webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

329

บทที่ 329 ต่างคนต่างมี

สิ่งแรกที่เฝิงหนานทำก็คือการติดต่อหาผู้จัดการส่วนตัวของเถาเฉิน อย่าให้เรื่องนี้แพร่ออกไปเป็นอันขาด มันจะทำให้ทั้งเจียงเซ่อและเชี่ยซ่าเหลยกลายเป็นจุดเด่น แถมยังทำให้เจียงเซ่อยิ่งมีชื่อเสียงในประเทศมากขึ้นอีก ต้องกดเธอเอาไว้สิ

ทางฝั่งคนที่กำลังทานอาหารมื้อเที่ยงกันอยู่นั้น เชี่ยซ่าเหลยยังคงรักษาความเคยชินที่เป็นคนไม่เรื่องมากได้เป็นอย่างดี เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับการใช้ตะเกียบของหัวเซี่ยนัก มีบ้างบางครั้งที่ยังต้องขอใช้มีดส้อมแทน

“นิยายเรื่องนี้ของ Matthew ในสายตาของใครหลายๆ คนแล้ว ยอดขายมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จนมาถึงทุกวันนี้ การตีพิมพ์ขึ้นมาใหม่ก็ถือว่าน้อยมาก”

เขาตัดแบ่งเนื้อออกมา “ผมคิดว่าถ้านำมันไปทำเป็นหนังจอใหญ่ ให้ผู้คนได้เห็นมันมากยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้แผนงานทั้งหมดกลับต้องหยุดเอาไว้”

“ไม่ใช่เพราะว่าเธอยังไม่ดีพอ แต่เป็นเพราะคุณชื่นชอบมากเกินไปต่างหาก มันก็เลยทำให้ทุกอย่างดูหนักและจริงจังไปหมด” เจียงเซ่อตอบคำถามเชี่ยซ่าเหลย ทำเอาเขาต้องหัวเราะออกมายกใหญ่

“ผมเป็นแค่หนึ่งในเหตุผลเท่านั้นเองครับ”

แววตาของเขาเผยประกายความขี้เล่นออกมา เขาวางมีดส้อมลง แล้วยกมือขึ้นมาหนึ่งข้าง

“แต่ผมชอบที่คุณพูดแบบนี้นะ มันทำให้ผมฟังแล้วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลย”

“เหตุผลจริงๆ ของเรื่องนี้ นอกจากเรื่องที่ว่าผมจริงจังกับเธอมากเกินไป ที่สำคัญที่สุด ก็คือเรื่องเงินลงทุน”

เชี่ยซ่าเหลยถอนหายใจออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆ หายไป

เจียงเซ่อเลิกคิ้วขึ้นมา เชี่ยซ่าเหลยก็ยังดูอายุน้อย สามสิบกว่าไม่ถึงสี่สิบด้วยซ้ำ แต่กลับได้เป็นที่ยอมรับในวงการหนังภาพยนตร์ว่าเป็นผู้กำกับที่แสนจะยอดเยี่ยมตั้งแต่อายุยังน้อย เขามีชื่อเสียงอย่างมากในวงการหนังนานาชาติ ขอแค่เขาเป็นคนเสนอแนวคิด คนที่พร้อมจะลงทุนให้กับเขาก็คงมีมากมายอยู่แล้ว

และเธอเองก็เคยได้ท่องจำข้อมูลของเชี่ยซ่าเหลยมา แค่เห็นผลงานต่างๆ ของเขาก็พอจะเข้าใจอะไรๆได้หลายอย่างแล้ว และดารานักแสดงฮอลลีวูดทั้งหลายก็คงเต็มใจที่จะได้ร่วมงานกับเขา

แต่ตอนนี้เชี่ยซ่าเหลยกลับมาบอกว่าที่ยังไม่ได้เริ่มถ่ายทำหนังจากนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ ที่ตัวเองชื่นชอบเสียที ก็เพราะว่าไม่มีเงินลงทุนเสียอย่างนั้น

แต่เจียงเซ่อก็คิดและกลับมาได้อย่างว่องไว แบบนี้คงจะไม่ใช่การลงทุนธรรมดาๆ ทั่วไปแล้วสินะ ก็แสดงว่าตัวเชี่ยซ่าเหลยเองก็คงมีความต้องการต่อเงินลงทุนตัวนี้อย่างชัดเจน

ส่วนเงื่อนไขของมัน ถ้าให้เจียงเซ่อเดา เริ่มจากที่เชี่ยซ่าเหลยชื่นชอบและให้ความสำคัญต่อนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ มาก และตัวเขาก็คงคาดหวังที่จะได้มีขอบเขตอำนาจการควบคุมและตัดสินใจที่มากกว่าใคร

เจียงเซ่อยังไม่เคยได้สัมผัสกับวงการหนังภาพยนตร์ของต่างประเทศเท่าไหร่นัก แต่ถ้าโดยรวมก็พอจะมีความเข้าใจอยู่บ้าง ว่าผู้กำกับคือสิ่งที่จะทำให้เนื้อเรื่องมันมีความเป็นศิลปะและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

แต่ในมุมมองนักลงทุนและผู้ผลิต ถ้ามีสองสิ่งนี้เข้ามาร่วมด้วย และถ้าหากว่าผู้กำกับไม่มีอำนาจมากพอ ก็อาจจะมีความเป็นไปได้สูงที่เนื้อเรื่องของหนัง มันจะแปลกออกไปจากสิ่งที่ตัวผู้กำกับคิดเอาไว้ และเลือกที่จะทำตามใจสิ่งที่ผู้ชมคนดูชื่นชอบแทน

จนมาถึงทุกวันนี้ วงการหนังฮอลลีวูดนั้นถูกพัฒนาไปอย่างคึกคัก นักลงทุนส่วนใหญ่สามารถเลือกที่จะลงทุนให้กับหนังหลายๆ เรื่องในเวลาเดียวกัน ถ้ามีเรื่องหนึ่งที่มันขาดทุน ก็ยังสามารถไปหาส่วนนั้นจากเรื่องอื่นมาทบก็ได้ สถานการณ์แบบนี้ วงการธุรกิจหนังภาพยนตร์ก็เริ่มที่จะมีบทบาทมากขึ้น แต่หนังที่ให้ความรู้สึกถึงเบื้องลึกจริงๆ กลับน้อยลงทุกทีๆ

เชี่ยซ่าเหลยชื่นชอบเรื่อง ‘นักโทษ’ มากๆ แน่นอนว่าคงไม่ยอมให้มันต้องไปรวมอยู่กับธุรกิจหนังภาพยนตร์แน่ๆ แต่ในสถานการณ์ที่ผู้แต่งไม่ได้มีฐานแฟนคลับที่มากมายอะไร และเขาก็ยังอยากที่จะทำตามแบบที่ผู้แต่งสร้างเอาไว้ แล้วถ้าเขาจะถ่ายออกมาตามต้นฉบับอย่างไม่ปรุงแต่งอะไรอีกจริงๆ แล้วฝ่ายผลิตจะกล้าลงทุนได้อย่างไรล่ะ?

และนี่อาจจะเป็นเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้ไม่ได้ถ่ายทำหนังเรื่อง ‘นักโทษ’ เสียที

ก็อย่างที่เชี่ยซ่าเหลยพูด มันไม่ใช่เพราะหนังมันไม่ดี และไม่ใช่เพราะตัวเขาไม่ได้มีชื่อเสียงพอ และมันก็ไม่ใช่เพราะเขาชื่นชอบมันมากเสียทีเดียว แต่แค่ความคิดของเขามันคัดแย้งกันกับฝ่ายการตลาดก็เท่านั้นเอง

ต้องสร้างหนังยังไงเพื่อให้ผู้คนชื่นชอบ และเขาเองก็สามารถพึงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ด้วย นี่ถือว่าเป็นหน้าที่ที่หนักหนาพอสมควรเลย

“ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะคะ”

เจียงเซ่อหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาซับเบาๆ ที่มุมปาก เชี่ยซ่าเหลยก็ยังอายุน้อย ฐานะทางครอบครัวก็เพียบพร้อมอยู่แล้ว แต่การที่ต้องมาลงทุนหนังเรื่องหนึ่งด้วยตัวเองทั้งหมดดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆเท่าไหร่

โดยเฉพาะกับนักแต่งนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ ที่ออกแนวเรียลไปหน่อย การว่าจ้างของเหล่านักแสดง และสุดท้ายจะต้องส่งต่อให้ฝ่ายผลิต ทุกอย่างล้วนแล้วเป็นตัวเงิน พอเจียงเซ่อคิดๆ ดูแล้ว ก็เสนอสิ่งๆ หนึ่งขึ้นมา

“แต่ว่าถ้าคุณมีความคาดหวังกับหนังเรื่องนี้มาก ก็เลือกที่จะลงทุนด้วยตัวเองก่อนก็ได้นี่คะ หลังจากที่ถ่ายไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ไปขอกู้ยืมจากธนาคารดู”

แล้วเชี่ยซ่าเหลยก็หัวเราะขึ้นมาอีก เขายกแก้วเหล้าที่ตั้งอยู่ข้างๆ ขึ้นมา แล้วยื่นไปตรงหน้าเจียงเซ่อ เป็นการบอกว่าชนแก้วกันหน่อย

“ข้อเสนอแนะคุณดีมากเลยนะนั่น ผมเองก็เคยคิดเอาไว้เช่นกัน”

เขาเพิ่งจะเอ่ยถึงจุดๆ นี้ไป เจียงเซ่อก็พอที่จะเดาออกว่าเขายังไม่ได้แสดงท่าทีจะตัดบทจบ ตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเชี่ยซ่าเหลยกำลังอารมณ์ดี เขาก็จิบเหล้าไปหนึ่งจิบ

“แต่เหมือนว่าครั้งนี้”

เขายกแก้วขึ้นแล้วหมุนวนไปมา ของเหลวสีใสที่อยู่ในแก้วกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเหล้าก็โชยออกมา

“ตั้งแต่สามปีก่อนแล้วที่คนของบริษัทปอจี๋เอ่อมีความสนใจที่จะลงทุนหนังแนวแอดเวนเจอร์ แล้วพวกเขาก็เจอผม” เขาเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เขาตอบตกลงที่จะร่วมลงทุนกันในระยะยาว และพวกเขาก็จะต้องลงทุนกับหนังเรื่อง ‘นักโทษ’ ของผมด้วย”

นี่ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนข้อตกลง เขาเอาธุรกิจการถ่ายทำหนังมาเป็นข้อตกลง จึงทำให้บริษัทฮว๋านเต่าเองก็มาร่วมลงทุนหนังเรื่อง ‘นักโทษ’ ของเขาด้วย และหนึ่งในนั้นจะต้องมีการพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วด้วย แต่ในตอนนี้เชี่ยซ่าเหลยไม่ได้พูดถึงมันอย่างละเอียดเท่าไหร่

พอพูดมาถึงตรงนี้ เชี่ยซ่าเหลยก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้ววางแก้วลง พร้อมกับจ้องมองเจียงเซ่อ ในที่สุดเขาก็พูดถึงเหตุผลใหญ่ที่ทำให้เขาต้องมาถึงหัวเซี่ยสักที

“คุณเจียง ผมจำได้ว่า คุณเป็นนักศึกษาคณะประวัติศาสตร์ ใช่ไหมครับ?”

“ใช่ค่ะ”

เจียงเซ่อกำลังฟังชื่อบริษัท ‘ปอจี๋เอ่อ’ และ ‘ฮว๋านเต่า’ ที่เขาพูดถึงอยู่ และในใจของเธอก็พอที่จะเข้าใจอะไรๆ ได้บ้างแล้ว เธอนึกถึงสิ่งที่เซี่ยเชาฉวินเตือนเธอขึ้นมา และพอจะรู้แล้วว่าทำไมเชี่ยซ่าเหลยถึงถามเธอขึ้นมาแบบนั้น

ตอนนี้ใจของเจียงเซ่อเต้นเร็วระรัว เลือดกำลังวิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย เธอเดาว่า โอกาสที่เซี่ยเชาฉวินบอกมันกำลังจะมาแล้ว

แต่เธอยังคงรักษาสีหน้าเอาไว้เช่นเดิม ไม่ได้แสดงถึงอารมณ์และท่าทางใดๆ ออกมา

“ในภาพยนตร์แนวแอดเวนเจอร์เรื่องนี้ ผมได้ดูตัวบทมาแล้ว มันมีอยู่ตัวละครหนึ่งที่ผมคิดว่ามันเหมาะกับคุณมากๆ คุณสนใจที่จะดูมันหน่อยไหมล่ะครับ?”

เชี่ยซ่าเหลยยิ้มขึ้นมา ก่อนจะยื่นมือไปตรงหน้าเจียงเซ่อ

เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าเจียงเซ่อจะไม่ปฏิเสธ และแน่นอนว่าเจียงเซ่อเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ และเธอก็ไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าบทที่เชี่ยซ่าเหลยได้เตรียมให้เธอนั้นเป็นบทแบบไหน เธอยื่นมือไปจับมือเขาทันที

“แน่นอนว่าต้องสนใจสิคะ!”

ทั้งสองคนเชคแฮนด์กัน

หลังจากที่มั่นใจกับท่าทีของเจียงเซ่อแล้ว เชี่ยซ่าเหลยก็ไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย

“หนังเรื่อง ‘The Lost City’ เป็นหนังแนวผจญภัย และหนึ่งในบทตัวละครก็เป็นนักศึกษาสาวชาวหัวเซี่ยที่เรียนจบมาจากคณะประวัติศาสตร์ บทที่คุณแสดงในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ผมได้ดูได้เห็นมาแล้ว คุณมีเอกลักษณ์ของชาวหัวเซี่ยสูงมากเลยนะ”

เขาวางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งกำเอาไว้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พูดถึงคาแรคเตอร์ของหญิงสาวในเรื่อง ‘The Lost City’ ออกมาทันที

ตามที่เขาพูดมาทั้งหมด เจียงเซ่อก็พอจะเข้าใจถึงความรู้สึกและสิ่งที่เขาต้องการแล้ว ตัวละครเรียนคณะประวัติศาสตร์ ก็แสดงว่าจะต้องมีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์อย่างเต็มเปี่ยม ในขณะเดียวกันที่มันเป็นหนังแนวแอดเวนเจอร์ ก็ต้องมีการแสดงออกทางร่างกายอย่างมากแน่นอน

ดูจากชื่อหนังแล้วเจียงเซ่อก็เดาว่าตัวละครในเรื่องจะต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องโบราณคดีอยู่แล้วแน่ๆ ในขณะเดียวกันเชี่ยซ่าเหลยก็ได้พูดถึงหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ขึ้นมา อีกทั้งยังพูดว่าบทโต้วโค่วที่เจียงเซ่อแสดงนั้นมีกลิ่นอายของหัวเซี่ยสูงมาก นั่นก็พอที่จะยืนยันต่อสิ่งที่เขาคาดหวังได้แล้ว นอกจากจะต้องมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดีแล้ว ก็จะต้องมีความเป็นหญิงสาวชาวตะวันออกด้วย การแสดงแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นการแสดงถึงความดั้งเดิมของหัวเซี่ยเอาไว้

ตอนนี้ในหัวของเธอเริ่มนึกภาพคร่าวๆ ออกมาได้แล้ว