webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

330

บทที่ 330 ความสามารถเฉพาะตัว

หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ เจียงเซ่อก็เข้าวงการบันเทิง ถึงแม้ว่าจะได้สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งได้ตามที่หวัง แต่เรื่องราวหลังจากนั้นทุกอย่างมันก็ไม่ได้เหมือนอย่างที่ตัวเธอคิดเอาไว้

แค่ในระยะแรกเธอก็เริ่มมีชื่อเสียงทั้งในด้านที่ดีและไม่ดี อย่างน้อยที่เจียงเซ่อคิดว่าจะให้ความสำคัญต่อเรื่องของทางมหาวิทยาลัยก่อนมันก็ยังไม่เกิดขึ้น แต่กลับต้องมาติดเรื่องถ่ายหนัง หลังจากที่เธอขึ้นปีสอง หลายครั้งมากที่เธอต้องขอลาหยุดและดรอปเรียนเอาไว้ เลยกลายเป็นว่าต้องใช้เวลาว่างๆ จากการทำงานถ่ายหนังเสร็จมาเรียนเพิ่มเสียแทน

ในสถานการณ์แบบนี้ การเรียนจึงกลายเป็นแค่หน้าที่ ไม่ใช่การทำสิ่งที่ชอบ

แล้วถ้าที่เชี่ยซ่าเหลยอยากให้เธอมารับเล่นหนังเรื่อง ‘The Lost City’ เพราะว่าเธอเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ละก็ เจียงเซ่อก็คิดว่าอาจใช้โอกาสนี้ ในการเพิ่มเวลาให้ตัวเอง และให้ความสนใจกับสิ่งที่ตัวเองเรียน

“ฉันเดาว่า ตัวละครที่คุณเชี่ยซ่าเหลยต้องการ คือต้องการหญิงสาวที่มีเอกลักษณ์ของหัวเซี่ยอย่างชัดเจน คุณพูดถึง ‘The Occasion of Beiping’ เพราะงั้นตัวละครในเรื่อง ‘The Lost City’ ที่คุณจินตนาการเอาไว้ ก็คงจะต้องดูเฉยชาเล็กน้อย แต่ภายนอกดูเหมือนอ่อนโยนใช่ไหมคะ ”

เจียงเซ่อประกบมือเข้าหากัน แล้วเอียงหน้ามองคนตรงข้าม

“เป็นนักศึกษาคณะประวัติศาสตร์ ดูแล้วน่าจะเป็นพวกหนอนหนังสือ” แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ เธอยกมือข้างซ้ายขึ้น ทำท่าเหมือนว่ากำลังดันแว่น

“ตัวละครตัวนี้จะต้องมีรูปลักษณ์ภายนอกที่อ้อนแอ้นแน่ๆ ต้องสวมแว่นอันโต แต่ในขณะเดียวกัน หนังเรื่อง ‘The Lost City’ ก็ยังเป็นหนังแนวแอดเวนเจอร์” ถ้าพูดอีกแบบหนังเรื่อง ‘The Lost City’ เป็นหนังแนวผจญภัย มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่ในเรื่องจะต้องมีความตื่นเต้นและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าต้องมีฉากต่อสู้ด้วย “ดังนั้นคนที่จะมารับบทนี้จะต้องมีร่างกายที่ดีพอสมควรใช่ไหมล่ะคะ”

เชี่ยซ่าเหลยพยักหน้า “ถูกทั้งหมดที่พูดมาเลย!”

ที่จริงตอนที่เขาได้เห็นบทหนังเรื่องนี้ ในหัวมันก็เริ่มที่จะมีภาพรวมของตัวละครตัวนี้ออกมาแล้ว ตัวละครที่สวมเสื้อเชิ้ตคู่กับกางเกงยีนส์ รวบผมขึ้นเป็นหางม้า และสวมแว่น แต่เป็นหญิงสาวที่มีแววตาที่เรียบนิ่ง

ตอนที่ปอจี๋เอ่อเอ่ยถึงตัวละครบทนี้ขึ้นมา และคาดหวังว่าจะสามารถเพิ่มหญิงสาวชาวต่างชาติที่มีเอกลักษณ์เข้าไปอีกคน เขาก็นึกถึงเจียงเซ่อขึ้นมาในทันที

เพราะหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ที่เจียงเซ่อเล่นมันยังเป็นที่ประทับใจของเชี่ยซ่าเหลยอยู่ไม่น้อย บวกกับที่ว่าตอนนี้วงการหนังภาพยนตร์ของหัวเซี่ยเองก็พัฒนาไปมาก และผู้ชมคนดูจากหัวเซี่ยก็ถือว่าเป็นของหวานชิ้นใหญ่สำหรับเหล่านักลงทุนของยุโรป-อเมริกา

ถ้าได้ใช้นักแสดงสาวที่เป็นชาวหัวเซี่ยจริงๆ ก็จะสามารถดึงคนดูจากหัวเซี่ยได้ด้วย และไม่แน่ว่าอาจจะได้ประโยชน์โดยแทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลยด้วยซ้ำ

และนั่นจึงทำให้เชี่ยซ่าเหลยสามารถเกลี้ยกล่อมผู้ลงทุนได้อย่างง่ายดาย และยอมให้โอกาสต่อเจียงเซ่อได้ลองสักครั้ง เพราะงั้นเชี่ยซ่าเหลยถึงได้มีการบินมาที่หัวเซี่ยเป็นกรณีพิเศษ ในขณะเดียวกันก็มาทำตามสิ่งที่ตัวเองสัญญาว่าจะให้ยืมหนังสือเอาไว้ในตอนแรกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว

“ตอนนี้ฉันอยู่ปีสาม สามารถลงเรียนวิชาเสริมโบราณคดีได้ค่ะ”

พอเจียงเซ่อพูดขึ้นมาแบบนั้น เชี่ยซ่าเหลยก็ส่งแววตาให้กำลังใจมา เธอกำมือแน่น พยายามกดความรู้สึกตื่นเต้นในใจเอาไว้

“เท่าที่ฉันทราบมา นักศึกษาปีสามในครึ่งปีหลัง จะเป็นช่วงที่ให้ฝึกงานพอดี”

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ สาขาที่เจียงเซ่อต้องการจะลงเพิ่มในตอนแรกจะไม่ใช่สาขาศึกษาโบราณคดี แต่เธอก็เชื่อว่า ถ้าหากว่าเธอมีความสนใจมากพอที่จะเข้าร่วม ถึงแม้ว่าคนที่ลงฝึกงานโบราณคดีจะเต็มแล้วก็ตาม แต่เซี่ยเชาฉวินจะต้องมีวิธีที่จะจัดการเรื่องนั้นให้เธอแน่นอน

สิ่งที่เจียงเซ่อพูดถือว่าฉลาดหลักแหลมมากๆ เธอไม่ได้ถามเชี่ยซ่าเหลยว่าจะได้บทนี้ของ ‘The Lost City’ หรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เชี่ยซ่าเหลยคิดว่าตัวเธอรีบถามถึงความต้องการของตัวเองมากจนเกินไป เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันจะทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่ขัดแย้งกันขึ้นมาได้ จนทำให้เกิดสิ่งที่ไม่คุ้มตามมา

แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงถึงเจตนาว่าตนเองก็อยากจะได้บทนี้มาด้วยเช่นกัน เป็นการบอกเชี่ยซ่าเหลยเป็นนัยๆ ว่า ถ้าเธอได้บทนี้มา เธอก็จะเข้าร่วมการฝึกงานกับสาขาโบราณคดีกับผู้เชี่ยวชาญและนักศึกษาคนอื่นๆ ในระยะเวลากว่าครึ่งปี และนี่ก็ถือว่าเป็นการพูดถึงปัญหาที่เชี่ยซ่าเหลยกังวลออกมาด้วย

ถ้าหากว่าเชี่ยซ่าเหลยยินยอมที่จะให้โอกาสนี้กับเธอ งั้นบทสนทนาเหล่านั้น เชี่ยซ่าเหลยก็จะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลที่มีประโยชน์อีกมากมายแน่นอน แต่เพราะว่าเวลามีจำกัด เธอเลยได้ข้อมูลมาไม่มากนัก

พอเจียงเซ่อพูดจบ เชี่ยซ่าเหลยก็ยิ้มๆ

“คุณเจียง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากเลยนะครับ ผมคิดว่าถ้าปอจี๋เอ่อได้ยินข่าวเรื่องนี้แล้ว จะต้องพอใจกันมากแน่ๆ”

คำพูดของเขาที่สื่อออกมามีความหมายที่ชัดเจน ในใจของเจียงเซ่อจึงลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

การทานอาหารกับเชี่ยซ่าเหลยในครั้งนี้ใช้เวลาไปกว่าสองชั่วโมง ตอนที่ทั้งสองคนแยกกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โดนแอบถ่าย เจียงเซ่อจึงเป็นฝ่ายกลับก่อน

พอเธอออกมาจากบริเวณร้านเป็ดย่างซึ่งเป็นสถานที่นัดเจอเรียบร้อยแล้ว เธอก็โทรหาเซี่ยเชาฉวินในทันที

“พี่เชาฉวิน พี่อยู่ไหนคะ?”

เซี่ยเชาฉวินจอดรถรอเจียงเซ่ออยู่ที่โรงจอดรถของร้านเป็ดย่าง ในรถนอกจากจะมีโม่อานฉีอยู่ด้วยแล้ว ก็ยังมีจางฉือผู้ช่วยของเซี่ยเชาฉวินเองด้วย

เธอรีบไปขึ้นรถ พอขึ้นมาเรียบร้อยแล้วก็ถอนหายใจออกมายาว ก่อนหน้านี้ที่อยู่ต่อหน้าเชี่ยซ่าเหลยต้องคอยเก็บอาการดีใจมาตลอด ตอนนี้รู้สึกโล่งและดีเป็นบ้า

“เชี่ยซ่าเหลยพูดถึงเรื่องที่บริษัทปอจี๋เอ่อและฮว๋านเต่าได้ร่วมลงทุนกับหนังเรื่อง ‘The Lost City’ ที่เพิ่งจะเริ่มถ่ายทำแล้ว และเขาก็บอกว่าสนใจที่จะให้โอกาสกับฉัน”

พอเจียงเซ่อพูดออกมาแบบนั้น โม่อานฉีที่นั่งอยู่ในรถก็ยิ้มเสียเต็มหน้า

“จริงหรือ?”

เจียงเซ่อพยักหน้า กอดหนังสือเรื่อง ‘นักโทษ’ ที่เชี่ยซ่าเหลยให้ยืมมาเสียแน่น และบอกถึงการตัดสินใจของตัวเองออกไป

“เขาพูดถึงบทในเรื่อง ‘The Lost City’ แล้ว ตัวละครนี้เกี่ยวกับโบราณคดี ฉันถึงตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการฝึกงานศึกษาโบราณดีในปีสามของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง”

เซี่ยเชาฉวินพยักหน้า “เดี๋ยวฉันจัดการให้”

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องของเจียงเซ่อ เพราะมันเป็นเหมือนจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในการก้าวเข้าสู่วงการหนังภาพยนตร์ยุโรป-อเมริกาของเธอ ถ้าหากว่าหนังเรื่องแรกของเธอเป็นของเชี่ยซ่าเหลย ถึงแม้ว่าอาจจะมีบทบาทในตัวเรื่องไม่มาก แต่หนังเรื่องนี้ก็มีการลงทุนที่สูง และผู้กำกับก็มีชื่อเสียง และสามาช่วยเพิ่มศิลปะการแสดงของตัวเธอให้มีสีสันมากยิ่งขึ้นได้อีก

เจียงเซ่อสามารถเรียกมันว่าเป็นสปริงบอร์ดได้เลย เธอเห็นเส้นทางที่จะเข้าสู่วงการหนังยุโรป-อเมริกาที่แสนจะราบรื่นอยู่ตรงหน้าแล้ว และเธอกำลังจะมีโอกาสที่มากขึ้นไปอีก

ดังนั้นทันทีที่เซี่ยเชาฉวินรู้ว่าเชี่ยซ่าเหลยเดินทางมาถึงที่หัวเซี่ย เพื่อเตรียมตัวกับการถ่ายทำหนังเรื่องใหม่ หล่อนจึงดูให้ความสำคัญมากขนาดนั้น

ตอนนี้พอได้ยินว่าเจียงเซ่อได้รับโอกาสนั้นจากเชี่ยซ่าเหลยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังพูดคุยถึงข้อมูลของตัวหนังแล้วด้วย

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกแรงช่วยเท่ากับเถาเฉินที่โด่งดังมีชื่อเสียงไปแล้วในก่อนหน้านี้ แต่เจียงเซ่อก็สามารถต่อยอดโอกาสจากการสนทนากับเชี่ยซ่าเหลยในครั้งก่อนได้ เธอได้รับโอกาสที่นานวันพันปีจะมาสักครั้งไว้ในมือ แน่นอนว่าเซี่ยเชาฉวินต้องช่วยทุ่มเทเต็มกำลังแน่นอน

หล่อนโทรไปอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ว่ากลุ่มฝึกงานการศึกษาโบราณคดีของปีสามนั้นจะมีคนลงชื่อไปจนเต็มแล้ว อีกทั้งตัวเจียงเซ่อเองก็ไม่เคยได้มีประสบการณ์หรือเคยได้เรียนเกี่ยวกับโบราณคดีมาก่อน แต่ตัวเซี่ยเชาฉวินที่มีคอนเนคชั่นกว้างขวางนั้นก็สามารถช่วยได้มากทีเดียว

หลังจากนั้นอีกไม่กี่สิบนาที หล่อนก็วางสายไป “จะออกเดินทางหลังจากครึ่งเดือนหลังนี้ งั้นภายในครึ่งเดือนนี้ เธอก็ตั้งใจเรียนเสริมไปเรื่อยๆ ทางมหาวิทยาลัยจะหาผู้เชี่ยวชาญมาคอยสอนให้เธอ ส่วนตารางงานในช่วงนี้ฉันจะเป็นคนเคลียร์ให้เธอเอง ส่วนเรื่องเรียนก็หยุดเอาไว้ก่อนก็ได้......”

เธอยังคงกำชับไปเรื่อยๆ แต่ทันใดนั้นเองมือถือที่อยู่ในมือก็เกิดเสียงแจ้งเตือนขึ้นมา เซี่ยเชาฉวินขมวดคิ้ว ก่อนจะยกมือขึ้นทำท่ารอก่อน แล้วยกมือถือขึ้นมา

“ใช่ค่ะ ฉันคือเซี่ยเชาฉวิน”

ไม่รู้ว่าปลายสายพุดอะไรกลับมา สีหน้าของเซี่ยเชาฉวินถึงได้ค่อยๆ เคร่งเครียดแบบนั้น โม่อานฉีที่นั่งอยู่ข้างหน้าก็หันมามองหน้ากันอยู่หลายครั้ง ตอนนี้สีหน้าของเซี่ยเชาฉวินดูนิ่งสุดๆ

“ช่วยเก็บข่าวเอาไว้ได้หรือเปล่า? จะเอาเท่าไหร่?”

และดูเหมือนว่าปลายสายจะไม่ได้ให้คำตอบที่ตรงใจเท่าไหร่นัก หล่อนวางสายไป แล้วกำชับจางฉือ

“โทรหาซิ้นเฟยเคอจี้ สือไต้บันเทิง เฉวียนฉิวหัวเซี่ย......” แล้วหล่อนก็เอ่ยถึงสำนักข่าวสื่อต่างๆ ออกมา “บอกให้พวกเขาเก็บข่าวของเจียงเซ่อเอาไว้เดี๋ยวนี้”

จางฉือลนๆ แต่ก็โทรไปตามที่หล่อนสั่ง โม่อานฉีเองก็หยิบมือถือขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างไรก็ต้องทำตามที่เซี่ยเชาฉวินสั่งเอาไว้ก่อน

เซี่ยเชาฉวินติดต่อกลับไปที่บริษัท และพูดคุยอยู่กับลัวอ้าวอยู่หลายประโยค พอวางสายไปแล้ว หล่อนก็กำมือถือเอาไว้ แล้วมองเจียงเซ่อ

“เซ่อเซ่อ โอกาสที่ได้ร่วมมือในครั้งนี้ ดูท่าว่าจะมีอุปสรรคแล้วล่ะ”

ตอนที่หล่อนพูดแบบนั้นออกมา ตาของหล่อนหรี่ลง แววตาเต็มไปด้วยความร้อนรนและโมโห

“เรื่องที่เธอออกมาเจอกับเชี่ยซ่าเหลย มีนักข่าวของหัวเซี่ยจือซวิ้นถ่ายเอาไว้ได้ และตอนนี้ข่าวก็โดนปล่อยออกไปแล้ว”