจียงเซ่อปฏิเสธคำแนะนำของเซี่ยเชาฉวินไป คำพูดของเธอทำให้ปลายสายอย่างเซี่ยเชาฉวินชะงักไป
ตอนนี้ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว เซี่ยเชาฉวินได้ยินเสียงเธอขยับพลิกตัวไปมา ถึงน้ำเสียงของเธอจะไม่ได้ฟังดูกำลังผิดหวังอะไร แต่คำพูดที่พูดออกมากลับทำให้เซี่ยเชาฉวินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“เซ่อเซ่อ เธอคงไม่ได้อยากจะให้ฉันปลอบใจเธอหรอกใช่ไหม?”
“แน่นอนว่าไมใช่ค่ะ” เจียงเซ่อไม่ได้หัวเราะอะไร ก่อนจะพูดต่อ
“พี่เชาฉวิน พี่ว่า การที่ฉันตัดสินใจแบบนี้ในดูมั่นใจในตัวเองไปไหม?”
“ก็แล้วไม่ใช่หรือ?”
เซี่ยเชาฉวินเลิกคิ้วขึ้น แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดปลอบใจคนอื่นอยู่แล้ว และจริงๆ เจียงเซ่อเองก็คงไม่ใช่คนที่ต้องการให้ใครไปปลอบใจด้วย
เธอเองก็คงจะเหมือนหล่อนที่มีความทะเยอทะยานสูง จิตใจเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ เพราะงั้นถึงได้ดึงดูดเซี่ยเชาฉวินได้
แต่พอลองมานึกถึงอายุของเจียงเซ่อดู และลองคิดว่าวันนี้เธอเพิ่งจะผ่านเรื่องใหญ่ที่ส่งผลต่อความรู้สึกมา เซี่ยเชาฉวินก็อดไม่ได้ที่จะพูดปลอบใจออกไปสักเล็กน้อย
“ฉันว่าเธอเองก็น่าจะเข้าใจอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ถ้าเธอเสียโอกาสจาก ‘The Lost City’ ไป ก็น่าจะต้องตั้งใจถ่ายหนังเรื่องอื่นให้ดี พยายามสร้างชื่อเสียงที่มั่นคงภายในประเทศ ถ้ามัวแต่ทำตัวให้สบายใจเหมือนอย่างที่เคยทำ มันคงไม่มีทางส่งผลดีต่อตัวเธออยู่แล้ว และฉันก็คิดว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าควรจะเลือกแบบไหน”
“ฉันเข้าใจค่ะ”
เจียงเซ่อตอบออกมาปนเสียงหัวเราะเล็กน้อย เหมือนว่าไม่ค่อยสนใจนัก รอบๆ ตัวเธอมีแต่ความเงียบ เซี่ยเชาฉวินที่ฟังเสียงจากลำโพงอีกที ก็ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเธอปิดหนังสือเบาๆ
“แต่ว่าพี่เชาฉวินคะ พี่รู้สึกจริงๆ หรือ ว่าฉันคงจะพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว?”
“แล้วไม่ใช่หรือ?”
เซี่ยเชาฉวินถามกลับ แล้วหล่อนก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถามคำถามเดิมออกไปถึงสองรอบแล้ว มีบางทีที่พูดๆ อยู่แล้วได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นจมูกของเจียงเซ่อด้วยในบางช่วง พอกำลังจะพูดอะไร เจียงเซ่อก็หัวเราะขึ้นมา
“แน่นอนว่าไม่ค่ะ”
น้ำเสียงของเธออ่อนนุ่ม แต่ก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น
“ทำไมฉันกลับรู้สึกว่า โอกาสนี้มันเพิ่งจะมาเองล่ะคะ?”
หนังสือนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ ถูกเจียงเซ่อกอดเอาไว้ เพราะว่ายังไม่ค่อยชินกับการอ่านภาษาอิตาลีเท่าไหร่นัก ทำให้ตอนที่เจียงเซ่ออ่านนิยาย ก็ต้องมีหาคำแปลบ้าง ดังนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ในช่วงเวลาว่างสั้นๆ จึงได้อ่านไปแค่ไม่กี่หน้าเท่านั้น
“ฉันเคยได้ยินผู้ช่วยของเชี่ยซ่าเหลยพูดเอาไว้ เชี่ยซ่าเหลยชอบนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ มากๆ ครั้งนี้ที่ได้นัดเจอกับเชี่ยซ่าเหลย เขาเองก็พูดถึงเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เรื่องที่ร่วมมือกันกับบริษัทปอจี๋เอ่อ และได้เซ็นสัญญาถ่ายทำหนัง ‘The Lost City’ นั่นมันก็เป็นแค่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เท่านั้น เพื่อที่จะทำให้บริษัทปอจี๋เอ่อยอมมาลงทุนเรื่อง ‘นักโทษ’ ด้วย” เจียงเซ่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้เซี่ยเชาฉวินที่กำลังจะพูดอะไรก็เปลี่ยนใจแทน
“พูดต่อสิ”
“ถ้าหากว่ามันเป็นการลงทุนธรรมดาๆ ทั่วไป ฉันคิดว่าคนที่มีเสียงอย่างเชี่ยซ่าเหลย ก็คงไม่มีทางเสนอความต้องการนี้มาแน่ๆ ดังนั้นฉันจึงเดาว่า ข้อตกลงแลกเปลี่ยนกันระหว่างเชี่ยซ่าเหลยและบริษัทปอจี๋เอ่อ อำนาจการจัดการทั้งหมดของเรื่อง ‘นักโทษ’ จะต้องอยู่ที่เชี่ยซ่าเหลยแน่ๆ”
เจียงเซ่อแจกแจงออกมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
“ถ้าพลาดโอกาสจากเรื่อง ‘The Lost City’ ไปจริงๆ ก็น่าเสียดาย แต่พอฉันได้ลองคิดดูแล้ว นี่มันก็เหมือนเป็นโอกาสในการทดสอบตัวเองอีกครั้ง”
ถึงเชี่ยซ่าเหลยจะเกิดความรู้สึกไม่ดีกับเธอในตอนนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าต่อจากนี้ทั้งสองคนจะเข้าหน้าหรือร่วมงานกันไม่ได้อีก
หนังสือนิยายต้นฉบับ ‘นักโทษ’ ของเขาอยู่ที่เธอ และอย่างน้อยในอนาคตเจียงเซ่อก็สามารถใช้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ในการพบเจอกับเชี่ยซ่าเหลยอีก
ตอนแรกที่ทำให้เชี่ยซ่าเหลยประทับใจในตัวเธอได้ก็เพราะตอนแรกเกิดไปรู้สิ่งที่เขาชอบโดยบังเอิญก็เท่านั้น บวกกับที่เธอเองก็เคยได้อ่านนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ มาก่อนอยู่แล้ว จึงพูดคุยถึงเนื้อหาเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง
แล้วถ้าครั้งต่อไปนัดเจอกัน เธอควรจะใช้อะไร ที่จะทำให้เชี่ยซ่าเหลยที่กำลังเริ่มไม่ชอบเธอในตอนนี้ กลับมาประทับใจในตัวเธอเหมือนเดิมดีล่ะ?
เจียงเซ่อรู้สึกว่า นอกจากจะเป็นเนื้อหาในนิยายเรื่องนี้แล้ว ก็ยังมีการตัดสินใจและต้องทำในสิ่งที่ตัวเองพูดเอาไว้ให้ได้อีกด้วย
และเธอก็ได้ยืนยันไปแล้วว่าตัวเองยินดีที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่อง ‘The Lost City’ และจะเตรียมตัวโดยการไปร่วมฝึกงานศึกษาโบราณคดีในปีสามของมหาวิทยาลัย และเธอก็ได้ยืนยันอย่างชัดเจน ว่าการฝึกงานในครั้งนี้จะใช้เวลาราวๆ ครึ่งปี
หรือพูดได้ว่า ในเมื่อเจียงเซ่อยืนยันไปแล้วว่าจะไปฝึกงาน เธอจึงไม่รับงานเลยในตลอดครึ่งปีนี้ แต่ทว่าจะทุ่มความสำคัญไปที่การข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนครั้งนี้และงานที่กำลังจะถ่ายนั่นเอง
ถ้าหากว่าทุกฝ่ายเข้าใจกันโดยที่ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา ว่าเธอเสียโอกาสจากหนังเรื่อง ‘The Lost City’ ไปแล้วจริงๆ แล้วที่เธอตกลงสัญญากับเชี่ยซ่าเหลยไปแล้วว่าจะไปฝึกงานศึกษาโบราณคดีล่ะ?
เธอปล่อยวางงานทุกอย่างในวงการบันเทิง และทุ่มเททั้งหมดไปกับสิ่งที่ตกลงเชี่ยซ่าเหลยเอาไว้ ถึงแม้ว่าหลังจากนี้ เธอจะไม่ได้เข้าร่วมกับหนัง ‘The Lost City’ ตามที่หวังเอาไว้ก็ตาม
เจียงเซ่อก็ไม่ได้โง่ แต่แค่เป็นการถอยออกมาเพื่อดูสถานการณ์แล้วค่อยลุยต่ออีกครั้งเท่านั้น
และเรื่องที่เชี่ยซ่าเหลยกำลังเข้าใจผิดเธอ ถ้าจะมัวเอาแต่คิดหาทางไปอธิบาย ก็คงไม่เท่ากับการลงมือให้เห็นด้วยตัวเอง
“พี่เชาฉวิน ฉันไม่ได้กำลังจะยอมแพ้ และไม่ใช่กำลังมั่นใจในตัวเอง แต่แค่ฉันกำลังอยากจะได้โอกาสนี้มา เพราะงั้นถึงได้ยังพยายามคว้ามันอยู่แบบนี้ ”